ไม่น่าเชื่อว่า อดีตผู้นำเรา ถึงกับลืมฐานะที่ท่านเคยเป็นถึง “นายกรัฐมนตรี” ไทย ที่มาจากระบอบประชาธิปไตย แต่
...ไม่ยอมตอบคำถาม และการซักฟอก ของผู้แทนราษฎรในระบบรัฐสภา
...ไม่ยอมชี้แจงต่อศาลในคดีต่างๆ
...ไม่ยอมรับผลการพิพากษา โดยไม่ชี้แจงโต้แย้ง แต่ส่งจดหมายไปทั่วโลกประณามแผ่นดินแม่ และโฟนอินเข้ามาสร้างความแตกแยกในหมู่พี่น้องชาวไทยด้วยความเท็จ
ล่าสุด นอกจากมีคุณค่าเพียง “นักโทษชายหนีคุก” แล้ว ก็ยังเริ่มทำบทบาทใหม่ คือ “ผู้นำม็อบผ่านการโฟนอิน” เทียบชั้นผู้นำมวลชนอย่างเช่น สนธิ-จำลอง
แต่เป็นการเปรียบคู่ชกที่ไม่เหมาะสมนัก เพราะต้องถือว่า “มันคนละชั้น” ดังนี้
1.พันธมิตรฯ มาด้วยความเสียสละตัวเพื่อชาติ แต่ม็อบทักษิณเสียสละชาติเพื่อตัว พันธมิตรฯแทบทุกคนยินดีควักกระเป๋า ช่วยกัน คนละร้อย-พัน-หมื่น-แสน จนถือว่าบรรลุความสำเร็จล้างอำนาจมืดไปได้ ก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรส่วนตัว แต่ได้ภาคภูมิใจยิ่งที่ทำให้แผ่นดินพ้นอำนาจมืด
แต่ม็อบทักษิณ มาเพียงเป็นกระบวนการหนึ่งของการยึดถือเป็นเจ้าของประเทศ ระบอบทักษิณใช้ทุกวิถีทางในการเอาการเมืองของประเทศเป็นเครื่องมือหากินด้วยการทุจริต ซื้อเสียง ปลอมพรรค ปลอมสมาชิก ใช้สื่อด้านเดียว ไม่ให้เกียรติสภา ไม่ให้สภาทำงานด้านการตรวจสอบ ใช้อำนาจครอบองค์กรอิสระและหน่วยงานภาครัฐ และล่าสุด ใช้ความแตกแยกของประชาชน และ จัดตั้งม็อบสร้างความวุ่นวายในบ้านเมือง เพื่อให้ผู้คนมองข้ามคดีของตนไป
ยุครัฐบาลทักษิณ ก็มีการใช้อำนาจเอื้อประโยชน์ในกิจการโทรคมนาคม ทำให้ชาติเสียประโยชน์นับแสนล้านบาท ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาคดี ถึงขั้นยึดทรัพย์กว่า 7 หมื่นล้านบาท และกรณีที่ดินรัชดาฯ ซึ่งถูกพิพากษาเป็นที่สิ้นสุดแล้วว่าต้องโทษจำคุก 2 ปี
ยุครัฐบาลโนมินีทักษิณ ก็มีการใช้อำนาจปกปิดคดี โยกย้ายดีเอสไอ อัยการสั่งไม่ฟ้องคดีปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้นทั้งๆ ที่เป็นผู้เปิดโปงความจริงว่า ท่านและภรรยา ซื้อหุ้น SC ผ่านกองทุนที่ปกปิด
ยุคเปลี่ยนขั้ว ท่านก็จัดตั้งกองกำลังม็อบส่วนตัว เพื่อสร้างความปั่นป่วน โดยมีเป้าหมายเพียงเพื่อยังคงยึดชาติและอำนาจรัฐไว้เป็นสมบัติตัวหรืออย่างไร ? ประชาธิปไตยไทยเป็นเพียงหนทางทางธุรกิจเช่นนั้นตั้งแต่เมื่อใด ?
