ASTVผู้จัดการรายวัน - อินไซด์กองทุนแบรนด์เนม บลจ.เอ็มเอฟซีเผย "I-CHIC" ผลตอบแทนติดลบ เป็นไปตามทิศทางราคาหุ้นที่ลดลงทั่วโลก ระบุข้อจำกัดต้องลงทุน 80% ของเอ็นเอวี ทำให้ดึงเงินกลับเพื่อหวังลดผลขาดทุนไม่ได้ทั้งหมด ย้ำพอร์ตลงทุนหุ้นดี-ปันผลงามหลายตัว ชูโอกาสลงทุนระยะยาวช่วงราคาถูก รับเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวครึ่งหลังของปีหน้า เผยผลตอบแทนล่าสุด ตั้งแต่ตั้งกอง ติดลบ 54.13% ด้าน "ธนชาตพรีเมียมแบรนดส์ฟันด์" อ่วมเช่นกัน ด้วยยิลด์ล่าสุด -40.42%
นายพิชิต อัคราทิตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลพวงจากราคาหุ้นในต่างประเทศที่ลดลง ส่งผลถึงผลการดำเนินงานของกองทุนเปิดเอ็มเอฟซี อินเตอร์เนชั่นแนล ชิค ฟันด์ (I-CHIC) ซึ่งเป็นกองทุนรวมต่างประเทศ (เอฟไอเอฟ) ที่มีนโยบายเน้นลงทุนในสินค้าแบรนด์เนม โดยที่ผ่านมามูลค่าหน่วยลงทุน (เอ็นเอวี) ของกองทุนปรับลดลงมาอยู่ที่ระดับ 4.5868 บาท (ณ วันที่ 28 พ.ย.)
ทั้งนี้ กองทุน I-CHIC เป็นกองทุนประเภท Feeder Fund ซึ่งลงทุนผ่านหน่วยลงทุนของกองกองทุน Dominion CHIC Fund Limited-Euro IC ShareClass (Master) ซึ่งตามนโยบายการลงทุนนั้น สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ระบุว่าต้องลงทุนไม่ต่ำกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ ดังนั้น จึงไม่สามารถปรับพอร์ตการลงทุนได้มากนักเหมือนกองทุนอื่นๆ ที่มีนโยบายลงทุนแบบผสมและบริษัทบริหารจัดการเอง ขณะเดียวกัน กองทุนหลักที่ I-CHIC เข้าไปลงทุนนั้น ก็มีนโยบายลงทุนหุ้นในสัดส่วน 90%
"ข้อกำหนดดังกล่าว ทำให้กองทุนไม่สามารถปรับพอร์ตการลงทุนได้มากนัก ส่งผลให้ผลตอบแทนออกมาติดลบและเอ็นเอวีลดลงค่อนข้างมากกว่ากองทุนประเทศอื่น ซึ่งราหุ้นที่ปรับลดลงมาเอง ก็ไม่ได้เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของบริษัท แต่เป็นการลดลงตามภาวะการลงทุนทั่วโลก อันเป็นผลมาจากความกังวลปัญหาวิกฤตสถาบันการเงินในสหรัฐ ซึ่งลามไปถึงการลงทุนทั่วโลกด้วย"นายพิชิตกล่าว
อย่างไรก็ตาม พอร์ตการลงทุนของกองทุน I-CHIC มีหุ้นที่ดีๆ อยู่หลายตัว ไม่ได้แย่ไปตามภาวะการลงทุนในตลาดไปทั้งหมด และหุ้นบางตัวเอง ก็ยังจ่ายเงินปันผลได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งการที่ผลการดำเนินงานลดลงเป็นผลมาจากราคาหุ้นที่ลดลง ซึ่งเป็นไปทุกกลุ่มอุตสาหกรรม
นายพิชิตกล่าวว่า สินค้าแบรนด์เนมเป็นสินค้าระดับไฮด์เอนด์ ซึ่งคนที่ซื้อจะเป็นกลุ่มคนท้ายๆ ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตการเงินและวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ซึ่งสินค้าแบรนด์เนมเองไม่ใช่สินค้าฟุ้มเฟือย แต่เป็นสินค้าที่มีคุณภาพสูง ซึ่งเป็นความต้องการของคนอีกกลุ่มที่ต้องการคุณภาพ ดังนั้น ความต้องการของสินค้าเหล่านี้จึงอยู่ที่กลุ่มคนมีฐานะ ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้ยังมีกำลังซื้ออยู่
ทั้งนี้ จากการประเมินกันว่าในช่วงครึ่งปีหลัง เศรษฐกิจทั่วโลกจะเริ่มฟื้นตัว ดังนั้น จะมีส่วนช่วยกระตุ้นการบริโภคและการใช้จ่ายมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อการลงทุนดังกล่าว ในขณะเดียวกัน การที่ราคาหุ้นปรับลดลงมามาก จึงเป็นโอกาสดีที่จะเข้ามาลงทุนในระยะยาว เพราะหากเศรษฐกิจฟื้นตัวจริง สินค้าในกลุ่มนี้ จะฟื้นตัวก่อน
