บทที่ฟ้าจะเปลี่ยนสี บ้านเมืองจะเปลี่ยนแปลง ก็เปลี่ยนแปลงได้อย่างฉับพลัน ชนิดที่ทำให้คนไทยและนักการเมืองตั้งตัวไม่ติด
วันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2551 ภายหลังจากที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยยุบพรรคพลังประชาชน พรรคชาติไทย และพรรคมัชฌิมาธิปไตย เพราะกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ประกาศเป็นชัยชนะของประชาชนเพราะบรรลุวัตถุประสงค์การชุมนุม และยุติการชุมนุมในวันที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2551 โดยประกาศเป็นเงื่อนไขว่า หากระบอบทักษิณกลับมา หรือรัฐบาลใหม่ไม่จริงใจในการแก้ไขปัญหาบ้านเมือง ก็จะกลับมาอีก
การยุติการชุมนุมด้วยบทพิสูจน์ความชอบธรรมตามคำวินิจฉัยยุบพรรคการเมือง และเก็บซ่อนเขี้ยวเล็บที่น่าเกรงขามเอาไว้ ทำให้ฝ่ายการเมือง นักวิชาการ และฝ่ายทหารต้องไปช่วยกันทำหน้าที่ในช่วงเวลาสุญญากาศเพื่อเปลี่ยนอำนาจรัฐให้พ้นจากระบอบทักษิณ ป้องกันไม่ให้วิกฤตทางการเมืองกลับคืนมาอีก
การเปลี่ยนอำนาจรัฐให้พ้นจากระบอบทักษิณ มีอยู่ 3 ทางเลือกคือ 1. พลิกขั้วทางการเมือง 2. ตั้งรัฐบาลแห่งชาติมาจากคนกลางเมื่อมีสุญญากาศ และ 3. รัฐประหาร
ฝ่ายการเมืองเลือก “พลิกขั้วทางการเมือง” ประชาธิปัตย์เลือกที่จะตั้งรัฐบาลไปก่อนโดยเร็วที่สุดเพื่อชิงเปิดสภาฯ เพื่อความได้เปรียบเมื่อตัวเองสามารถรวบรวมเสียงข้างมากเอาไว้ได้ โดยมองข้ามข้อกฎหมายไปก่อนว่า นายชัย ชิดชอบ จะสิ้นสถานะความเป็นประธานรัฐสภาซึ่งมาจาก ส.ส.ในระบบสัดส่วนจากพรรคการเมืองที่ถูกยุบพรรคไปหรือไม่?
วันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2551 นายเนวิน ชิดชอบ ได้พบกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และกอดกัน พร้อมกับประกาศอย่างชัดเจนว่าจะสนับสนุนให้นายอภิสิทธิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี
การได้รับการยืนยันจากนายเนวิน ชิดชอบ แม้ว่าจะมีเสียงครหาในเรื่องความไม่ชัดเจนเรื่องส.ส.ในระบบสัดส่วน และความไม่เหมาะสมในฐานะที่นายเนวินเป็นคนที่ถูกเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้ง รวมถึงประวัติในทางลบในช่วงเวลาที่ผ่านมา แต่ปัจจัยของนายเนวิน ได้กลายเป็นหัวใจสำคัญทำให้กลุ่ม ส.ส. ต่างๆ ไหลเปลี่ยนขั้วตามมาอีกหลายกลุ่มจนตั้งเป็นรัฐบาลได้สำเร็จ และการมีกลุ่มเพื่อนเนวินร่วมกับอภิสิทธิ์คือการลดอำนาจของระบอบทักษิณอย่างฉับพลัน
แม้ว่าประชาชนจำนวนมากจะรู้สึกว่ากลุ่มเพื่อนเนวินมีประวัติด่างพร้อยและไม่เป็นที่น่าไว้วางใจ แต่การดึงกลุ่มเพื่อนเนวินออกจากระบอบทักษิณจนพลิกขั้วทางการเมืองได้สำเร็จ คือความพ่ายแพ้ยับเยินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ดังปรากฏในวีซีดีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ได้นำมาเปิดที่สนามศุภชลาศัย เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2551 แสดงความคับแค้นใจว่าการกระทำของกลุ่มเพื่อนเนวินคือ การหักหลังประชาชน และข่มขู่อาฆาตว่าคนที่ทำเช่นนี้ทั้งตระกูลก็จะอยู่ไม่ได้ ตามมาด้วยการคุกคามทั้งต่อร่างกายและทรัพย์สินจากกลุ่มคนเสื้อแดง
และเป็นครั้งแรกที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ออกอาการพ่ายแพ้ และเปรียบตัวเองว่า ยิ่งกว่าหมาจนตรอก!
