ASTV ผู้จัดการรายวัน- "กรณ์ จาติกวณิช"บิ๊กกระทรวงการคลัง เดินหน้ากระตุ้นตลาดอสังหาฯอีกระลอก หวังเพิ่มแรงเหวี่ยงผลักดันเศรษฐกิจในประเทศให้เติบโต เตรียมนำภาระดอกเบี้ยจากการผ่อนบ้านมาหักลดหย่อนเพิ่มจาก 1 แสนบาท/ปี เป็นกว่า 2 แสนบาท/ปี ภายใต้เงื่อนไขหากซื้อบ้านใหม่ในโครงการจัดสรรในปี 52 รับสิทธิ์ประโยชน์เต็ม ปีถัดไปลดลั่น ด้านรองนายกฯระบุแนวคิดนำเงินดาวน์จ่ายเบี้ยประกัน อุ้มคนที่มีรายได้น้อย เงินออมไม่สูง เพื่อประกันแบงก์ปล่อยกู้ บิ๊กอสังหาฯ"พฤกษา-เพอร์เฟค"หนุนเต็มที่ ช่วยขยายฐานลูกค้าที่จะซื้อบ้านให้กว้างขึ้น คาดบ้านระดับ 3-4 ล้านบาทรับอานิสงส์ ดึงแบงก์ธอส.แกนนำปล่อยกู้ แนะควรแก้ไขหลักเกณฑ์บ้านบีโอไอจาก 6 แสนบาทเป็นล้านบาท
ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ถือเป็นอีกหนึ่งภาคของระบบเศรษฐกิจ ที่มีส่วนสนับสนุนต่อการเพิ่มรอบให้ธุรกิจทุกภาคส่วนมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยที่เป็นธุรกิจที่ใช้เงินลงทุนค่อนข้างมาก และเปรียบเสมือนธุรกิจต้นน้ำ ที่เป็นตัวแปรต่อกลุ่มธุรกิจอื่นๆ เช่น ธุรกิจวัสดุก่อสร้าง ธุรกิจขนส่ง ธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ และการจ้างงานในประเทศ เป็นการกระจายรายได้ไปทุกภาคส่วนของเศรษฐกิจ ซึ่งทุกๆ 1 บาทที่เกิดขึ้นจากการลงทุนในที่อยู่อาศัย จะเพิ่มแรงขับเคลื่อนต่อเศรษฐกิจ 2.5 เท่า ซึ่งรัฐบาลในชุดที่ผ่านมา ได้มีการขยายมาตรการลดหย่อนภาษีธุรกิจเฉพาะ ลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนอง จากเดิมที่จะสิ้นสุดในเดือนมี.ค.ปี 52 เพิ่มไปสิ้นสุดเดือนมี.ค.2553
***ขุนคลังพร้อมอุ้มอสังหาฯ
ล่าสุดกระทรวงการคลัง ได้เพิ่มแรงจูงใจในการซื้อที่อยู่อาศัย โดยนายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง เปิดเผยว่า หลังจากรัฐบาลได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาแล้ว จะออกมาตรการระยะสั้นด้านอสังหาริมทรัพย์ร่วมกับมาตรการอื่น ด้วยการให้นำภาระดอกเบี้ยจากการผ่อนบ้านไปใช้หักลดหย่อนภาษีจากเดิม 100,000 บาทต่อปี เพิ่มเป็นมากกว่า 200,000 บาทต่อปี ทำให้ผู้ซื้อบ้านใหม่ราคาไม่เกิน 7-8 ล้านบาท ได้รับประโยชน์จากมาตรการดังกล่าว เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการภาคอสังหาริมทรัพย์ให้ฟื้นตัว เนื่องจากในปีหน้าจะมีปัญหาเศรษฐกิจรุนแรงมากขึ้นมาตรการดังกล่าวให้เฉพาะผู้ซื้อบ้านใหม่ในปี 2552 เพื่อส่งเสริมและช่วยเหลือผู้ซื้อบ้านใหม่ หากซื้อในปีต่อไป ก็จะได้รับสิทธิลดน้อยลงไป และเห็นว่าแนวทางดังกล่าวไม่เป็นภาระทางการคลังมากเกินไป จึงสามารถดำเนินการได้