2.พันธมิตรฯ ใช้ข้อมูล “ความจริง” ในคดีที่ “มีสาระ” แต่ท่าน ใช้ “ความเท็จ” อย่าง “ไร้สาระ” ไม่ว่าจะเป็นการที่พันธมิตรฯรวบรวมความไม่ชอบธรรมในคดีต่างๆ เช่น ซีทีเอ็กซ์ กล้ายาง สุวรรณภูมิ ไทยแอร์เอเชีย โทรคมนาคม ปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้นเอสซีแอสเสท ฯลฯ เรื่องทุจริต เป็นเรื่องจริง หลักฐานชัด ระดับพันล้านบาท หมื่นล้านบาท ถึงแสนล้านบาท
แต่พลพรรคผู้นำม็อบทักษิณเริ่มออกอาการ ใช้ความเท็จ ใส่ร้ายป้ายสีได้ทุกเรื่อง โครงการแรก วันแรก เช่น SMS จากนายกฯของท่าน ช่วยกันเสนอความเห็นผ่าน SMS ซึ่งสร้างสรรค์ และเป็นธรรม กลับถูกกล่าวหาว่าขู่เข็ญเอกชน พร้อมๆกับกล่าวหาว่าเอื้อประโยชน์ !! แต่จริงๆแล้วเป็นเรื่องสมประโยชน์ ประชาชนผู้รับสาส์น ส่วนใหญ่ก็รู้สึกดีที่ได้รับสาส์นจากนายกฯคนใหม่ และมีช่องทางสื่อถึงนายกฯ ภาครัฐได้สื่อสารและเปิดทางรับความเห็นจากประชาชน เอกชนได้ส่งสาส์น ได้ภาพลักษณ์ และได้รายได้ตอบแทนบ้าง โดยไม่มีการบังคับขู่เข็ญใครๆทั้งสิ้น
ม็อบทักษิณออกอาการใช้ “ความเท็จ” สร้างความปั่นป่วน มักกล่าวอ้าง “ต่อต้านรัฐประหาร” แม้กระทั่ง รัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร ก็เป็นสุภาพบุรุษผู้เสียสละ อยู่เพียงชั่วคราว แล้วก็จัดการเลือกตั้งโดยภายในประมาณปีเดียว และได้เปลี่ยนเป็นรัฐบาลโนมินีของท่านมาถึง 2 รัฐบาล และแม้ช่วงที่ผู้ครองอำนาจรัฐคือน้องเขยของท่านเอง ก็ยังหาเรื่องรณรงค์ต่อต้านการรัฐประหาร
เป็นที่สังเกตว่า การประท้วง การกล่าวอ้าง “ต้านรัฐประหาร” การจัดม็อบสร้างความวุ่นวาย ดูเหมือนไม่สอดรับกับการเคลื่อนไหวรัฐประหาร แต่มักจะสอดคล้องกับเวลาที่คดีความกำลังชี้ความผิดถึงตัว และมีการใช้การให้สินบนอย่างไม่สำเร็จ
ซึ่งผู้คนก็ไม่ศรัทธาที่ท่านอ้างการเป็นตัวแทนประชาธิปไตย ต่อต้านเผด็จการ เพราะท่านเองมีพื้นฐานที่สนใจอุดมการณ์เรื่องนี้จริงหรือ ? ท่านไปใกล้ชิดกับ รสช. ช่วงประมูลดาวเทียม ด้วยเหตุใด ? คณะรัฐประหารชุดนั้น ได้ช่วยให้ท่านได้สัมปทานดาวเทียมหรือไม่ ? ช่วยให้ท่านได้เงื่อนไขสัมปทานที่ดีขึ้นหรือไม่ ? เมื่อท่านขายหุ้นให้เทมาเส็ก กำลังถูกอภิปรายถึงการไม่เสียภาษีให้ถูกต้องนับหมื่นล้านบาท ท่านก็ไปขอคำปรึกษาอดีตคณะผู้ทำรัฐประหาร ท่านสุจินดา และเลือก “ยุบสภาฯ” ไม่ให้สภาฯได้ทำงานตามระบอบประชาธิปไตย ตามคำแนะนำนั้นใช่หรือไม่ ?
