xs
xsm
sm
md
lg

“เบญวรรณ”เปิดแผนฮับลุยตลาดจีน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ปัจจุบันประเทศจีน มีประชากรทั้งสิ้น 1,322 ล้านคน และในช่วง 9 เดือนแรก (ม.ค.-ก.ย.) GDP มีมูลค่า 20,163 พันล้านหยวน ตั้งเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2551 ที่ร้อยละ 10 มีมูลค่าการค้าระหว่างประเทศ โดยนำเข้ามูลค่า 891,306 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่งออก 1,074,397 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งถือได้ว่าจีนเป็นระบบเศรษฐกิจที่ใหญ่มาก
จากการที่จีน ซึ่งเป็นประเทศที่ใหญ่ ทำให้โอกาสในการค้า การขายของไทยไปยังตลาดจีน ก็มีเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย
ที่ผ่านมา ไทยมียุทธศาสตร์ในการทำการค้ากับจีน ภายใต้แนวคิดที่ว่า “ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดและลึกซึ้ง – Closer and Deepening Relationship) และมียุทธศาสตร์ 6 ข้อด้วยกัน คือ 1.เสริมสร้างความสัมพันธ์ในระดับมณฑลและเขตปกครองพิเศษ 2.จัดตั้งสภาธุรกิจย่อยระหว่างมณฑล รวมทั้งเขตปกครองพิเศษของจีนกับจังหวัดของไทย 3.แลกเปลี่ยนคณะผู้แทนการค้าในทุกระดับของภาครัฐบาลและภาคเอกชน 4.สนับสนุนธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) สู่ตลาดจีน 5.ขยายการค้าสินค้า โดยศูนย์กระจายสินค้าไทยในจีน และ 6.สร้างพันธมิตรกับนักธุรกิจจีนและนักธุรกิจจากประเทศที่สาม
พร้อมกันนี้ ยังมีนโยบายในการมุ่งทำการค้าในเขตเศรษฐกิจสำคัญๆ ได้แก่ เขตเศรษฐกิจปากน้ำจูเจียง ประกอบด้วยมณฑลฟูเจี้ยน กวางตง กวางซี กุ่ยโจว ไฮนาน หูนาน เจียงซี เสฉวย ยูนาน และเขตปกครองตนเองฮ่องกง เขตเศรษฐกิจลุ่มแม่น้ำฉางเจียง ประกอบด้วยมณฑลเจียงซู เจ้อเจียง และเขตปกครองตนเองเซี่ยงไฮ้ เขตเศรษฐกิจโป้ไห่ แถบทะเลเหลือง ประกอบด้วยมณฑลเหอเป่ย ชานตง และเขตปกครองตนเองปักกิ่งและเทียนจิน เขตเศรษฐกิจจีนอีสาน ประกอบด้วยมณฑลเหยหลงเจียง จี้หลิน และเหลียวหนิง และเขตเศรษฐกิจภาคตะวันตก ประกอบด้วย มณฑลอันหุย เหอหนาน ปูเปย กานซู หนิงเซีย ฉานซี ทิเบต ชิงไห่ และซินเจียง
สำหรับสินค้าและบริการที่มุ่งจะขยายตลาด ได้แก่ ผลไม้สด ข้าวหอมมะลิ ยางพารา อาหารฮาลาล เครื่องปรุงรสและส่วนประกอบอาหาร เครื่องประดับและเครื่องประดับแฟชั่น ภัตตาคาร สปา บันเทิง โลจิสติกส์ แฟรนไชส์ และบริการการศึกษา อู่ซ่อมรถยนต์ และคาร์แคร์ เป็นต้น
นางเบญจวรรณ รัตนประยูร ที่ปรึกษาการพาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าฮับภูมิภาคจีน กล่าวว่า ในปี 2552 กระทรวงพาณิชย์ให้ความสำคัญกับตลาดจีน เพราะจีนเป็นคู่ค้าอันดับ 2 ของไทย และเป็นประเทศส่งออกอันดับ 3 ของไทย ตั้งเป้าหมายไว้ว่าการส่งออกจะมีมูลค่ารวม 20,831 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 17% จากปีนี้ที่คาดว่าจะส่งออกได้มูลค่า 17,804 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 20% โดยมีคู่แข่งสำคัญ คือ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน สหรัฐฯ เยอรมันนี ออสเตรเลีย มาเลเซีย ซาอุดิอาระเบีย และบราซิล ซึ่งไทยอยู่อันดับที่ 11 ที่จีนนำเข้าจากทั่วโลก