ขณะที่นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี อธิบายถึงมาตรการกระตุ้นอสังหาฯว่า เป็นแนวทางในการส่งเสริมเศรษฐกิจภายในประเทศให้เจริญเติบโต ซึ่งเรื่องของการนำดอกเบี้ยมาหักลดหย่อนได้เพิ่มขึ้นนั้น ตรงนี้เป็นแนวคิดแต่ขอบอกว่ายังไม่ตกผลึก เพราะทางกระทรวงการคลังจะต้องไปเคาะตัวเลข แต่วิธีการมีขั้นของการเร่งตลาดอสังหาฯ เช่น อาจจะเป็นที่อยู่อาศัยที่สร้างแล้วขายได้หรือรวมถึงอสังหาฯที่ขายไม่ได้ด้วย โดยการเพิ่มแรงจูงใจหากตัดสินใจซื้อบ้านใหม่และโอนในปี 2552 ก็จะได้รับประโยชน์จากการเพิ่มลดหย่อนทางภาษี แต่หากไปตัดสินใจซื้อและโอนปีถัดไปก็จะได้รับสิทธิ์ที่ต่างกัน
นอกจากนี้ รองนายกฯยังทำความเข้าใจถึงเรื่องที่ผู้ซื้ออาจจะไม่ต้องวางเงินดาวน์ แต่เปลี่ยนมาชำระเบี้ยประกันแทนนั้น จริงๆแล้ว เป็นการเพิ่มหลักประกันให้แก่สถาบันการเงิน โดยวิธีการก็คือ การประกันสินเชื่อที่อยู่อาศัย โดยหากในกรณีที่ผู้ซื้อบ้านมีเงินน้อยและมีเงินออมไม่เพียงพอนั้น แต่เมื่อได้มีการตรวจสอบและผ่านการพิจารณาแล้ว ก็ให้ผ่อนโดยในค่างวดที่ผ่อนจะมีการคำนวณค่าเบี้ยประกันเข้าไปด้วย แต่ขณะนี้ยังไม่มีตัวเลขที่แน่ชัด เพราะตนดูภาพรวม
" เรื่องเบี้ยประกันก็อาจจะต้องไปว่ากัน แต่เมื่อเกิดความเสียหายแล้ว สถาบันการเงินไม่ต้องรับเต็มทั้ง 100% โดยมีบริษัทประกันรับชดเชยให้ประมาณ 20% ซึ่งส่วนนี้ ธนาคารของรัฐ น่าจะเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะเข้ามาเสริมและดูแลผู้ซื้อที่ต้องการซื้อบ้านแต่กำลังไม่สูง โดยเฉพาะธนาคารอาคารสงเคราะห์ ที่อาจจะต้องได้รับทุนเพิ่มขึ้นจากรัฐ ส่วนจะได้หรือไม่ คงต้องไปสอบถามรมต.ที่กำกับดูแลธอส.เอง แต่คิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร "นายกอร์ปศักดิ์กล่าว
***เอกชนขานรับมาตรการอสังหาฯ
นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เจ้าตลาดบ้านระดับกลางภายใต้แบรนด์"บ้านพฤกษา" กล่าวว่า หากมาตรการดังกล่าวออกมา จะช่วยทำให้ตลาดรวมที่อยู่อาศัยปรับตัวดีขึ้น ซึ่งตนคิดว่าควรเน้นในส่วนของการซื้อบ้านใหม่แทนที่จะครอบคลุมไปก่อนหน้านี้ เหตุผลก็คือ หากเป็นลูกค้า(ลูกหนี้สถาบันการเงิน)ที่ผ่อนเงินกู้ไประยะหนึ่ง อาจจะได้รับประโยชน์จากการหักลดหย่อน แต่หากเป็นการซื้อบ้านใหม่ในปี52 จะเพิ่มแรงกระตุ้นให้ภาคเอกชนเร่งขยายการลงทุน เกิดคำสั่งซื้อสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับการลงทุนในอสังหาฯ
นอกจากนี้แล้ว ควรมีการเสริมด้วยมาตรทางการเงินผ่านธนาคารอาคารสงเคราะห์ ดังนั้น การใส่ทุนให้แก่ธอส.จะเป็นการเพิ่มศักยภาพให้แก่ธนาคารฯเพื่อเข้ามาสนับสนุนนโยบายของรัฐบาล ขณะเดียวกัน รัฐบาลควรหันมาพิจารณากฎเกณฑ์การส่งเสริมบ้านบีโอไอใหม่ ขยับจาก 6 แสนเป็น 1 ล้านบาท เนื่องจากในตอนนี้ ผู้ซื้อระดับล่าง ยังคงได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ
" สิ่งสำคัญเมื่อมีการขายบ้านใหม่ได้ ก็ควรจะต้องโอนได้ด้วย ทั้งนี้ ในส่วนของสินค้าที่บริษัทพฤกษาฯพัฒนาอยู่ จะมีหลากหลายที่สามารถตอบสนองความต้องการในการซื้อที่อยู่อาศัยได้อย่างแท้จริง โดยในส่วนของบริษัทฯแล้ว ในปีหน้ายังคงลงทุนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแผนธุรกิจในปีหน้ายังคงไม่มีการปรับเปลี่ยน เนื่องจากต้องพิจารณาหลังไตรมาสแรก ความเชื่อมั่นกลับมาแค่ไหน "นายประเสริฐ กล่าวและเสนอเป็นทางเลือกว่า " หากมีการนำเงินดาวน์มาหักลดหย่อนทางภาษีได้ทันที ประมาณ 10% ของราคาซื้อขาย จะยิ่งกระตุ้นได้แรง
***บ้านใหม่ระดับ3-4 ล้านบาทรับเต็มๆ
นายธีระชน มโนมัยพิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) หรือ PF กล่าวว่า เป็นมาตรการที่ดีที่มีผลต่อผู้บริโภคโดยตรง เป็นการขยายฐานผู้ซื้อบ้านให้ได้รับผลประโยชน์เพิ่มมากขึ้น จากเดิมที่หักลดหย่อนภาษีไม่เกินแสนบาท ส่วนนี้จะมีผลดีต่อกลุ่มที่ซื้อบ้านระดับราคา 1 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 2 ล้านบาท แต่การขยายการหักลดหย่อนภาษีมากกว่า 2 แสนบาท จะทำให้ผู้ซื้อบ้านระดับราคา 3-4 ล้านบาทได้รับประโยชน์ไปด้วย ซึ่งกลุ่มผู้บริโภคดังกล่าวนี้ถือว่าเป้นกลุ่มที่มีรายได้ระดับกลาง มีการใช้จ่ายต่อเนื่อง ส่งผลให้มีการหมุนเวียนเงินในระดับมากขึ้น
“เดิมทีกลุ่มที่มีภาระดอกเบี้ย1 แสนบาทต่อปี จะต้องจ่ายดอกเบี้ยประมาณ 8,000 บาทต่อเดือน แต่เมื่อขยายวงเงินขึ้นเป็น 2 แสนบาทต่อปี ก็จะทำให้กลุ่มผู้ที่ซื้อบ้านระดับ 3-4 ล้านบาท ซึ่งมีภาระดอกเบี้ยประมาณ11,000-12,000 บาทเดือน เมื่อสามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีได้จะทำให้กลุ่มลูกค้าบ้าน3-4ล้านมีเงินเพื่อใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอีก ”
***ปี 52 แบงก์เข้มปล่อยกู้เพิ่มขึ้น
นายอิสระ บุญยัง กรรมการผู้จัดการ บริษัท กานดา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด กล่าวว่าเป็นเรื่องที่ดีกับผู้ที่คิดจะซื้อบ้าน แต่ก็มีข้อสังเกตเกี่ยวกับตลาดอสังหาฯในปี 52 ว่า คือ ปัญหาการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน ซึ่งจะยิ่งเข้มงวดมากขึ้นในปี52 ล่าสุด ธนาคารพาณิชย์ได้เพิ่มเกณฑ์ในการพิจารณาปล่อยกู้ลูกค้ารายย่อยมากขึ้น โดยการคำนวณยอดการหักภาษีรายได้ส่วนบุคคล ก่อนนำรายได้สุทธิในต่อปีมาคำนวณการอนุมัติวงเงินสินเชื่อแก่ลูกค้า ซึ่งเกณฑ์การคำนวณใหม่นี้ จะยิ่งส่งผลให้ลูกค้ามีปัญหาในการขอสินเชื่อเพิ่มมากขึ้น โดยจะยิ่งส่งผลให้ลูกค้ากู้น้อยลงจากเดิมที่ก่อนหน้า การคำนวณวงเงินอนุมัติสินเชื่อไม่เคยมีการหักรายจ่ายด้านภาษีและนำรายได้สุทธิต่อปีมาคำนวณเพื่ออนุมัติสินเชื่อ