"การคาดการณ์ว่าครึ่งปีหน้าเศรษฐกิจจะฟื้นตัว น่าจะส่งผลดีต่อสินค้าในกลุ่มนี้ เพราะคนจะมีกำลังการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ดังนั้น การฟื้นตัวของกลุ่มนี้จึงน่าจะฟื้นตัวได้ก่อน ซึ่งการที่ปัจจุบันราคาหุ้นปรับลดลงมาค่อนข้างมาก จึงเป็นโอกาสที่ดีมากสำหรับการลงทุนระยะยาว"นายพิชิตกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ปัจจุบันมีกองทุนที่ลงทุนในสินค้าแบนรด์เนมจำนวน 2 กองทุน ซึ่งประกอบด้วยกองทุนเปิดเอ็มเอฟซี อินเตอร์เนชั่นแนล ชิค ฟันด์ ของบลจ.เอ็มเอฟซี และกองทุนเปิดธนชาตพรีเมียมแบรนดส์ฟันด์ (T-PREMIUM BRANDS) ของบลจ. ธนชาต
สำหรับกองทุนเปิดเอ็มเอฟซี อินเตอร์เนชั่นแนล ชิค ฟันด์ มีนโยบายลงทุนในหน่วยลงทุนของกองกองทุน Dominion CHIC Fund Limited-Euro IC ShareClass (Master) ซึ่งบริหารจัดการโดย Dominion Fund Management Limited เพียงกองทุนเดียว ซึ่งกองทุนดังกล่าวมีนโยบายลงทุนในตราสารแห่งทุนของบริษัทที่มีเครื่องหมายการค้า (Brand name) ที่เป็นที่รู้จักทั่วโลก
ปัจจุบัน (28 พ.ย.) กองทุนมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 84.55 ล้านบาท มูลค่าหน่วยลงทุน 4.5868 บาท ส่วนผลการดำเนินงานล่าสุด กองทุนให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือน -36.47% ย้อนหลัง 6 เดือนให้ผลตอบแทน -42.04% ย้อนหลัง 1 ปีให้ผลตอบแทน -50.61% ส่วนผลการดำเนินงานตั้งแต่จัดตั้งกองทุนอยู่ที่ -54.13%
ส่วนกองทุนเปิดธนชาตพรีเมียมแบรนดส์ฟันด์ มีนโยบายลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศเพียงกองทุนเดียว โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีตั้งแต่ร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ทั้งนี้ ในขณะที่จัดตั้งกองทุน กองทุนจะเน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศเพียงกองทุนเดียว คือ กองทุน PICTET FUNDS (LUX) - PREMIUM BRANDS ซึ่งจดทะเบียนในประเทศ Luxembourg
ทั้งนี้ กองทุน PICTET FUNDS (LUX) - PREMIUM BRANDS มีวัตถุประสงค์ในการลงทุนเพื่อแสวงหาการเติบโตของเงินลงทุน (capital growth strategy) โดยไม่ต่ำกว่า 2 ใน 3 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ เน้นลงทุนในตราสารทุนกลุ่มธุรกิจสินค้าหรือบริการที่มีการวางตำแหน่งสินค้าหรือบริการอยู่ในระดับบน (premium brands sectors) ซึ่งสินค้าหรือบริการเหล่านี้เป็นสินค้าหรือบริการที่มีคุณภาพสูง โดยบริษัทหรือกิจการดังกล่าวได้รับประโยชน์ทางการตลาดหรือมีความได้เปรียบในการแข่งขัน เช่น มีจุดแข็งด้านการรับรู้เกี่ยวกับสินค้าหรือการบริการของผู้บริโภค (strong market recognition) เนื่องจากสามารถเป็นผู้กำหนดหรือเป็นผู้มีอิทธิพลในการกำหนดแนวโน้มหรือกระแสความนิยมของผู้บริโภคได้ (consumers trends) รวมถึงการได้รับประโยชน์จากความสามารถในการกำหนดราคาสินค้าหรือบริการของตน
โดยผลการดำเนินงานล่าสุด ณ วันที่ 19 ธันวาคม 2551 มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 290.34 ล้านบาท มูลค่าหน่วยลงทุน 5.9577 บาท ส่วนผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ -22.00% ย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ -31.29% ย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ -36.15% และผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่จัดตั้งกองทุนอยู่ที่ -40.42%
นายพิชิต อัคราทิตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลพวงจากราคาหุ้นในต่างประเทศที่ลดลง ส่งผลถึงผลการดำเนินงานของกองทุนเปิดเอ็มเอฟซี อินเตอร์เนชั่นแนล ชิค ฟันด์ (I-CHIC) ซึ่งเป็นกองทุนรวมต่างประเทศ (เอฟไอเอฟ) ที่มีนโยบายเน้นลงทุนในสินค้าแบรนด์เนม โดยที่ผ่านมามูลค่าหน่วยลงทุน (เอ็นเอวี) ของกองทุนปรับลดลงมาอยู่ที่ระดับ 4.5868 บาท (ณ วันที่ 28 พ.ย.)
