xs
xsm
sm
md
lg

เสียงเตือนจากพันธมิตรฯ สงขลาถึงรัฐบาล ปชป. “หากยังจมปลักกับการเมืองน้ำเน่า เจอกันแน่”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

สุมิตร นวลมณี  กรรมการพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจังหวัดสงขลา  ผู้ประสานงานพันธมิตรฯ สงขลา
รายงาน
ศูนย์ข่าวหาดใหญ่
การลุกขึ้นชุมนุมของผองพี่น้อง “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” จากทุกสารทิศ เพื่อขับไล่ระบอบทักษิณระลอกแรกปี 2548-2549 และระลอกหลังปี 2551 นี้ ในส่วนของ จ.สงขลาถือว่ามีบทบาทสำคัญยิ่งในการแสดงพลังการเมืองภาคประชาชน โดยมี “คณะทำงาน” ของ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจังหวัดสงขลา” ซึ่งเกิดจากการรวมตัวของคนทุกภาคส่วนในพื้นที่ที่มีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือ ต่อต้านการคอร์รัปชัน แล้วปูทางสู่การเมืองใหม่

ณ ลานประวัติศาสตร์ หน้าสถานีรถไฟหาดใหญ่ ซึ่งถือเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญของการเมืองภาคประชาชน จากการลุกขึ้นสู้ของผู้คนในพื้นที่ตั้งแต่เมื่อครั้งเหตุการณ์ตุลามหาวิปโยค สู่พฤษภาทมิฬ จนถึงคราวนี้ที่เป็นการขับเคลื่อนในยุคของผองน้องพี่พันธมิตรฯ นั้น

ใน 2 ยุคขับเคลื่อนการเมืองภาคประชาชนครั้งหลังๆ นี้ พี่น้องประชาชนทั้งในสงขลาและใกล้เคียงคงคุ้นหน้าคุ้นตาชายร่างสูงใหญ่ ผมสีดอกเลา ที่ขะมักเขม้นกับการจัดเตรียมความพร้อมของเวทีและสถานที่ ทั้งการเริ่มกางเต็นท์ ทำความสะอาด จัดอุปกรณ์ จนกระทั่งรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างชั่วคราวหลังการชุมนุม ไม่นับรวมการระดมสมองเพื่อวางแผนการขับเคลื่อน ซึ่งเป็นการทำงานเปรียบเสมือนการปิดทองหลังพระที่แทบไม่มีใครเห็น แต่แบกภาระหน้าที่การงานไว้ค่อนปีกับการร่วมขับไล่ระบอบทรราช

เขาคือ “สุมิตร นวลมณี” กรรมการพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจังหวัดสงขลา ที่ต้องแบกภาระหนักในฐานะผู้ประสานงานพันธมิตรฯ สงขลา

“ชีวิตวัยเด็กของผมผูกพันอยู่กับการเมือง ชอบติดตามเรียนรู้เรื่องการเมือง การหาเสียงปราศรัยการเลือกตั้ง ส.ส.ซึ่งสะท้อนความต้องการของนักการเมือง ที่ต่างมักจะอ้างผลประโยชน์ของภาคประชาชนเป็นหลักในตอนหาเสียง แต่เมื่อได้รับการเลือกตั้งแล้วกลับใช้อำนาจของประชาชนไปในทางที่ผิด กอบโกยผลประโยชน์เข้าตนเองและพวกพ้อง ขาดจิตสำนึกสาธารณะที่จะทำประโยชน์ให้ประชาชน เป็นการเมืองที่เน่าเฟะ ตั้งแต่การเมืองระดับท้องถิ่นไปจนถึงการเมืองระดับประเทศ”

เป็นคำบอกเล่าถึงแรงบันดาลใจที่เข้าร่วมงานการเมืองภาคประชาชนของนายสุมิตร ก่อนที่จะเพิ่มเติมว่า ในช่วงชีวิตที่ยังเรียนหนังสืออยู่ เขาก็เข้าร่วมทำงานสาธารณะต่างๆ มากมาย เช่น งานของมูลนิธิ การเลือกตั้ง การให้ข้อมูลข่าวสาร เรื่อยมาจนได้ร่วมกับโรงเรียนต่อสู้เคียงข้างกับภาคประชาชนในเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ ซึ่งแม้ว่าในยุคนั้นยังส่งข้อมูลข่าวสารถึงกันได้ยาก แต่ผู้คนต่างก็ให้ความสนใจและมีความรู้ทางการเมือง