" ปัญหาดังกล่าวรัฐบาลเองต้องเป็นสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดเป็นรูปธรรม โดยต้องผลักดันให้สถาบันการเงินภายใต้สังกัดรัฐบาลออกมาปล่อยสินเชื่อให้มากขึ้น เพื่อนำร่องให้ธนาคารพาณิชย์แห่งอื่นปรับตัว เพราะรัฐบาลไม่สามารถควบคุมให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยกู้สินเชื่อรายย่อยได้"
***จับตาทาวน์เฮาส์บูม
นายวสันต์ คงจันทร์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ จำกัด หรือ AREA กล่าวคาดการณ์ว่า จากมาตรการดังกล่าว จะทำให้โครงการบ้านจัดสรรมีโอกาสเติบโต โดยเฉพาะตลาดทาวน์เฮาส์ เนื่องจากในสภาพเศรษฐกิจที่ยังไม่เติบโตอย่างมาก ผู้ที่คิดจะซื้อบ้านอาจจะระมัดระวังในการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย โดยคาดว่าสินค้าประเภททาวน์เฮาส์น่าจะมีความต้องการซื้อมากขึ้น เพราะระดับราคาไม่สูง ขณะที่บ้านเดี่ยว ผู้ที่คิดจะซื้อบ้านอาจจะไม่มั่นใจในเรื่องของรายได้ในอนาคต
" ตนไม่คิดว่าคอนโดฯจะแย่ลง หรือไม่ได้รับความสนใจ เนื่องจากปัญหาเรื่องการเดินทางที่ยังทำให้คนที่คิดซื้อที่อยู่อาศัย เลือกอยู่ในเมืองมากขึ้น เพราะการเดินทางสะดวก หรือแม้การจะขยายเรื่องระบบรถไฟฟ้าไปสู่นอกเมืองมากขึ้นนั้น ก็ไม่แน่ใจทำให้คนไปซื้อที่อยู่ไกลเมือง เพราะเรื่องราคาค่าโดยสารก็ยังไม่ชัดเจน " นายวสันต์กล่าว
ก่อนหน้านี้ บริษัทฯได้รายงานสถานการณ์ตลาดอสังหาฯพ.ย.51 มีโครงการเกิดใหม่รวมทั้งสิ้น 28 โครงการ มีจำนวนหน่วยรวมกันทั้งสิ้น 5,570 หน่วย มูลค่าโครงการรวม 19,226 ล้านบาท
ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ถือเป็นอีกหนึ่งภาคของระบบเศรษฐกิจ ที่มีส่วนสนับสนุนต่อการเพิ่มรอบให้ธุรกิจทุกภาคส่วนมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยที่เป็นธุรกิจที่ใช้เงินลงทุนค่อนข้างมาก และเปรียบเสมือนธุรกิจต้นน้ำ ที่เป็นตัวแปรต่อกลุ่มธุรกิจอื่นๆ เช่น ธุรกิจวัสดุก่อสร้าง ธุรกิจขนส่ง ธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ และการจ้างงานในประเทศ เป็นการกระจายรายได้ไปทุกภาคส่วนของเศรษฐกิจ ซึ่งทุกๆ 1 บาทที่เกิดขึ้นจากการลงทุนในที่อยู่อาศัย จะเพิ่มแรงขับเคลื่อนต่อเศรษฐกิจ 2.5 เท่า ซึ่งรัฐบาลในชุดที่ผ่านมา ได้มีการขยายมาตรการลดหย่อนภาษีธุรกิจเฉพาะ ลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนอง จากเดิมที่จะสิ้นสุดในเดือนมี.ค.ปี 52 เพิ่มไปสิ้นสุดเดือนมี.ค.2553