ล่าสุด ผู้นำม็อบทักษิณ ก็กล่าวหาท่านนายกฯอภิสิทธิ์ ว่า “หนีทหาร” ทั้งๆ ที่การเรียน ร.ด. หรือ การรับราชการทหาร ก็มีผลให้ไม่ต้องเกณฑ์ทหารได้เหมือนกัน ซึ่งก็อธิบายไปแล้วหลายรอบ ท่านก็ไม่ฟัง และหาโอกาสกล่าวหาอย่างใส่ร้ายป้ายสีต่อไป
เราจะเห็นการที่ท่านนายกฯอภิสิทธิ์ ตอบโต้ต่อ “คำถาม” ถึงตัวท่าน ด้วยอาวุธที่ฉกาจที่สุด คือ “หลักฐาน” และ “ความจริง” ทำให้เป็นที่ยอมรับ เป็นธรรม และสร้างความสงบสันติในบ้านเมือง
ซึ่งก็ไม่ได้น่ายกย่องเป็นพิเศษแต่อย่างใด เพราะก็เป็นมาตรฐานประชาธิปไตยในอารยประเทศ โดยผู้นำอารยชนอยู่แล้ว ผู้นำสหรัฐอเมริกา ผู้นำอังกฤษ ก็ต้องพร้อมตอบคำถามถึงตัวท่านในสภาของผู้แทนฯ เช่นกัน
แต่ท่านกลับใช้ “ความเท็จ” “การปกปิด” และ “การคุมสื่อให้สื่อความข้างเดียว” หนีการตอบ “ความจริง” ทำให้เกิดความกดดันในสังคม จากความไม่เป็นธรรมวางตัวเหนือกฎหมายของท่าน
ไทยทนเชื่อว่า แทนที่ท่านจะเลือก ใช้วิธีหาทางสร้างความวุ่นวายกลบเกลื่อนคดีของท่านต่อไป ท่านเรียนรู้ที่จะใช้อาวุธที่ฉกาจที่สุด คือ “ความจริง” ในการต่อสู้กับ “ปัญหา” และ “คำถาม” ที่ตรวจสอบความสุจริตของท่าน ไทยทนก็เชื่อว่า ท่านจะชนะทุกปัญหา และเป็นผู้นำระดับ “รัฐบุรุษ” ของไทยได้อย่างน่าภาคภูมิใจ ดังตัวอย่างคำถามสำคัญๆ สัก 5 ข้อดังต่อไปนี้
1.ตามที่ท่านกับหญิงอ้อ โอนหุ้นให้ลูกมูลค่า 734 ล้านบาท ในวันที่ 1 กันยายน 2543 แต่ 1 วันก่อนหน้านั้น ในวันที่ 31 สิงหาคม 2543 พานทองแท้ ต้องทำตั๋วสัญญาใช้เงินอีก 4,500 ล้านบาท ให้แม่เพิ่มด้วย “จริงหรือไม่ ?” เป็น “ค่าอะไร” เพราะตั๋วนี้ เป็นเครื่องมือในการโอนประโยชน์กลับไปให้แม่ทั้งหมด และแสดงว่าเป็นการถือหุ้นแทน
2.ท่านและหญิงอ้อขายหุ้น 5-6 บริษัทให้วินมาร์ค ในวันที่ 1 สิงหาคม 2543 ทุกบริษัทที่ราคาพาร์ใช่หรือไม่ ? ทำไมจึงเป็นราคาเหมาเข่งที่ราคาพาร์ทุกบริษัท ? เกือบ 10 ปีแล้ว ท่านก็ยังคงไม่ตอบ อย่างกรณีผู้ซื้ออิสระอย่างเทมาเส็ก ยังต้องต่อรองละเอียด หลักสลึงเป็น 49.25 บาท ทำไมกรณีวินมาร์ค จึงเป็นราคาพาร์ ?