นับตั้งแต่ปี 2544 เป็นต้นมา ไม่เคยมีใครคิดว่าจะมีใครที่จะโค่นล้ม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หรือเปลี่ยนขั้วทางการเมืองได้ จึงทำให้ข้าราชการทั้งหลายต่างปรนเปรอและรับใช้รัฐบาลในระบอบทักษิณอย่างไม่ลืมหูลืมตา และทำให้ต้องติดคุกถูกไล่ออกจากราชการในเวลาต่อมาไปแล้วหลายคน
แม้หลังเหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยายน พ.ศ. 2549 ข้าราชการทั้งหลายก็ยังเชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณ หรือพรรคพลังประชาชนจะกลับมาชนะและจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมากอีก ก็ทำให้ข้าราชการและรัฐมนตรีสมัยรัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ใส่เกียร์ว่างในการสะสางปัญหาของระบอบทักษิณต่อไป
แต่การพลิกขั้วการเมืองครั้งนี้ ทำให้เกิดการสูญเสียอำนาจรัฐให้กับขั้วการเมืองฝ่ายตรงกันข้ามเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 8 ปีที่ผ่านมา
นับตั้งแต่สัญญาณการพลิกขั้วทางการเมืองเริ่มชัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2551 ได้เกิดปรากฏการณ์ของข้าราชการเปลี่ยนสีแบบฉับพลันอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าราชการบางส่วนได้เริ่มปฏิบัติตามข้อเรียกร้องบางส่วนของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยฉบับที่ 29/2551 ลงวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2551
เป็นการเริ่มปฏิบัติตามข้อเรียกร้องโดยที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยังไม่ทันจะเริ่มปฏิบัติหน้าที่เป็นนายกรัฐมนตรีเลยด้วยซ้ำไป!
วันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2551 ในช่วงเวลาประมาณ 12.00 น. แกนนำพันธมิตรฯ ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 29/2551 มีข้อเรียกร้องให้ปลดข้าราชการหลายคนที่รับใช้ระบอบทักษิณ รวมถึงอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ พร้อมเสนอให้ถอดรายการความจริงวันนี้ และปฏิรูปสื่อทั้งระบบ
ช่วงเย็นวันเดียวกัน นายสุริยงค์ หุณฑสาร รักษาการผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที (ช่อง11) ยอมรับอย่างเป็นทางการว่าได้ถอดรายการความจริงวันนี้ ออกแล้ว เพราะทางสถานีได้จัดรายการอื่นมาแทนเพราะมีประโยชน์มากกว่า ทั้งๆ ที่รายการความจริงวันนี้เป็นกระบอกเสียงของรัฐบาลที่ทำลายความน่าเชื่อถือของกระบวนการยุติธรรม โดยไม่มีใครทำอะไรได้ มา 6 เดือนกว่า
วันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2551 นายธฤต จรุงวัฒน์ อธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ ได้เปิดเผยว่า ได้มีหนังสืออย่างเป็นทางการถึงบรรณาธิการนิตรสาร ดิ อิโคโนมิสต์กรมสารนิเทศ เพื่อประท้วงเนื้อหาในนิตยสารดังกล่าวฉบับวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2551 ภายหลังจากที่สถานีโทรทัศน์เอเอสทีวีได้ออกอากาศการจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ของนิตยสารดังกล่าวในเช้าวันเดียวกัน
วันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2551 กระทรวงการต่างประเทศได้ยกเลิกหนังสือเดินทางทูตของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แล้ว และเตรียมส่งให้กฤษฎีกาตีความต่อในกรณีของหนังสือเดินทางอื่นๆ ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็นตามข้อเรียกร้องส่วนหนึ่งในแถลงการณ์พันธมิตรฯ ฉบับที่ 29/2551 ลงวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2551 และเป็นไปตามที่ น.ต.ประสงค์ สุ่นสิริ ได้มีหนังสือทวงถามและขอให้ปลัดกระทรวงการต่างประเทศทำหน้าที่ของตัวเองในการเพิกถอนหนังสือเดินทางทุกประเภทของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2551
ที่เกิดขึ้นมาทั้งหมดข้างต้น เกิดขึ้นหลังวันกอดกันกลมเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2551 ทำให้เข้าใจได้ว่า สิ่งที่ข้าราชการควรจะทำได้และไม่ได้ทำนั้นมีอยู่มากมายในเวลาที่นักการเมืองในระบอบทักษิณปกครองประเทศ และในเวลาที่เกิดสุญญากาศหรือการเปลี่ยนขั้วทางการเมือง ข้าราชการเหล่านี้ก็สามารถปรับเปลี่ยนท่าทีต่อระบอบทักษิณได้อย่างรวดเร็ว
ยังไม่มีใครรู้ว่าสถานการณ์ข้าราชการเปลี่ยนสีฉับพลัน จะมีการเปลี่ยนแปลงขนาดไหน แต่สะท้อนให้เห็นว่าสมรภูมิของระบอบทักษิณกำลังพ่ายแพ้อย่างยับเยินแล้ว
ใครจะเชื่อว่าข้อความที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พูดถึงอนาคตตัวเองจะเหมือน “ปากพระร่วง” พูดอะไรที่ยังไม่จริงโกหกในวันหนึ่ง แต่เกิดเป็นเรื่องจริงหลังจากนั้นไม่กี่วัน
1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พูดโฟนอินที่รัชมังคลากีฬาสถานอ้างว่า “ครอบครัวต้องแตกกระสานซ่านเซ็น พ่อไปอยู่ทาง แม่ไปอยู่ทาง ลูกไปอยู่ทาง” ทั้งๆ ที่ในตอนนั้นมีภาพถ่ายครอบครัวนี้เดินชอปปิ้งที่อังกฤษกันอย่างอบอุ่น แต่หลังจากนั้นไม่นาน วันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 อังกฤษได้เพิกถอนวีซ่าของ พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมาน และคู่สามีภรรยาได้หย่าร้างกันที่ฮ่องกงในวันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 25551
14 ธันวาคม พ.ศ. 2551 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้โอดครวญว่าจะถูกเพิกถอนหนังสือเดินทาง และได้เปรียบเทียบตัวเองว่าเป็นยิ่งกว่าหมาจนตรอก เช้าวันต่อมาประเทศไทยมีรัฐบาลเปลี่ยนขั้ว พร้อมๆ กับการที่กระทรวงการต่างประเทศประกาศยกเลิกหนังสือเดินทางทูตของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร สภาพใกล้จะไม่มีแผ่นดินจะอยู่ ยิ่งกว่าหมาจนตรอกจริงๆ
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พูดถึงตัวเองในทางร้ายได้แม่นยำยิ่งกว่า หมอลักษณ์ฟันธง หรือ หมอกฤษฎ์คอนเฟิร์ม เสียอีก