***ขุนคลังพร้อมอุ้มอสังหาฯ
ล่าสุดกระทรวงการคลัง ได้เพิ่มแรงจูงใจในการซื้อที่อยู่อาศัย โดยนายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง เปิดเผยว่า หลังจากรัฐบาลได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาแล้ว จะออกมาตรการระยะสั้นด้านอสังหาริมทรัพย์ร่วมกับมาตรการอื่น ด้วยการให้นำภาระดอกเบี้ยจากการผ่อนบ้านไปใช้หักลดหย่อนภาษีจากเดิม 100,000 บาทต่อปี เพิ่มเป็นมากกว่า 200,000 บาทต่อปี ทำให้ผู้ซื้อบ้านใหม่ราคาไม่เกิน 7-8 ล้านบาท ได้รับประโยชน์จากมาตรการดังกล่าว เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการภาคอสังหาริมทรัพย์ให้ฟื้นตัว เนื่องจากในปีหน้าจะมีปัญหาเศรษฐกิจรุนแรงมากขึ้นมาตรการดังกล่าวให้เฉพาะผู้ซื้อบ้านใหม่ในปี 2552 เพื่อส่งเสริมและช่วยเหลือผู้ซื้อบ้านใหม่ หากซื้อในปีต่อไป ก็จะได้รับสิทธิลดน้อยลงไป และเห็นว่าแนวทางดังกล่าวไม่เป็นภาระทางการคลังมากเกินไป จึงสามารถดำเนินการได้
ขณะที่นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี อธิบายถึงมาตรการกระตุ้นอสังหาฯว่า เป็นแนวทางในการส่งเสริมเศรษฐกิจภายในประเทศให้เจริญเติบโต ซึ่งเรื่องของการนำดอกเบี้ยมาหักลดหย่อนได้เพิ่มขึ้นนั้น ตรงนี้เป็นแนวคิดแต่ขอบอกว่ายังไม่ตกผลึก เพราะทางกระทรวงการคลังจะต้องไปเคาะตัวเลข แต่วิธีการมีขั้นของการเร่งตลาดอสังหาฯ เช่น อาจจะเป็นที่อยู่อาศัยที่สร้างแล้วขายได้หรือรวมถึงอสังหาฯที่ขายไม่ได้ด้วย โดยการเพิ่มแรงจูงใจหากตัดสินใจซื้อบ้านใหม่และโอนในปี 2552 ก็จะได้รับประโยชน์จากการเพิ่มลดหย่อนทางภาษี แต่หากไปตัดสินใจซื้อและโอนปีถัดไปก็จะได้รับสิทธิ์ที่ต่างกัน
นอกจากนี้ รองนายกฯยังทำความเข้าใจถึงเรื่องที่ผู้ซื้ออาจจะไม่ต้องวางเงินดาวน์ แต่เปลี่ยนมาชำระเบี้ยประกันแทนนั้น จริงๆแล้ว เป็นการเพิ่มหลักประกันให้แก่สถาบันการเงิน โดยวิธีการก็คือ การประกันสินเชื่อที่อยู่อาศัย โดยหากในกรณีที่ผู้ซื้อบ้านมีเงินน้อยและมีเงินออมไม่เพียงพอนั้น แต่เมื่อได้มีการตรวจสอบและผ่านการพิจารณาแล้ว ก็ให้ผ่อนโดยในค่างวดที่ผ่อนจะมีการคำนวณค่าเบี้ยประกันเข้าไปด้วย แต่ขณะนี้ยังไม่มีตัวเลขที่แน่ชัด เพราะตนดูภาพรวม
" เรื่องเบี้ยประกันก็อาจจะต้องไปว่ากัน แต่เมื่อเกิดความเสียหายแล้ว สถาบันการเงินไม่ต้องรับเต็มทั้ง 100% โดยมีบริษัทประกันรับชดเชยให้ประมาณ 20% ซึ่งส่วนนี้ ธนาคารของรัฐ น่าจะเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะเข้ามาเสริมและดูแลผู้ซื้อที่ต้องการซื้อบ้านแต่กำลังไม่สูง โดยเฉพาะธนาคารอาคารสงเคราะห์ ที่อาจจะต้องได้รับทุนเพิ่มขึ้นจากรัฐ ส่วนจะได้หรือไม่ คงต้องไปสอบถามรมต.ที่กำกับดูแลธอส.เอง แต่คิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร "นายกอร์ปศักดิ์กล่าว
