xs
xsm
sm
md
lg

ตามติดผลงานกองแบรนด์เนม ดีหรือแย่...ท่ามกลางหุ้นผันผวน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


จากปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพรม์) และความวิตกกังกลเกี่ยวกับการถดถอยของเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา ทำให้ช่วงที่ผ่านตลาดหุ้นทั่วโลกประสบปัญหาดัชนีปรับลดลงต่ำอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจัยดังกล่าวส่งผลกระทบไปยังกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในต่างประเทศ (เอฟไอเอฟ) ของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นเดียวกัน

สาเหตุดังกล่าวทำให้เกิดแนวโน้มการลงทุนใหม่ๆ ขึ้นมาหลากหลายรูปแบบด้วยกัน อาทิ การลงทุนในตราสารหนี้ที่เชื่อมโยงกับพันธบัตรรัฐบาลของประเทศต่างๆ ซึ่งในปัจจุบันมีให้เลือกหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และที่ขาดเสียไม่ได้คือน้องใหม่อย่างพันธบัตรรัฐบาลเกาหลีใต้ที่ดูออกจะเนื้อหอมเป็นพิเศษ และหลาย บลจ.ต่างพร้อมใจกันเข็นกันออกมาให้เห็นกันค่อนข้างหนาตากันเป็นพิเศษในช่วงนี้

ส่วนสินทรัพย์อื่นในตลาดที่มีทำท่าจะมาแรง มีแนวโน้มเจริญเติบโตได้ดี มีความน่าสนใจในช่วงที่ตลาดหุ้นมีความผันผวนมาก และราคาน้ำมันที่นับวันจะปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ การลงทุนในทองคำ ตลาดหุ้นในภูมิภาคตะวันออกกลาง และสินค้าโภคภัณฑ์ นั่นเอง

วันนี้ "ผู้จัดการกองทุนรวม" ขอพามาดูการลงทุนในสินทรัพย์อื่นอย่างสินค้าแบรนด์เนม ว่าจะมีแนวโน้มเจริญเติบโตดี หรือมีแนวโน้มเป็นอย่างไรในอนาคต แต่อย่างไรก็ตาม การลงทุนย่อมมีความเสี่ยง ดังนั้นก่อนลงทุนควรศึกษารายละเอียดของหนังสือชี้ชวน เพื่อใช้ในการวิเคราะห์ความเสี่ยง และเป็นข้อมูลประกอบในการตัดสินใจด้วย

ศุภกร สุนทรกิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิจัยกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) เล่าให้ฟังว่า ผลประกอบการที่ผ่านมาของสินค้าแบรนด์เนมยังออกมาค่อนข้างดี แต่การที่ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลง และภาวะถดถอยของเศรษฐกิจาหรัฐอเมริกา ส่งผลให้หุ้นของสินค้าแบรนด์เนมปรับตัวลดลงตามไปด้วย

ทั้งนี้ ปัจจุบัน กองทุนเอ็มเอฟซี อินเตอร์เนชั่นแนล ชิค ฟันด์ มีการปรับน้ำหนักการลงทุน เพื่อป้องกันความเสี่ยง โดยหันมาปรับเพิ่มน้ำหนักในการถือเงินสดมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นของสินค้าแบรนด์เนมได้ปรับตัวลดลงมาที่ต่ำสุดหรือจุดที่ใกล้เคียงกับจุดที่ต่ำสุดแล้ว เชื่อว่าจากนี้ไปสินค้าแบรนด์เนมยังคงมีความน่าสนใจ ซึ่งสินค้าแบรนด์เนมอย่าง แอปเปิ้ล ไนกี้ และสตาร์บัคส์ยังมีแนวโน้มการเจริญเติบโตที่ดี และยอดขายของไอพอดยังสามารถขายได้ดี ยังมีคนนิยมสวมรองเท้ายี่ห้อไนกี้ และนิยมกินกาแฟจากสตาร์บัคส์อยู่เป็นจำนวนมาก โดยโครงสร้างปัจจัยยพื้นฐาน และกลยุทธ์ของกองทุนสินค้าแบรนด์เนมยังสามารถขยายตัวได้ดี