เพราะสมรภูมิต่างประเทศของ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้พ่ายแพ้ไปแล้ว หลังจากที่ประเทศอังกฤษได้ยกเลิกวีซ่าเข้าประเทศ ทำให้หมดความชอบธรรมในการโฆษณาทางสากล และกำลังอยู่ในภาวะที่ลำบากเพิ่มมากขึ้นเมื่อหนังสือเดินทางกำลังทยอยถูกเพิกถอนไปเรื่อยๆ
สมรภูมิทางกฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ พ่ายแพ้ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จากการตัดสินของศาลฎีกาในคดีการซื้อที่ดินย่านรัชดาภิเษกโดยไม่มีการอุทธรณ์ และพรรคพลังประชาชนที่สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกตุลาการศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคไปเพราะไม่สามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญได้สำเร็จ
สมรภูมิอำนาจรัฐ ได้พลิกขั้วทางการเมืองแล้ว ข้าราชการเริ่มเปลี่ยนสีฉับพลัน หลังจากนี้อีกไม่นานข้าราชการที่เป็นทาสรับใช้ระบอบทักษิณก็จะต้องเตรียมถูกโยกย้าย และถูกลงโทษไปเป็นจำนวนมาก
สมรภูมิสื่อ กำลังเปลี่ยนแปลงเปลี่ยนโดยฉับพลัน ทั้งทางโทรทัศน์และวิทยุของรัฐ
สมรภูมิทางวิชาการ สายวิชาการที่อิงแอบสนับสนุนระบอบทักษิณจำนวนมากถูกจับได้ไล่ทัน และกำลังหมดความชอบธรรมลงเรื่อยๆ ในทางสังคม
สมรภูมิการใช้ความรุนแรง ฝ่ายระบอบทักษิณจะต้องเผชิญหน้ากับอำนาจรัฐ ทหาร ตำรวจ และอำนาจสื่อที่เปลี่ยนมือ
ทั้งหมดสะท้อนให้เห็นว่าระบอบทักษิณกำลังอ่อนแอลงเรื่อยๆ ขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์ จะใช้โอกาสนี้ข้ามผ่านวิกฤตระบอบทักษิณให้พ้นได้สำเร็จหรือไม่?
ข้อเรียกร้องของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยทั้ง 13 ข้อนั้น ข้าราชการไทยได้เริ่มปรับตัวบางส่วนเพียงแค่เห็นสัญญาณการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเท่านั้น แต่ทั้งหมดก็คงจะอยู่ที่รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะว่าจะดำเนินการต่อไปอย่างไร?
สำหรับรัฐบาลชุดใหม่ ที่ได้เข้าสู่อำนาจเพราะมีประชาชนที่เสียสละชุมนุมมานานถึง 193 วัน ด้วยความอดทน มุ่งมั่น สละกำลังทรัพย์ แรงกาย แรงใจ แม้กระทั่งสูญเสียชีวิต สูญเสียอวัยวะ และบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก จนทำให้เกิดการยุบพรรคและเปลี่ยนขั้วทางการเมืองในวันนี้ ยังไม่ได้ยินท่าทีของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะแม้แต่คำเดียวต่อข้อเรียกร้องของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยทั้ง 13 ข้อ
ถ้านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยังไม่ตระหนักถึงปัญหาวิกฤตของบ้านเมือง ไม่สนใจข้อเรียกร้องของพันธมิตรฯ ไม่ปฏิรูปสื่อ ไม่ปฏิรูปรัฐตำรวจแล้ว ก็อย่าไปหวังว่าจะไปสร้างการเมืองใหม่ได้เลย แม้แต่วิกฤตที่รออยู่ข้างหน้าก็จะข้ามผ่านไปไม่ได้อย่างแน่นอน
ขออวยพรให้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ โชคดี และไม่ทำให้ดวงวิญญาณของวีรชน และประชาชนผู้เสียสละทั้งหลาย ต้องเสียใจเพราะความผิดหวังกับนักการเมืองอีกเลย!
วันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2551 ภายหลังจากที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยยุบพรรคพลังประชาชน พรรคชาติไทย และพรรคมัชฌิมาธิปไตย เพราะกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ประกาศเป็นชัยชนะของประชาชนเพราะบรรลุวัตถุประสงค์การชุมนุม และยุติการชุมนุมในวันที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2551 โดยประกาศเป็นเงื่อนไขว่า หากระบอบทักษิณกลับมา หรือรัฐบาลใหม่ไม่จริงใจในการแก้ไขปัญหาบ้านเมือง ก็จะกลับมาอีก
การยุติการชุมนุมด้วยบทพิสูจน์ความชอบธรรมตามคำวินิจฉัยยุบพรรคการเมือง และเก็บซ่อนเขี้ยวเล็บที่น่าเกรงขามเอาไว้ ทำให้ฝ่ายการเมือง นักวิชาการ และฝ่ายทหารต้องไปช่วยกันทำหน้าที่ในช่วงเวลาสุญญากาศเพื่อเปลี่ยนอำนาจรัฐให้พ้นจากระบอบทักษิณ ป้องกันไม่ให้วิกฤตทางการเมืองกลับคืนมาอีก
การเปลี่ยนอำนาจรัฐให้พ้นจากระบอบทักษิณ มีอยู่ 3 ทางเลือกคือ 1. พลิกขั้วทางการเมือง 2. ตั้งรัฐบาลแห่งชาติมาจากคนกลางเมื่อมีสุญญากาศ และ 3. รัฐประหาร
ฝ่ายการเมืองเลือก “พลิกขั้วทางการเมือง” ประชาธิปัตย์เลือกที่จะตั้งรัฐบาลไปก่อนโดยเร็วที่สุดเพื่อชิงเปิดสภาฯ เพื่อความได้เปรียบเมื่อตัวเองสามารถรวบรวมเสียงข้างมากเอาไว้ได้ โดยมองข้ามข้อกฎหมายไปก่อนว่า นายชัย ชิดชอบ จะสิ้นสถานะความเป็นประธานรัฐสภาซึ่งมาจาก ส.ส.ในระบบสัดส่วนจากพรรคการเมืองที่ถูกยุบพรรคไปหรือไม่?
วันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2551 นายเนวิน ชิดชอบ ได้พบกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และกอดกัน พร้อมกับประกาศอย่างชัดเจนว่าจะสนับสนุนให้นายอภิสิทธิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี
การได้รับการยืนยันจากนายเนวิน ชิดชอบ แม้ว่าจะมีเสียงครหาในเรื่องความไม่ชัดเจนเรื่องส.ส.ในระบบสัดส่วน และความไม่เหมาะสมในฐานะที่นายเนวินเป็นคนที่ถูกเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้ง รวมถึงประวัติในทางลบในช่วงเวลาที่ผ่านมา แต่ปัจจัยของนายเนวิน ได้กลายเป็นหัวใจสำคัญทำให้กลุ่ม ส.ส. ต่างๆ ไหลเปลี่ยนขั้วตามมาอีกหลายกลุ่มจนตั้งเป็นรัฐบาลได้สำเร็จ และการมีกลุ่มเพื่อนเนวินร่วมกับอภิสิทธิ์คือการลดอำนาจของระบอบทักษิณอย่างฉับพลัน
แม้ว่าประชาชนจำนวนมากจะรู้สึกว่ากลุ่มเพื่อนเนวินมีประวัติด่างพร้อยและไม่เป็นที่น่าไว้วางใจ แต่การดึงกลุ่มเพื่อนเนวินออกจากระบอบทักษิณจนพลิกขั้วทางการเมืองได้สำเร็จ คือความพ่ายแพ้ยับเยินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ดังปรากฏในวีซีดีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ได้นำมาเปิดที่สนามศุภชลาศัย เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2551 แสดงความคับแค้นใจว่าการกระทำของกลุ่มเพื่อนเนวินคือ การหักหลังประชาชน และข่มขู่อาฆาตว่าคนที่ทำเช่นนี้ทั้งตระกูลก็จะอยู่ไม่ได้ ตามมาด้วยการคุกคามทั้งต่อร่างกายและทรัพย์สินจากกลุ่มคนเสื้อแดง
และเป็นครั้งแรกที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ออกอาการพ่ายแพ้ และเปรียบตัวเองว่า ยิ่งกว่าหมาจนตรอก!