***เอกชนขานรับมาตรการอสังหาฯ
นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เจ้าตลาดบ้านระดับกลางภายใต้แบรนด์"บ้านพฤกษา" กล่าวว่า หากมาตรการดังกล่าวออกมา จะช่วยทำให้ตลาดรวมที่อยู่อาศัยปรับตัวดีขึ้น ซึ่งตนคิดว่าควรเน้นในส่วนของการซื้อบ้านใหม่แทนที่จะครอบคลุมไปก่อนหน้านี้ เหตุผลก็คือ หากเป็นลูกค้า(ลูกหนี้สถาบันการเงิน)ที่ผ่อนเงินกู้ไประยะหนึ่ง อาจจะได้รับประโยชน์จากการหักลดหย่อน แต่หากเป็นการซื้อบ้านใหม่ในปี52 จะเพิ่มแรงกระตุ้นให้ภาคเอกชนเร่งขยายการลงทุน เกิดคำสั่งซื้อสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับการลงทุนในอสังหาฯ
นอกจากนี้แล้ว ควรมีการเสริมด้วยมาตรทางการเงินผ่านธนาคารอาคารสงเคราะห์ ดังนั้น การใส่ทุนให้แก่ธอส.จะเป็นการเพิ่มศักยภาพให้แก่ธนาคารฯเพื่อเข้ามาสนับสนุนนโยบายของรัฐบาล ขณะเดียวกัน รัฐบาลควรหันมาพิจารณากฎเกณฑ์การส่งเสริมบ้านบีโอไอใหม่ ขยับจาก 6 แสนเป็น 1 ล้านบาท เนื่องจากในตอนนี้ ผู้ซื้อระดับล่าง ยังคงได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ
" สิ่งสำคัญเมื่อมีการขายบ้านใหม่ได้ ก็ควรจะต้องโอนได้ด้วย ทั้งนี้ ในส่วนของสินค้าที่บริษัทพฤกษาฯพัฒนาอยู่ จะมีหลากหลายที่สามารถตอบสนองความต้องการในการซื้อที่อยู่อาศัยได้อย่างแท้จริง โดยในส่วนของบริษัทฯแล้ว ในปีหน้ายังคงลงทุนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแผนธุรกิจในปีหน้ายังคงไม่มีการปรับเปลี่ยน เนื่องจากต้องพิจารณาหลังไตรมาสแรก ความเชื่อมั่นกลับมาแค่ไหน "นายประเสริฐ กล่าวและเสนอเป็นทางเลือกว่า " หากมีการนำเงินดาวน์มาหักลดหย่อนทางภาษีได้ทันที ประมาณ 10% ของราคาซื้อขาย จะยิ่งกระตุ้นได้แรง
***บ้านใหม่ระดับ3-4 ล้านบาทรับเต็มๆ
นายธีระชน มโนมัยพิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) หรือ PF กล่าวว่า เป็นมาตรการที่ดีที่มีผลต่อผู้บริโภคโดยตรง เป็นการขยายฐานผู้ซื้อบ้านให้ได้รับผลประโยชน์เพิ่มมากขึ้น จากเดิมที่หักลดหย่อนภาษีไม่เกินแสนบาท ส่วนนี้จะมีผลดีต่อกลุ่มที่ซื้อบ้านระดับราคา 1 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 2 ล้านบาท แต่การขยายการหักลดหย่อนภาษีมากกว่า 2 แสนบาท จะทำให้ผู้ซื้อบ้านระดับราคา 3-4 ล้านบาทได้รับประโยชน์ไปด้วย ซึ่งกลุ่มผู้บริโภคดังกล่าวนี้ถือว่าเป้นกลุ่มที่มีรายได้ระดับกลาง มีการใช้จ่ายต่อเนื่อง ส่งผลให้มีการหมุนเวียนเงินในระดับมากขึ้น
“เดิมทีกลุ่มที่มีภาระดอกเบี้ย1 แสนบาทต่อปี จะต้องจ่ายดอกเบี้ยประมาณ 8,000 บาทต่อเดือน แต่เมื่อขยายวงเงินขึ้นเป็น 2 แสนบาทต่อปี ก็จะทำให้กลุ่มผู้ที่ซื้อบ้านระดับ 3-4 ล้านบาท ซึ่งมีภาระดอกเบี้ยประมาณ11,000-12,000 บาทเดือน เมื่อสามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีได้จะทำให้กลุ่มลูกค้าบ้าน3-4ล้านมีเงินเพื่อใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอีก ”