3.หลังพานทองแท้ พินทองทา บรรณพจน์ และยิ่งลักษณ์ขายหุ้นแล้ว ตามข่าว มีการโอนเงินไป ประไหมสุหรี เพื่อส่งเงินไปซื้อหุ้นสโมสรฟุตบอล แมนเชสเตอร์ซิตี้ แต่ไม่เห็นชื่อ นาย บรรณพจน์ หรือ พานทองแท้เป็นผู้ซื้อเลย มีแต่ชื่อท่าน แสดงว่า ท่านให้คนใกล้ชิดถือ เฉพาะเมื่อต้องรับตำแหน่ง เพื่อเลี่ยงรัฐธรรมนูญหรือไม่ เมื่อลงจากตำแหน่งแล้ว ก็เผยโฉมด้วยการจ่ายเงินคืนท่านใช่หรือไม่ ?
4.ก่อนท่านเป็นนายกฯ สัมปทานที่ท่านมี เป็นแบบ Build-Transfer-Operate (BTO) ซึ่งมีอายุสัมปทานจำกัด เมื่อครบอายุต้องโอนคืนให้ ทศท. ใช่หรือไม่ ? หลังท่านเป็นนายกฯ เครือข่ายโทรศัพท์ของท่าน จะต้องคืนให้ภาครัฐหรือไม่ ?
5.ก่อนท่านเป็นนายกฯ อัตราแบ่งรายได้ พรีเพด คือ 25-30% และหลังท่านเป็นนายกฯ เปลี่ยนเป็น 20% เท่านั้น ใช่หรือไม่ ? นโยบายกิจการโทรคมนาคมที่ท่านดูแล จะต้องให้ไม่มีความเป็นธรรมในการแข่งขัน โดยต้องให้ท่านได้เปรียบตลอดไปหรือไม่ ?
ไม่มีอะไรชนะ “ความจริง” ไปได้ ไทยทนจึงขอให้กำลังใจท่านครับ แทนที่ท่านจะลงทุนทำ “ม็อบจัดตั้ง” สร้างความปั่นป่วนในบ้านเมือง วิธีดีที่สุดที่ท่านจะคืนศักดิ์ศรี จาก “นักโทษชายหนีคุก” กลับสู่ระดับ “ผู้นำชาติ” หรือ “รัฐบุรุษ” อย่างที่ท่านคาดหวัง คือการต่อสู้ด้วย “ความจริง” ครับ อย่าจัดตั้งม็อบแข่งกับ สนธิ-จำลองเลย มันคนละชั้นครับ
...ไม่ยอมตอบคำถาม และการซักฟอก ของผู้แทนราษฎรในระบบรัฐสภา
...ไม่ยอมชี้แจงต่อศาลในคดีต่างๆ
...ไม่ยอมรับผลการพิพากษา โดยไม่ชี้แจงโต้แย้ง แต่ส่งจดหมายไปทั่วโลกประณามแผ่นดินแม่ และโฟนอินเข้ามาสร้างความแตกแยกในหมู่พี่น้องชาวไทยด้วยความเท็จ
ล่าสุด นอกจากมีคุณค่าเพียง “นักโทษชายหนีคุก” แล้ว ก็ยังเริ่มทำบทบาทใหม่ คือ “ผู้นำม็อบผ่านการโฟนอิน” เทียบชั้นผู้นำมวลชนอย่างเช่น สนธิ-จำลอง
แต่เป็นการเปรียบคู่ชกที่ไม่เหมาะสมนัก เพราะต้องถือว่า “มันคนละชั้น” ดังนี้
1.พันธมิตรฯ มาด้วยความเสียสละตัวเพื่อชาติ แต่ม็อบทักษิณเสียสละชาติเพื่อตัว พันธมิตรฯแทบทุกคนยินดีควักกระเป๋า ช่วยกัน คนละร้อย-พัน-หมื่น-แสน จนถือว่าบรรลุความสำเร็จล้างอำนาจมืดไปได้ ก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรส่วนตัว แต่ได้ภาคภูมิใจยิ่งที่ทำให้แผ่นดินพ้นอำนาจมืด