ทั้งนี้ กองทุน I-CHIC เป็นกองทุนประเภท Feeder Fund ซึ่งลงทุนผ่านหน่วยลงทุนของกองกองทุน Dominion CHIC Fund Limited-Euro IC ShareClass (Master) ซึ่งตามนโยบายการลงทุนนั้น สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ระบุว่าต้องลงทุนไม่ต่ำกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ ดังนั้น จึงไม่สามารถปรับพอร์ตการลงทุนได้มากนักเหมือนกองทุนอื่นๆ ที่มีนโยบายลงทุนแบบผสมและบริษัทบริหารจัดการเอง ขณะเดียวกัน กองทุนหลักที่ I-CHIC เข้าไปลงทุนนั้น ก็มีนโยบายลงทุนหุ้นในสัดส่วน 90%
"ข้อกำหนดดังกล่าว ทำให้กองทุนไม่สามารถปรับพอร์ตการลงทุนได้มากนัก ส่งผลให้ผลตอบแทนออกมาติดลบและเอ็นเอวีลดลงค่อนข้างมากกว่ากองทุนประเทศอื่น ซึ่งราหุ้นที่ปรับลดลงมาเอง ก็ไม่ได้เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของบริษัท แต่เป็นการลดลงตามภาวะการลงทุนทั่วโลก อันเป็นผลมาจากความกังวลปัญหาวิกฤตสถาบันการเงินในสหรัฐ ซึ่งลามไปถึงการลงทุนทั่วโลกด้วย"นายพิชิตกล่าว
อย่างไรก็ตาม พอร์ตการลงทุนของกองทุน I-CHIC มีหุ้นที่ดีๆ อยู่หลายตัว ไม่ได้แย่ไปตามภาวะการลงทุนในตลาดไปทั้งหมด และหุ้นบางตัวเอง ก็ยังจ่ายเงินปันผลได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งการที่ผลการดำเนินงานลดลงเป็นผลมาจากราคาหุ้นที่ลดลง ซึ่งเป็นไปทุกกลุ่มอุตสาหกรรม
นายพิชิตกล่าวว่า สินค้าแบรนด์เนมเป็นสินค้าระดับไฮด์เอนด์ ซึ่งคนที่ซื้อจะเป็นกลุ่มคนท้ายๆ ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตการเงินและวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ซึ่งสินค้าแบรนด์เนมเองไม่ใช่สินค้าฟุ้มเฟือย แต่เป็นสินค้าที่มีคุณภาพสูง ซึ่งเป็นความต้องการของคนอีกกลุ่มที่ต้องการคุณภาพ ดังนั้น ความต้องการของสินค้าเหล่านี้จึงอยู่ที่กลุ่มคนมีฐานะ ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้ยังมีกำลังซื้ออยู่
ทั้งนี้ จากการประเมินกันว่าในช่วงครึ่งปีหลัง เศรษฐกิจทั่วโลกจะเริ่มฟื้นตัว ดังนั้น จะมีส่วนช่วยกระตุ้นการบริโภคและการใช้จ่ายมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อการลงทุนดังกล่าว ในขณะเดียวกัน การที่ราคาหุ้นปรับลดลงมามาก จึงเป็นโอกาสดีที่จะเข้ามาลงทุนในระยะยาว เพราะหากเศรษฐกิจฟื้นตัวจริง สินค้าในกลุ่มนี้ จะฟื้นตัวก่อน
"การคาดการณ์ว่าครึ่งปีหน้าเศรษฐกิจจะฟื้นตัว น่าจะส่งผลดีต่อสินค้าในกลุ่มนี้ เพราะคนจะมีกำลังการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ดังนั้น การฟื้นตัวของกลุ่มนี้จึงน่าจะฟื้นตัวได้ก่อน ซึ่งการที่ปัจจุบันราคาหุ้นปรับลดลงมาค่อนข้างมาก จึงเป็นโอกาสที่ดีมากสำหรับการลงทุนระยะยาว"นายพิชิตกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ปัจจุบันมีกองทุนที่ลงทุนในสินค้าแบนรด์เนมจำนวน 2 กองทุน ซึ่งประกอบด้วยกองทุนเปิดเอ็มเอฟซี อินเตอร์เนชั่นแนล ชิค ฟันด์ ของบลจ.เอ็มเอฟซี และกองทุนเปิดธนชาตพรีเมียมแบรนดส์ฟันด์ (T-PREMIUM BRANDS) ของบลจ. ธนชาต