***ปี 52 แบงก์เข้มปล่อยกู้เพิ่มขึ้น
นายอิสระ บุญยัง กรรมการผู้จัดการ บริษัท กานดา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด กล่าวว่าเป็นเรื่องที่ดีกับผู้ที่คิดจะซื้อบ้าน แต่ก็มีข้อสังเกตเกี่ยวกับตลาดอสังหาฯในปี 52 ว่า คือ ปัญหาการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน ซึ่งจะยิ่งเข้มงวดมากขึ้นในปี52 ล่าสุด ธนาคารพาณิชย์ได้เพิ่มเกณฑ์ในการพิจารณาปล่อยกู้ลูกค้ารายย่อยมากขึ้น โดยการคำนวณยอดการหักภาษีรายได้ส่วนบุคคล ก่อนนำรายได้สุทธิในต่อปีมาคำนวณการอนุมัติวงเงินสินเชื่อแก่ลูกค้า ซึ่งเกณฑ์การคำนวณใหม่นี้ จะยิ่งส่งผลให้ลูกค้ามีปัญหาในการขอสินเชื่อเพิ่มมากขึ้น โดยจะยิ่งส่งผลให้ลูกค้ากู้น้อยลงจากเดิมที่ก่อนหน้า การคำนวณวงเงินอนุมัติสินเชื่อไม่เคยมีการหักรายจ่ายด้านภาษีและนำรายได้สุทธิต่อปีมาคำนวณเพื่ออนุมัติสินเชื่อ
" ปัญหาดังกล่าวรัฐบาลเองต้องเป็นสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดเป็นรูปธรรม โดยต้องผลักดันให้สถาบันการเงินภายใต้สังกัดรัฐบาลออกมาปล่อยสินเชื่อให้มากขึ้น เพื่อนำร่องให้ธนาคารพาณิชย์แห่งอื่นปรับตัว เพราะรัฐบาลไม่สามารถควบคุมให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยกู้สินเชื่อรายย่อยได้"
***จับตาทาวน์เฮาส์บูม
นายวสันต์ คงจันทร์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ จำกัด หรือ AREA กล่าวคาดการณ์ว่า จากมาตรการดังกล่าว จะทำให้โครงการบ้านจัดสรรมีโอกาสเติบโต โดยเฉพาะตลาดทาวน์เฮาส์ เนื่องจากในสภาพเศรษฐกิจที่ยังไม่เติบโตอย่างมาก ผู้ที่คิดจะซื้อบ้านอาจจะระมัดระวังในการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย โดยคาดว่าสินค้าประเภททาวน์เฮาส์น่าจะมีความต้องการซื้อมากขึ้น เพราะระดับราคาไม่สูง ขณะที่บ้านเดี่ยว ผู้ที่คิดจะซื้อบ้านอาจจะไม่มั่นใจในเรื่องของรายได้ในอนาคต
" ตนไม่คิดว่าคอนโดฯจะแย่ลง หรือไม่ได้รับความสนใจ เนื่องจากปัญหาเรื่องการเดินทางที่ยังทำให้คนที่คิดซื้อที่อยู่อาศัย เลือกอยู่ในเมืองมากขึ้น เพราะการเดินทางสะดวก หรือแม้การจะขยายเรื่องระบบรถไฟฟ้าไปสู่นอกเมืองมากขึ้นนั้น ก็ไม่แน่ใจทำให้คนไปซื้อที่อยู่ไกลเมือง เพราะเรื่องราคาค่าโดยสารก็ยังไม่ชัดเจน " นายวสันต์กล่าว
ก่อนหน้านี้ บริษัทฯได้รายงานสถานการณ์ตลาดอสังหาฯพ.ย.51 มีโครงการเกิดใหม่รวมทั้งสิ้น 28 โครงการ มีจำนวนหน่วยรวมกันทั้งสิ้น 5,570 หน่วย มูลค่าโครงการรวม 19,226 ล้านบาท