xs
xsm
sm
md
lg

อาการที่น่าห่วงของประชาธิปัตย์

เผยแพร่:   โดย: ราวี เวียงพยัคฆ์

ศูนย์วิจัยความสุขชุมชน มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญหรือเอแบคโพลล์ เปิดเผยถึงการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ 17 จังหวัด จำนวน 3,516 ตัวอย่างเกี่ยวกับดัชนีความสุขภายหลังการเปลี่ยนขั้วทางการเมือง ผลปรากฏว่า ความสุขของประชาชนได้เพิ่มขึ้นจาก 4.84 ในช่วงเดือนตุลาคมมาอยู่ที่ 6.55 จากคะแนนเต็ม 10 ซึ่งถือว่าเป็นค่าความสุขที่สูงที่สุดตั้งแต่ที่มีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง หรือตั้งแต่ต้นปี 2551

ทั้งนี้ผลการสำรวจพบว่า คนไทยส่วนใหญ่หรือร้อยละ 79.7 นอนหลับได้ค่อนข้างสนิท ถึงนอนหลับได้สนิทขึ้นหลังการเมืองเปลี่ยนขั้ว ในขณะที่ร้อยละ 9.7 นอนหลับได้ระดับปานกลาง และร้อยละ 10.6 นอนไม่ค่อยหลับถึงนอนไม่หลับเลย

ผลการสำรวจยังพบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 59.7 สนับสนุนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี

และเมื่อจำแนกข้อมูลพบว่า คนกรุงเทพมหานครเกินครึ่งเพียงเล็กน้อย หรือร้อยละ 51.1 สนับสนุน ขณะที่คนในเขตเมืองหรือเขตเทศบาลส่วนใหญ่ร้อยละ 65.9 สนับสนุน

และประชาชนนอกเขตเทศบาล หรือร้อยละ 54.2 สนับสนุน

จะไม่ให้ดัชนีความสุขของประชาชนเพิ่มขึ้นได้อย่างไรเล่าครับ ในเมื่อตลอดทั้งปี 2551 เป็นปีแห่งความฝันร้ายของประชาชนที่ต้องทนอยู่กับการบริหารราชการแผ่นดินของนายสมัคร สุนทรเวช และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ซึ่งไม่ได้ใช้สติปัญญาที่จะบริหารบ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรือง นำความสุขสถาพรมาสู่ประชาชนแต่อย่างใด

พวกเขาวุ่นอยู่แต่การที่จะรับใช้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัวเพื่อให้รอดจากการติดคุก และกลับเข้ามามีอำนาจใหม่อีกครั้ง ด้วยการที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญจนกระทั่งประชาชนที่รักชาติ รักประชาธิปไตยต้องออกมาคัดค้าน พร้อมกันนั้นก็คิดแต่เมกะโปรเจกต์ที่จะทำให้พวกเขาถอนทุนคืน หรือเพิ่มความมั่งคั่ง มั่นคงให้แก่พวกเขาเท่านั้นเอง

ทุกข์ สุข ของประชาชนพวกเขาไม่ได้ให้ความสนใจเลยแม้แต่น้อย

แล้วจะให้ประชาชนทั้งหลายทั้งปวงมีความสุขได้อย่างไร

ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อเกิดการเปลี่ยนขั้วทางการเมืองอย่างน้อยที่สุด ระบอบทักษิณที่ลงหลักปักฐานมาเป็นเวลา 6-7 ปี ก็สั่นสะเทือนและนับวันจะถูกทำลายลง

ตัวเลขการสำรวจของมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ น่าจะเกิดขึ้นก่อนที่จะได้เห็นโฉมหน้าคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคเป็นผู้จัดการรัฐบาล

ไม่แน่นักว่า เมื่อได้เห็นโฉมหน้าของคณะรัฐมนตรี เห็นกรรมวิธีในการดึงพรรคโน้นพรรคนี้เข้าร่วมแล้ว ตัวเลขความสุขของประชาชนจะยังคงอยู่หรือสูงขึ้น หรือย้อนกลับไปสู่ความทุกข์ทรมานเหมือนสมัยที่เคยตื่นเช้าขึ้นมาก็เจอนายกรัฐมนตรีออกมาสำรากเกรี้ยวกราดเอากับนักข่าวและประชาชน และเมื่อพ้นไปจากคนเสียสติก็กลายเป็นคนที่ไม่รู้จักคำว่า รับผิดชอบ นอกจากยิ้มแหยๆ รับทุกสถานการณ์ (ทั้งการสั่งลุยประชาชนที่รัฐสภา หรือในยามที่เลือกซื้อตู้เย็น)

เมื่อเปลี่ยนผู้บริหารบ้านเมืองมาเป็นนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่เข้าใจปัญหาความทุกข์ สุขของประชาชน เข้าใจอารมณ์และความรู้สึกของประชาชนในยามนี้

แต่ครั้นเห็นหน้าตาคณะรัฐมนตรีของรัฐบาล ความรู้สึกก็ค่อนข้างจะผิดหวัง

ยิ่งมาได้ฟังนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นผู้จัดการรัฐบาลแสดงความจริงใจต่อพรรคการเมืองที่ยอมแปรพักตร์มาร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์ ก็ยิ่งทำให้ต้องคิดว่า พรรคประชาธิปัตย์ยอมลงทุนลงแรงมากมายขนาดนี้หรือ