เช่นเดียวกับเหตุการณ์พฤษภาทมิฬปี 2535 เขาก็ได้เข้าร่วมขับไล่รัฐบาลทรราชของ พล.อ.สุจินดา คราประยูร ที่ได้ยึดอำนาจการปกครองประเทศโดยใช้ระบบเผด็จการทหาร
สุมิตร นวลมณี  ในวันรื้อเวที หน้าสถานีรถไฟหาดใหญ่
ส่วนใหญ่งานที่เขาทำอยู่ในส่วนการวางแผนกับเพื่อนร่วมอุดมการณ์เป็นหลัก โดยประเมินและชี้แนะว่าการจะขับเคลื่อนควรจะไปในทิศทางใด เขาไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นตัวชี้นำสังคม เพราะทำงานร่วมกับประชาชนมาตลอด ไม่ได้มีองค์กรใดมารองรับ ทำงานด้วยหัวใจที่อิ่มเอม เพราะต้องการทำให้สังคมดีขึ้น

นายสุมิตร บอกเล่า ถึงช่วงที่ตนเองเพิ่งเดินออกจากระบบการศึกษาหมาดๆ ว่า ได้เริ่มงานอาชีพเป็นพ่อค้าเร่ขายยาสมุนไพรไปยังชุมชนต่างๆ ทำให้คลุกคลีกับหลากหลายวิถีชีวิตของผู้คน ได้พบเห็นวัฒนธรรมประเพณีอันเป็นอัตลักษณ์ของแต่ละท้องถิ่นที่เปลี่ยนแปลงไป โดยมีวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามาสอดแทรกแทนที่ ทำให้เขาสะท้อนใจลึกๆ และต้องการให้สังคมไทยรักษารากเหง้าทางวัฒนธรรมเอาไว้ให้อยู่คู่กับสังคม เพราะจะเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนสังคมไทย

งานอาชีพต่อมาก็ไม่ทิ้งการคลุกคลีอยู่กับประชาชนกลุ่มต่างๆ นั่นคือเขาได้เข้าร่วมเป็นกลจักรสำคัญของอาณาจักรธุรกิจค้าปลีกขนาดใหญ่ในพื้นที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา รับผิดชอบงานด้านการโฆษณาประชาสัมพันธ์และการตลาด แต่ก็ยังคงงานอดิเรกในเรื่องของการแต่งเพลงและเขียนบทกวีที่ได้แรงบันดาลใจจากสิ่งที่พบเห็นในแต่ละห้วงเวลาไว้

อย่างไรก็ตาม หน้าที่การงานสุดท้ายก่อนที่เข้าร่วมขับเคลื่อนงานการเมืองภาคประชาชนกับพี่น้องพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจังหวัดสงขลา เพื่อต่อกรกับระบอบทักษิณหนล่าสุดในปี 2551 นี้คือ ผู้จัดการกองถ่ายละครโทรทัศน์เรื่องสัตยาช่วยด้วย ซึ่งออกอากาศไปแล้วทางสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส

“หลังจากที่ฟื้นเวทีพันธมิตรฯ สงขลา ณ ลานประวัติศาสตร์ หน้าสถานีรถไฟหาดใหญ่ ผมก็ได้เข้าร่วมขับเคลื่อนการต่อสู้กับระบอบทักษิณเรื่อยมา จนกระทั่งเกิดการชุมนุมปิดสนามบินสำคัญๆ ในภาคใต้ เช่นเดียวกับที่สนามบินนานาชาติหาดใหญ่ ผมก็ไม่ได้กลับไปทำงานที่กองถ่ายละครอีกเลย ยอมทิ้งงานทุกอย่างเพื่อมาร่วมต่อสู้กับพี่น้องพันธมิตรฯ เรา” นายสุมิตรกล่าวพร้อมระบายถึงมูลเหตุการณ์ทุ่มสุดตัวในการต่อสู้ครั้งนี้ว่า