แต่ม็อบทักษิณ มาเพียงเป็นกระบวนการหนึ่งของการยึดถือเป็นเจ้าของประเทศ ระบอบทักษิณใช้ทุกวิถีทางในการเอาการเมืองของประเทศเป็นเครื่องมือหากินด้วยการทุจริต ซื้อเสียง ปลอมพรรค ปลอมสมาชิก ใช้สื่อด้านเดียว ไม่ให้เกียรติสภา ไม่ให้สภาทำงานด้านการตรวจสอบ ใช้อำนาจครอบองค์กรอิสระและหน่วยงานภาครัฐ และล่าสุด ใช้ความแตกแยกของประชาชน และ จัดตั้งม็อบสร้างความวุ่นวายในบ้านเมือง เพื่อให้ผู้คนมองข้ามคดีของตนไป
ยุครัฐบาลทักษิณ ก็มีการใช้อำนาจเอื้อประโยชน์ในกิจการโทรคมนาคม ทำให้ชาติเสียประโยชน์นับแสนล้านบาท ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาคดี ถึงขั้นยึดทรัพย์กว่า 7 หมื่นล้านบาท และกรณีที่ดินรัชดาฯ ซึ่งถูกพิพากษาเป็นที่สิ้นสุดแล้วว่าต้องโทษจำคุก 2 ปี
ยุครัฐบาลโนมินีทักษิณ ก็มีการใช้อำนาจปกปิดคดี โยกย้ายดีเอสไอ อัยการสั่งไม่ฟ้องคดีปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้นทั้งๆ ที่เป็นผู้เปิดโปงความจริงว่า ท่านและภรรยา ซื้อหุ้น SC ผ่านกองทุนที่ปกปิด
ยุคเปลี่ยนขั้ว ท่านก็จัดตั้งกองกำลังม็อบส่วนตัว เพื่อสร้างความปั่นป่วน โดยมีเป้าหมายเพียงเพื่อยังคงยึดชาติและอำนาจรัฐไว้เป็นสมบัติตัวหรืออย่างไร ? ประชาธิปไตยไทยเป็นเพียงหนทางทางธุรกิจเช่นนั้นตั้งแต่เมื่อใด ?
2.พันธมิตรฯ ใช้ข้อมูล “ความจริง” ในคดีที่ “มีสาระ” แต่ท่าน ใช้ “ความเท็จ” อย่าง “ไร้สาระ” ไม่ว่าจะเป็นการที่พันธมิตรฯรวบรวมความไม่ชอบธรรมในคดีต่างๆ เช่น ซีทีเอ็กซ์ กล้ายาง สุวรรณภูมิ ไทยแอร์เอเชีย โทรคมนาคม ปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้นเอสซีแอสเสท ฯลฯ เรื่องทุจริต เป็นเรื่องจริง หลักฐานชัด ระดับพันล้านบาท หมื่นล้านบาท ถึงแสนล้านบาท
แต่พลพรรคผู้นำม็อบทักษิณเริ่มออกอาการ ใช้ความเท็จ ใส่ร้ายป้ายสีได้ทุกเรื่อง โครงการแรก วันแรก เช่น SMS จากนายกฯของท่าน ช่วยกันเสนอความเห็นผ่าน SMS ซึ่งสร้างสรรค์ และเป็นธรรม กลับถูกกล่าวหาว่าขู่เข็ญเอกชน พร้อมๆกับกล่าวหาว่าเอื้อประโยชน์ !! แต่จริงๆแล้วเป็นเรื่องสมประโยชน์ ประชาชนผู้รับสาส์น ส่วนใหญ่ก็รู้สึกดีที่ได้รับสาส์นจากนายกฯคนใหม่ และมีช่องทางสื่อถึงนายกฯ ภาครัฐได้สื่อสารและเปิดทางรับความเห็นจากประชาชน เอกชนได้ส่งสาส์น ได้ภาพลักษณ์ และได้รายได้ตอบแทนบ้าง โดยไม่มีการบังคับขู่เข็ญใครๆทั้งสิ้น