สำหรับกองทุนเปิดเอ็มเอฟซี อินเตอร์เนชั่นแนล ชิค ฟันด์ มีนโยบายลงทุนในหน่วยลงทุนของกองกองทุน Dominion CHIC Fund Limited-Euro IC ShareClass (Master) ซึ่งบริหารจัดการโดย Dominion Fund Management Limited เพียงกองทุนเดียว ซึ่งกองทุนดังกล่าวมีนโยบายลงทุนในตราสารแห่งทุนของบริษัทที่มีเครื่องหมายการค้า (Brand name) ที่เป็นที่รู้จักทั่วโลก
ปัจจุบัน (28 พ.ย.) กองทุนมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 84.55 ล้านบาท มูลค่าหน่วยลงทุน 4.5868 บาท ส่วนผลการดำเนินงานล่าสุด กองทุนให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือน -36.47% ย้อนหลัง 6 เดือนให้ผลตอบแทน -42.04% ย้อนหลัง 1 ปีให้ผลตอบแทน -50.61% ส่วนผลการดำเนินงานตั้งแต่จัดตั้งกองทุนอยู่ที่ -54.13%
ส่วนกองทุนเปิดธนชาตพรีเมียมแบรนดส์ฟันด์ มีนโยบายลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศเพียงกองทุนเดียว โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีตั้งแต่ร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ทั้งนี้ ในขณะที่จัดตั้งกองทุน กองทุนจะเน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศเพียงกองทุนเดียว คือ กองทุน PICTET FUNDS (LUX) - PREMIUM BRANDS ซึ่งจดทะเบียนในประเทศ Luxembourg
ทั้งนี้ กองทุน PICTET FUNDS (LUX) - PREMIUM BRANDS มีวัตถุประสงค์ในการลงทุนเพื่อแสวงหาการเติบโตของเงินลงทุน (capital growth strategy) โดยไม่ต่ำกว่า 2 ใน 3 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ เน้นลงทุนในตราสารทุนกลุ่มธุรกิจสินค้าหรือบริการที่มีการวางตำแหน่งสินค้าหรือบริการอยู่ในระดับบน (premium brands sectors) ซึ่งสินค้าหรือบริการเหล่านี้เป็นสินค้าหรือบริการที่มีคุณภาพสูง โดยบริษัทหรือกิจการดังกล่าวได้รับประโยชน์ทางการตลาดหรือมีความได้เปรียบในการแข่งขัน เช่น มีจุดแข็งด้านการรับรู้เกี่ยวกับสินค้าหรือการบริการของผู้บริโภค (strong market recognition) เนื่องจากสามารถเป็นผู้กำหนดหรือเป็นผู้มีอิทธิพลในการกำหนดแนวโน้มหรือกระแสความนิยมของผู้บริโภคได้ (consumers trends) รวมถึงการได้รับประโยชน์จากความสามารถในการกำหนดราคาสินค้าหรือบริการของตน
โดยผลการดำเนินงานล่าสุด ณ วันที่ 19 ธันวาคม 2551 มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 290.34 ล้านบาท มูลค่าหน่วยลงทุน 5.9577 บาท ส่วนผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ -22.00% ย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ -31.29% ย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ -36.15% และผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่จัดตั้งกองทุนอยู่ที่ -40.42%