ทั้งนี้ จากการสำรวจผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปีของกองทุนเอฟไอเอฟที่ลงทุนในสินค้าแบรนด์เนมทั้ง 2 กองทุน คือ "ธนชาติพรีเมียมแบรนด์ฟันด์ - เอ็มเอฟซี อินเตอร์เนชั่นแนล ชิค ฟันด์" พบว่า ณ วันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2551 กองทุนเปิดธนชาติพรีเมียมแบรนด์ฟันด์ (T-PREMIUM BRAND) กองทุนภายใต้การบริหารจัดการของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ธนชาต จำกัด มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 554.90 ล้านบาท และให้ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี -7.43% ให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ -9.22% ผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ -12.25% และสามารถให้ผลลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ 0.00%

สำหรับกองทุนดังกล่าวเป็นกองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศที่มีลักษณะเป็นกองทุนรวมหน่วยลงทุน (Feeder Fund) ประเภทรับซื้อคืนหน่วยลงทุน (กองทุนเปิด) มีนโยบายการลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศเพียงกองทุนเดียว โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีตั้งแต่ร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ทั้งนี้ ในขณะที่จัดตั้งกองทุน กองทุนจะเน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศเพียงกองทุนเดียว คือ กองทุน PICTET FUNDS (LUX) - PREMIUM BRANDS ซึ่งจดทะเบียนในประเทศ Luxembourg PICTET FUNDS (LUX) - PREMIUM BRANDS

โดยมีวัตถุประสงค์ในการลงทุนเพื่อแสวงหาการเติบโตของเงินลงทุน (capital growth strategy) โดยไม่ต่ำกว่า 2 ใน 3 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ เน้นลงทุนในตราสารทุนกลุ่มธุรกิจสินค้าหรือบริการที่มีการวางตำแหน่งสินค้าหรือบริการอยู่ในระดับบน (premium brands sectors) ซึ่งสินค้าหรือบริการเหล่านี้เป็นสินค้าหรือบริการที่มีคุณภาพสูง โดยบริษัทหรือกิจการดังกล่าวได้รับประโยชน์ทางการตลาดหรือมีความได้เปรียบในการแข่งขัน เช่น มีจุดแข็งด้านการรับรู้เกี่ยวกับสินค้าหรือการบริการของผู้บริโภค (strong market recognition) เนื่องจากสามารถเป็นผู้กำหนดหรือเป็นผู้มีอิทธิพลในการกำหนดแนวโน้มหรือกระแสความนิยมของผู้บริโภคได้ (consumers trends) รวมถึงการได้รับประโยชน์จากความสามารถในการกำหนดราคาสินค้าหรือบริการของตน

ทั้งนี้ กองทุนดังกล่าวมีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่เกินปีละ 2 ครั้ง เมื่อกองทุนรวมมีกำไรสะสมหรือกำไรสุทธิในงวดบัญชีที่จะจ่ายเงินปันผลนั้น

ส่วนสัดส่วนการลงทุนของกองทุนนี้สิ้นสุด วันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2551 พบว่าลงทุนในหน่วยลงทุนในต่างประเทศประมาณ 93.89% และลงทุนในเงินฝากและอื่นๆ ประมาณ 6.11%

ขณะที่กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี อินเตอร์เนชั่นแนล ชิค ฟันด์ (I-CHIC) ของ บลจ.เอ็มเอฟซี มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิณ วันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2551 อยู่ที่ 196.15 ล้านบาท และให้ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี -15.27% ให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ -13.71% ผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ 0.00% และสามารถให้ผลลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ 0.00%

สำหรับกองทุนดังกล่าวจะลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน Dominion CHIC Fund Limited - Euro IC Share Class (Master) ซึ่งบริหารจัดการกองทุนโดย Dominion Fund Management Limited เพียงกองทุนเดียว มีนโยบายลงทุนในตราสารแห่งทุนของบริษัทที่มีเครื่องหมายการค้า (brand name) ที่เป็นที่รู้จักทั่วโลก เพื่อหวังผลตอบแทนที่ดีจากมูลค่าหน่วยลงทุนที่เพิ่มขึ้นอันเนื่องมาจากการปรับตัวของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศทั่วโลก โดยกองทุนตั้งเป้าหมายสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนที่ดีกว่าดัชนี MSCI World ที่ใช้เป็นดัชนีอ้างอิง

ทั้งนี้ กองทุนดังกล่าวไม่มีนโยบายในการจ่ายเงินปันผล ส่วนสัดส่วนการลงทุนของกองทุนนี้สิ้นสุด วันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2551 พบว่าลงทุนใน DOMCHEI GU EQUITY ประมาณ 92.11% ลงทุนสินทรัพย์อื่นๆ ประมาณ 7.89%
กำลังโหลดความคิดเห็น