ม็อบทักษิณออกอาการใช้ “ความเท็จ” สร้างความปั่นป่วน มักกล่าวอ้าง “ต่อต้านรัฐประหาร” แม้กระทั่ง รัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร ก็เป็นสุภาพบุรุษผู้เสียสละ อยู่เพียงชั่วคราว แล้วก็จัดการเลือกตั้งโดยภายในประมาณปีเดียว และได้เปลี่ยนเป็นรัฐบาลโนมินีของท่านมาถึง 2 รัฐบาล และแม้ช่วงที่ผู้ครองอำนาจรัฐคือน้องเขยของท่านเอง ก็ยังหาเรื่องรณรงค์ต่อต้านการรัฐประหาร
เป็นที่สังเกตว่า การประท้วง การกล่าวอ้าง “ต้านรัฐประหาร” การจัดม็อบสร้างความวุ่นวาย ดูเหมือนไม่สอดรับกับการเคลื่อนไหวรัฐประหาร แต่มักจะสอดคล้องกับเวลาที่คดีความกำลังชี้ความผิดถึงตัว และมีการใช้การให้สินบนอย่างไม่สำเร็จ
ซึ่งผู้คนก็ไม่ศรัทธาที่ท่านอ้างการเป็นตัวแทนประชาธิปไตย ต่อต้านเผด็จการ เพราะท่านเองมีพื้นฐานที่สนใจอุดมการณ์เรื่องนี้จริงหรือ ? ท่านไปใกล้ชิดกับ รสช. ช่วงประมูลดาวเทียม ด้วยเหตุใด ? คณะรัฐประหารชุดนั้น ได้ช่วยให้ท่านได้สัมปทานดาวเทียมหรือไม่ ? ช่วยให้ท่านได้เงื่อนไขสัมปทานที่ดีขึ้นหรือไม่ ? เมื่อท่านขายหุ้นให้เทมาเส็ก กำลังถูกอภิปรายถึงการไม่เสียภาษีให้ถูกต้องนับหมื่นล้านบาท ท่านก็ไปขอคำปรึกษาอดีตคณะผู้ทำรัฐประหาร ท่านสุจินดา และเลือก “ยุบสภาฯ” ไม่ให้สภาฯได้ทำงานตามระบอบประชาธิปไตย ตามคำแนะนำนั้นใช่หรือไม่ ?
ล่าสุด ผู้นำม็อบทักษิณ ก็กล่าวหาท่านนายกฯอภิสิทธิ์ ว่า “หนีทหาร” ทั้งๆ ที่การเรียน ร.ด. หรือ การรับราชการทหาร ก็มีผลให้ไม่ต้องเกณฑ์ทหารได้เหมือนกัน ซึ่งก็อธิบายไปแล้วหลายรอบ ท่านก็ไม่ฟัง และหาโอกาสกล่าวหาอย่างใส่ร้ายป้ายสีต่อไป
เราจะเห็นการที่ท่านนายกฯอภิสิทธิ์ ตอบโต้ต่อ “คำถาม” ถึงตัวท่าน ด้วยอาวุธที่ฉกาจที่สุด คือ “หลักฐาน” และ “ความจริง” ทำให้เป็นที่ยอมรับ เป็นธรรม และสร้างความสงบสันติในบ้านเมือง
ซึ่งก็ไม่ได้น่ายกย่องเป็นพิเศษแต่อย่างใด เพราะก็เป็นมาตรฐานประชาธิปไตยในอารยประเทศ โดยผู้นำอารยชนอยู่แล้ว ผู้นำสหรัฐอเมริกา ผู้นำอังกฤษ ก็ต้องพร้อมตอบคำถามถึงตัวท่านในสภาของผู้แทนฯ เช่นกัน
แต่ท่านกลับใช้ “ความเท็จ” “การปกปิด” และ “การคุมสื่อให้สื่อความข้างเดียว” หนีการตอบ “ความจริง” ทำให้เกิดความกดดันในสังคม จากความไม่เป็นธรรมวางตัวเหนือกฎหมายของท่าน