จากการที่เฝ้าจับตาทางการเมืองมาตลอด จนได้เห็นว่าการเมืองในยุคนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก จากที่เคยโกงกินกันเพียงเล็กน้อย แต่ปัจจุบันนักการเมืองต่างโกงกินกันมากขึ้น แถมเป็นไปแบบซับซ้อนและแนบเนียนมาก โดยอาศัยช่องโหว่กฎหมายไปเอื้อผลประโยชน์ให้พวกพ้อง แล้วก็แบ่งปันกันระหว่างกลุ่มก๊วนการเมืองกับภาคธุรกิจ ซึ่งเราจะเห็นนักธุรกิจพลิกผันตัวเองมาเป็นนักการเมืองกันมากขึ้น เพราะต้องการอำนาจที่เบ็ดเสร็จเด็ดขาด มีลิ่วล้อและบารมี เพื่อที่จะทำให้ธุรกิจของตนเองมีความแข็งแกร่งมากขึ้น

นายสุมิตรเชื่อว่า การร่วมชุมชุมต่อสู้ของภาคประชาชนจะเป็นอีกกลไกลหนึ่งที่ผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระบบการเมือง ผลักดันจากการเมืองในยุคเก่าให้ก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ หรืออย่างน้อยก็จี้จิตสาธารณะของนักการเมืองให้พิทักษ์ผลประโยชน์ของภาคประชาชนและประเทศชาติเป็นหลัก ขอให้เพียงประชาชนตื่นตัวทางการเมือง แล้วต้องไม่รู้สึกเบื่อหน่าย โดยร่วมรับฟังข่าวสารรอบด้านเพื่อให้เท่าทันเล่ห์กลการทุจริตของนักการเมือง

ขณะเดียวกัน ในส่วนของสื่อมวลชนเองก็ต้องทำหน้าที่ให้สมบูรณ์ เสนอข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องเป็นจริง ชี้ให้เห็นถึงแก่นแท้ต้นตอของเรื่องราววิกฤตสังคมและการเมืองต่างๆ ไม่นำเสนอข่าวสารที่ทำให้ประชาชนเกิดความแตกแยก และไม่ยึดติดกับผลประโยชน์เฉพาะของตนหรือเครือข่ายตนเองเท่านั้น
เวที ลานประวัติศาสตร์ หน้าสถานีรถไฟหาดใหญ่ ที่เคยคึกคักในช่วงที่มีการชุมนุมใหญ่ เวลานี้ปิดลงแล้ว ก็มาจากฝีมือของผู้ชายคนนี้
“การต่อสู้ของพี่น้องพันธมิตรฯ ที่ผ่านมา สาเหตุสำคัญเกิดจากการนำเสนอข่าวสารของสื่อสาธารณะในช่องฟรีทีวีที่ไม่รอบด้าน ทำให้ประชาชนรับรู้ข่าวสารเพียงด้านเดียว แต่ประชาชนอีกกลุ่มหนึ่งมีความกระตือรือร้นที่จะตรวจสอบ เขาจึงขวนขวายจนได้รับข่าวสารอีกด้านหนึ่ง ทำให้สังคมแบ่งออกเป็นสองฝ่ายที่ชัดเจน ระหว่างกลุ่มที่รับรู้ข้อมูลข่าวสาร และกลุ่มที่ไม่รู้ข้อมูลข่าวสาร” นายสุมิตรกล่าวและว่า

การลุกขึ้นต่อสู้ของพี่น้องพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในครั้งนี้ พลังมวลชนเกิดขึ้นจากการรับรู้ข่าวสารที่ทีวีสาธารณะไม่กล้านำเสนอ จึงเข้าร่วมเพื่อเรียกร้องให้สังคมเกิดการเปลี่ยนแปลง ทั้งเรื่องการเมืองและบทบาทของสื่อ ถือเป็นการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่ของภาคประชาชนโดยแท้จริง เพราะประชาชนต่างเล็งเห็นความเน่าเฟะของนักการเมืองในปัจจุบันที่ใช้เงินซื้อทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นภาคธุรกิจ หรือกลุ่มข้าราชการ เพียงเพื่อต้องการอำนาจ และบารมีนำไปสู่ผลประโยชน์