“แม้จะเหลือเพียงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีก็เอา”

อะไรจะขนาดนั้น

พรรคประชาธิปัตย์วันนี้เป็นแกนในการจัดตั้งรัฐบาลมีกลุ่มนายเนวิน ชิดชอบ ประมาณ 30 กว่าคนเข้าร่วม นอกจากนั้นยังมีพรรคเล็กพรรคน้อยอื่นๆ เป็นต้น พรรคชาติไทย พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา พรรคมัชฌิมาธิปไตย ซึ่งต้องเปลี่ยนชื่อเพราะพรรคเหล่านี้ถูกยุบไปแล้ว โดยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ

พรรคประชาธิปัตย์ยอมยกกระทรวงมหาดไทย กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ ซึ่งเป็นกระทรวงเกรดเอ และคุมการบริหารดูแลเรื่องเศรษฐกิจให้พรรคร่วมรัฐบาลไปดูแล

นี่มันอะไรกัน?

เรื่องของเรื่องก็คือ ถ้าหากไม่ยกให้เขา พรรคและกลุ่มการเมืองเหล่านั้นก็จะไม่สนับสนุนให้พรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนในการจัดตั้งรัฐบาล ความฝันของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีก็จะหายลับไปทันที

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยังหนุ่มแน่นมีเวลาอีกยาวนาน ทน และรอต่อไปอีกไม่ได้เลยหรือ

หรือว่ารักและเป็นห่วงชาติบ้านเมืองจนกระทั่งอดรนทนต่อไปไม่ได้

นอกจากต้องยกกระทรวงเกรดเอสำคัญๆ ให้พรรคที่มาสนับสนุนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แล้ว บุคคลที่พรรคและกลุ่มการเมืองเหล่านั้นส่งเข้ามาเป็นรัฐมนตรีว่าการฯ ก็ดูไม่มีความเหมาะสมด้วยประการทั้งปวง

ภาคเอกชนเห็นชื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์แล้วก็มือไม้อ่อน ไม่มีความหวังใดๆ เหลืออยู่ ทั้งที่ก่อนหน้านั้นคิดว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ดี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ก็ดี ตลอดจนผู้หลักผู้ใหญ่ภายในพรรค เป็นต้นว่า นายชวน หลีกภัย นายบัญญัติ บรรทัดฐาน นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี ฯลฯ จะได้ช่วยกันให้สติแก่นายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ บ้าง

แต่เปล่า?

ความอยากเป็นรัฐบาลเช่นนี้จะแตกต่างไปจากความอยากที่นายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย แสดงออกในกาลก่อนตรงไหนเล่า

ยังไงก็ได้ ขอให้ได้เข้าร่วมรัฐบาลเสียก่อน หรือขอให้ได้มีโอกาสจัดตั้งรัฐบาลก็พอ

สิ่งที่โลกทั้งโลกกำลังเผชิญอยู่ขณะนี้คือ ปัญหาเศรษฐกิจ กระทรวงพาณิชย์เป็นกระทรวงหลักกระทรวงสำคัญที่เกี่ยวข้องกับปัญหาเศรษฐกิจที่โลกทั้งโลกกำลังเผชิญอยู่ พรรคประชาธิปัตย์ยอมให้กระทรวงสำคัญนี้ตกอยู่กับผู้ที่ไม่เคยรู้เรื่องการค้า การตลาด การนำเข้า การส่งออก ฯลฯ ได้อย่างไร ทั้งที่รู้ก็รู้อยู่ว่า ภูมิหลังของรัฐมนตรีคือ ธุรกิจอาบอบนวด เท่านั้นเอง

กระทรวงอุตสาหกรรมก็เช่นเดียวกัน

แล้วเราจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจกับประชาคมโลกเขาได้อย่างไร

นายกรัฐมนตรีกำกับดูแลทุกกระทรวง ทบวงก็จริงแหละ แต่ก็กำกับดูแลแต่เพียงหลวมๆ เท่านั้นเอง

ก่อนจะตั้งรัฐบาลก็ยังบอกว่าเป็นข้อจำกัดของการเข้าร่วมรัฐบาล หรือข้อจำกัดที่จะต้องพึ่งพาเสียงสนับสนุนจากพรรคอื่นเขา

ต่อไปนายกรัฐมนตรีจะไปทำอะไรเขาได้

ลองเอารายชื่อคณะรัฐมนตรีมาพิจารณาดูอีกครั้งสิครับ แต่ละคนต่างก็เคยร่วมหัวจมท้ายกับระบอบทักษิณมาแล้วทั้งสิ้น

แต่ละคนชาวพรรคประชาธิปัตย์เคยร้องยี้มาแล้วทั้งนั้น

มาคราวนี้พรรคประชาธิปัตย์ต้องหอบดอกไม้ไปคารวะพวกเขา

จำอาการยี้ของตัวเองไม่ได้หรอกหรือ
กำลังโหลดความคิดเห็น