เหตุผลที่คาดว่าการส่งออกไปจีนจะยังคงส่งออกได้เพิ่มขึ้น แม้ว่าเศรษฐกิจจีนจะชะลอตัวลงตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก แต่ IMF คาดว่าจีนจะเติบโตได้สูงถึง 9.27% และ 9.46% ในปี 2551 และ 2552 ตามลำดับ ที่สำคัญจีนยังได้ออกมาตรการกระตุ้นการขยายตัวเศรษฐกิจโดยการลงทุนในประเทศ ลดความเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อและการยุติการปล่อยให้เงินหยวนแข็งค่าเพื่อกระตุ้นการส่งออก ทำให้ตลาดจีนยังเติบโตได้สูง
สำหรับแผนเชิงรุกที่จะดำเนินการในปี 2552 เพื่อผลักดันให้การส่งออกเป็นไปตามเป้าหมาย นอกเหนือจากแผนงานที่มีอยู่แล้ว คือ การทำโครงการสร้างความสัมพันธ์ทางการค้าระดับสูง เพื่อจัดหาวัตถุดิบและผู้ร่วมลงทุน โครงการสร้างภาพลักษณ์สินค้าและบริการไทยในจีน โครงการพัฒนาผู้ประกอบธุรกิจเตรียมพร้อมสู่ตลาดจีน โครงการเพิ่มประสิทธิภาพบุคลากร โครงการ Market Intelligence เจาะลึกข้อมูลการตลาด โดยจะตั้งศูนย์ให้บริการคำปรึกษากฎหมายการค้าของจีน จัดทำฐานข้อมูลนักธุรกิจสำหรับการพัฒนาเข้าสู่ตลาดจีน จัดจ้างที่ปรึกษาจัดทำข้อมูลด้านเศรษฐกิจการค้าของจีนเชิงลึก การสร้างเครือข่ายผู้บริโภคในเมืองสำคัญของจีน และการสร้างเครือข่ายนักธุรกิจไทยในจีน โครงการส่งเสริมผลักดันการส่งออกและขยายความร่วมมือทางการค้าผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังไทยในจีน โครงการเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ข้าวหอมมะลิไทยในจีน โครงการพัฒนา Business Sub Council และโครงการขยายตลาดอาหารฮาลาลสู่จีน
ส่วนกิจกรรมส่งเสริมการส่งออกในปีงบประมาณ 2552 จะมีการดำเนินการทั้งสิ้น 75 งาน ได้แก่ การเข้าร่วมงานแสดงสินค้า การจัด Thailand Exhibition การจัด Instore Promotion Incoming Mission Outgoing Mission กิจกรรมพัฒนาศักยภาพสินค้า การพัฒนาธุรกิจบริการเพื่อการส่งออก การประชาสัมพันธ์ การวิจัยตลาด การพัฒนาข้อมูลการค้า และการส่งเสริมธุรกิจบริการทำ Internationalization
ขณะเดียวกัน จะหาทางเพิ่มยอดการค้าและการลงทุน ภายใต้การลงนามความสัมพันธ์บ้านพี่เมืองน้องกับจีน 12 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่กับเซี่ยงไฮ้ ภูเก็ตกับเมืองเอียนไถ มณฑลชานตง มณฑลไห่หนาน พิษณุโลกกับมณฑลเจ้อเจียง กรุงเทพฯ กับปักกิ่ง เมืองซัวเถา มณฑลกวางตง เพชรบุรีกับเมืองหูหลูเต่า มณฑลเหลียวหนิง เชียงรายกับมณฑลยูนนาน สุราษฎร์ธานีกับเมืองหนานหนิง มณฑลกว่างซี ขอนแก่นกับเมืองหนานหนิง มณฑลกว่างซี อุบลราชธานีกับเมืองเฉิงตู มณฑลเสฉวน สุโขทัยกับเมืองซีอาน มณฑลส่านซี และปัตตานีกับมณฑลหนิงเซี่ยะ
รวมทั้ง จะมีการพัฒนาความสัมพันธ์ในระดับหน่วยงานราชการไทย เช่น สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน กรมส่งเสริมการส่งออก สถาบันมาตรฐานอาหารฮาลาล ศูนย์อำนวยการบริหารภาคใต้ (ศอบต.) ที่ได้มีการลงนามร่วมกับมณฑลต่างๆ ของจีนให้มีการพัฒนาและเอื้อต่อการขยายการค้าและการลงทุนให้มากขึ้น
จากแผนงานและมาตรการที่จะดำเนินการควบคู่ไปกับแผนงานเดิมที่มีอยู่แล้วนั้น เชื่อว่า การส่งออกไทยไปจีนปี 2552 จะขยายตัวได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ 17% แน่นอน
กำลังโหลดความคิดเห็น