“เมื่อประชาชนเล็งเห็นถึงผลเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับสังคม จึงต่างก็ไม่ยอมที่จะอยู่นิ่งเฉย จึงออกมาร่วมกันต่อสู้ทางการเมือง บางคนยอมทิ้งงาน ยอมโดนไล่ออกจากงาน ยอมเสียเพื่อนเพราะมีความคิดต่างกัน มารวมตัวกันตัวต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งการเมืองภาคประชาชน ไม่ได้มุ่งหวังผลประโยชน์ส่วนตน แต่ต่างทำเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติ ทั้งนี้ก็เพื่อวางรากฐานให้ลูกหลานในรุ่นต่อๆ ไป เพราะทุกคนคิดว่าถ้าไม่ออกมาสู้ในตอนนี้ต่อไปอาจไม่มีแรงสู้แล้วก็ได้ แม้ระหว่างการต่อสู้จะมีผู้เสียชีวิต และได้รับบาดเจ็บ แต่มิได้ทำให้เหล่าพี่น้องหวั่นเกรง ต่างยึดมั่นที่จะร่วมกันต่อสู้ให้ได้รับชัยชนะ”

นายสุมิตรยังกล่าวต่อด้วยว่า เมื่อนักการเมืองเห็นถึงการเสียสละของพี่น้องประชาชนครั้งนี้แล้ว นักการเมืองก็ควรตระหนักถึงความจริงว่า การที่ตนได้เข้ามาอยู่ในตำแหน่งเพราะใคร ถ้ามิใช่ประชาชนที่เลือกตนเองให้เข้ามาบริหารประเทศ เป็นตัวแทนของประชาชนและประเทศชาติ เลิกเห็นถึงผลประโยชน์ส่วนตน บริหารบ้านเมืองด้วยความสุจริต มีจิตสาธารณะทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม บ้านเมืองของเราก็จะกลับมาร่มเย็นเป็นสุขอีกครั้ง

“ในฐานะที่ผมเป็นนักต่อสู้คนหนึ่ง อยากให้นักวิชาการนำความรู้สู่ประชาชน อย่าเก็บข้อมูลเอาไว้แต่ในหนังสือ ในรั้วมหาวิทยาลัย ให้นำความรู้ออกสู่ท้องถนน เพราะประชาชนทุกคนเมื่อมีข้อมูลก็สามารถคิดต่อได้ ให้มีความอดทนที่จะถ่ายทอดความรู้ ปรับวิธีการนำเสนอให้ชาวบ้านมีความเข้าใจง่าย มีความเป็นรูปธรรม น่าสนใจ ไม่มุ่งนำเสนอในรูปแบบเดิม เช่น มัวแต่ว่ากันในเวทีสัมมนาต่างๆ เพราะประชาชนคงไม่มีเวลามากพอที่จะมานั่งฟังสัมมนา อีกทั้งไม่เข้าใจศัพท์ทางวิชาการ นักวิชาการจึงต้องปรับวิธีนำเสนอที่เข้าถึงชาวบ้านมากขึ้น สรุปสาระสำคัญของข้อมูลที่ชาวบ้านสามารถเข้าใจได้ง่าย และนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง”

แม้ว่าเวลานี้เวทีแสดงพลังของพี่น้องพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจังหวัดสงขลาจะหยุดลงชั่วคราว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะหยุดติดตามและจับตาการเมืองที่เปลี่ยนขั้วอำนาจจนเกิดรัฐบาลใหม่ภายใต้ปีกโอบของพรรคประชาธิปัตย์ พรรคการเมืองที่ได้ชื่อว่ามีสายเลือดสะตอเข้มข้น

“หากรัฐบาลใหม่ที่มีพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำ มีการกระทำที่ส่อไปทางทุจริตซ้ำรอยวงจรอุบาทว์ ก้าวย่ำอยู่ในการเมืองน้ำเน่าแบบเก่าๆ แล้ว พลังของประชาชนจากทั่วหัวระแหงก็พร้อมจะลุกขึ้นมาอีกครั้งแน่นอน โดยเฉพาะพันธมิตรฯ สงขลาเราด้วย” นายสุมิตรกล่าวทิ้งท้าย
กำลังโหลดความคิดเห็น