ไทยทนเชื่อว่า แทนที่ท่านจะเลือก ใช้วิธีหาทางสร้างความวุ่นวายกลบเกลื่อนคดีของท่านต่อไป ท่านเรียนรู้ที่จะใช้อาวุธที่ฉกาจที่สุด คือ “ความจริง” ในการต่อสู้กับ “ปัญหา” และ “คำถาม” ที่ตรวจสอบความสุจริตของท่าน ไทยทนก็เชื่อว่า ท่านจะชนะทุกปัญหา และเป็นผู้นำระดับ “รัฐบุรุษ” ของไทยได้อย่างน่าภาคภูมิใจ ดังตัวอย่างคำถามสำคัญๆ สัก 5 ข้อดังต่อไปนี้
1.ตามที่ท่านกับหญิงอ้อ โอนหุ้นให้ลูกมูลค่า 734 ล้านบาท ในวันที่ 1 กันยายน 2543 แต่ 1 วันก่อนหน้านั้น ในวันที่ 31 สิงหาคม 2543 พานทองแท้ ต้องทำตั๋วสัญญาใช้เงินอีก 4,500 ล้านบาท ให้แม่เพิ่มด้วย “จริงหรือไม่ ?” เป็น “ค่าอะไร” เพราะตั๋วนี้ เป็นเครื่องมือในการโอนประโยชน์กลับไปให้แม่ทั้งหมด และแสดงว่าเป็นการถือหุ้นแทน
2.ท่านและหญิงอ้อขายหุ้น 5-6 บริษัทให้วินมาร์ค ในวันที่ 1 สิงหาคม 2543 ทุกบริษัทที่ราคาพาร์ใช่หรือไม่ ? ทำไมจึงเป็นราคาเหมาเข่งที่ราคาพาร์ทุกบริษัท ? เกือบ 10 ปีแล้ว ท่านก็ยังคงไม่ตอบ อย่างกรณีผู้ซื้ออิสระอย่างเทมาเส็ก ยังต้องต่อรองละเอียด หลักสลึงเป็น 49.25 บาท ทำไมกรณีวินมาร์ค จึงเป็นราคาพาร์ ?
3.หลังพานทองแท้ พินทองทา บรรณพจน์ และยิ่งลักษณ์ขายหุ้นแล้ว ตามข่าว มีการโอนเงินไป ประไหมสุหรี เพื่อส่งเงินไปซื้อหุ้นสโมสรฟุตบอล แมนเชสเตอร์ซิตี้ แต่ไม่เห็นชื่อ นาย บรรณพจน์ หรือ พานทองแท้เป็นผู้ซื้อเลย มีแต่ชื่อท่าน แสดงว่า ท่านให้คนใกล้ชิดถือ เฉพาะเมื่อต้องรับตำแหน่ง เพื่อเลี่ยงรัฐธรรมนูญหรือไม่ เมื่อลงจากตำแหน่งแล้ว ก็เผยโฉมด้วยการจ่ายเงินคืนท่านใช่หรือไม่ ?
4.ก่อนท่านเป็นนายกฯ สัมปทานที่ท่านมี เป็นแบบ Build-Transfer-Operate (BTO) ซึ่งมีอายุสัมปทานจำกัด เมื่อครบอายุต้องโอนคืนให้ ทศท. ใช่หรือไม่ ? หลังท่านเป็นนายกฯ เครือข่ายโทรศัพท์ของท่าน จะต้องคืนให้ภาครัฐหรือไม่ ?
5.ก่อนท่านเป็นนายกฯ อัตราแบ่งรายได้ พรีเพด คือ 25-30% และหลังท่านเป็นนายกฯ เปลี่ยนเป็น 20% เท่านั้น ใช่หรือไม่ ? นโยบายกิจการโทรคมนาคมที่ท่านดูแล จะต้องให้ไม่มีความเป็นธรรมในการแข่งขัน โดยต้องให้ท่านได้เปรียบตลอดไปหรือไม่ ?
ไม่มีอะไรชนะ “ความจริง” ไปได้ ไทยทนจึงขอให้กำลังใจท่านครับ แทนที่ท่านจะลงทุนทำ “ม็อบจัดตั้ง” สร้างความปั่นป่วนในบ้านเมือง วิธีดีที่สุดที่ท่านจะคืนศักดิ์ศรี จาก “นักโทษชายหนีคุก” กลับสู่ระดับ “ผู้นำชาติ” หรือ “รัฐบุรุษ” อย่างที่ท่านคาดหวัง คือการต่อสู้ด้วย “ความจริง” ครับ อย่าจัดตั้งม็อบแข่งกับ สนธิ-จำลองเลย มันคนละชั้นครับ