นับตั้งแต่ปี 2544 เป็นต้นมา ไม่เคยมีใครคิดว่าจะมีใครที่จะโค่นล้ม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หรือเปลี่ยนขั้วทางการเมืองได้ จึงทำให้ข้าราชการทั้งหลายต่างปรนเปรอและรับใช้รัฐบาลในระบอบทักษิณอย่างไม่ลืมหูลืมตา และทำให้ต้องติดคุกถูกไล่ออกจากราชการในเวลาต่อมาไปแล้วหลายคน
แม้หลังเหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยายน พ.ศ. 2549 ข้าราชการทั้งหลายก็ยังเชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณ หรือพรรคพลังประชาชนจะกลับมาชนะและจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมากอีก ก็ทำให้ข้าราชการและรัฐมนตรีสมัยรัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ใส่เกียร์ว่างในการสะสางปัญหาของระบอบทักษิณต่อไป
แต่การพลิกขั้วการเมืองครั้งนี้ ทำให้เกิดการสูญเสียอำนาจรัฐให้กับขั้วการเมืองฝ่ายตรงกันข้ามเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 8 ปีที่ผ่านมา
นับตั้งแต่สัญญาณการพลิกขั้วทางการเมืองเริ่มชัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2551 ได้เกิดปรากฏการณ์ของข้าราชการเปลี่ยนสีแบบฉับพลันอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าราชการบางส่วนได้เริ่มปฏิบัติตามข้อเรียกร้องบางส่วนของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยฉบับที่ 29/2551 ลงวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2551
เป็นการเริ่มปฏิบัติตามข้อเรียกร้องโดยที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยังไม่ทันจะเริ่มปฏิบัติหน้าที่เป็นนายกรัฐมนตรีเลยด้วยซ้ำไป!
วันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2551 ในช่วงเวลาประมาณ 12.00 น. แกนนำพันธมิตรฯ ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 29/2551 มีข้อเรียกร้องให้ปลดข้าราชการหลายคนที่รับใช้ระบอบทักษิณ รวมถึงอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ พร้อมเสนอให้ถอดรายการความจริงวันนี้ และปฏิรูปสื่อทั้งระบบ
ช่วงเย็นวันเดียวกัน นายสุริยงค์ หุณฑสาร รักษาการผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที (ช่อง11) ยอมรับอย่างเป็นทางการว่าได้ถอดรายการความจริงวันนี้ ออกแล้ว เพราะทางสถานีได้จัดรายการอื่นมาแทนเพราะมีประโยชน์มากกว่า ทั้งๆ ที่รายการความจริงวันนี้เป็นกระบอกเสียงของรัฐบาลที่ทำลายความน่าเชื่อถือของกระบวนการยุติธรรม โดยไม่มีใครทำอะไรได้ มา 6 เดือนกว่า
วันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2551 นายธฤต จรุงวัฒน์ อธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ ได้เปิดเผยว่า ได้มีหนังสืออย่างเป็นทางการถึงบรรณาธิการนิตรสาร ดิ อิโคโนมิสต์กรมสารนิเทศ เพื่อประท้วงเนื้อหาในนิตยสารดังกล่าวฉบับวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2551 ภายหลังจากที่สถานีโทรทัศน์เอเอสทีวีได้ออกอากาศการจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ของนิตยสารดังกล่าวในเช้าวันเดียวกัน
วันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2551 กระทรวงการต่างประเทศได้ยกเลิกหนังสือเดินทางทูตของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แล้ว และเตรียมส่งให้กฤษฎีกาตีความต่อในกรณีของหนังสือเดินทางอื่นๆ ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็นตามข้อเรียกร้องส่วนหนึ่งในแถลงการณ์พันธมิตรฯ ฉบับที่ 29/2551 ลงวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2551 และเป็นไปตามที่ น.ต.ประสงค์ สุ่นสิริ ได้มีหนังสือทวงถามและขอให้ปลัดกระทรวงการต่างประเทศทำหน้าที่ของตัวเองในการเพิกถอนหนังสือเดินทางทุกประเภทของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2551
ที่เกิดขึ้นมาทั้งหมดข้างต้น เกิดขึ้นหลังวันกอดกันกลมเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2551 ทำให้เข้าใจได้ว่า สิ่งที่ข้าราชการควรจะทำได้และไม่ได้ทำนั้นมีอยู่มากมายในเวลาที่นักการเมืองในระบอบทักษิณปกครองประเทศ และในเวลาที่เกิดสุญญากาศหรือการเปลี่ยนขั้วทางการเมือง ข้าราชการเหล่านี้ก็สามารถปรับเปลี่ยนท่าทีต่อระบอบทักษิณได้อย่างรวดเร็ว
ยังไม่มีใครรู้ว่าสถานการณ์ข้าราชการเปลี่ยนสีฉับพลัน จะมีการเปลี่ยนแปลงขนาดไหน แต่สะท้อนให้เห็นว่าสมรภูมิของระบอบทักษิณกำลังพ่ายแพ้อย่างยับเยินแล้ว
ใครจะเชื่อว่าข้อความที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พูดถึงอนาคตตัวเองจะเหมือน “ปากพระร่วง” พูดอะไรที่ยังไม่จริงโกหกในวันหนึ่ง แต่เกิดเป็นเรื่องจริงหลังจากนั้นไม่กี่วัน
1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พูดโฟนอินที่รัชมังคลากีฬาสถานอ้างว่า “ครอบครัวต้องแตกกระสานซ่านเซ็น พ่อไปอยู่ทาง แม่ไปอยู่ทาง ลูกไปอยู่ทาง” ทั้งๆ ที่ในตอนนั้นมีภาพถ่ายครอบครัวนี้เดินชอปปิ้งที่อังกฤษกันอย่างอบอุ่น แต่หลังจากนั้นไม่นาน วันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 อังกฤษได้เพิกถอนวีซ่าของ พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมาน และคู่สามีภรรยาได้หย่าร้างกันที่ฮ่องกงในวันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 25551
14 ธันวาคม พ.ศ. 2551 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้โอดครวญว่าจะถูกเพิกถอนหนังสือเดินทาง และได้เปรียบเทียบตัวเองว่าเป็นยิ่งกว่าหมาจนตรอก เช้าวันต่อมาประเทศไทยมีรัฐบาลเปลี่ยนขั้ว พร้อมๆ กับการที่กระทรวงการต่างประเทศประกาศยกเลิกหนังสือเดินทางทูตของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร สภาพใกล้จะไม่มีแผ่นดินจะอยู่ ยิ่งกว่าหมาจนตรอกจริงๆ
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พูดถึงตัวเองในทางร้ายได้แม่นยำยิ่งกว่า หมอลักษณ์ฟันธง หรือ หมอกฤษฎ์คอนเฟิร์ม เสียอีก
เพราะสมรภูมิต่างประเทศของ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้พ่ายแพ้ไปแล้ว หลังจากที่ประเทศอังกฤษได้ยกเลิกวีซ่าเข้าประเทศ ทำให้หมดความชอบธรรมในการโฆษณาทางสากล และกำลังอยู่ในภาวะที่ลำบากเพิ่มมากขึ้นเมื่อหนังสือเดินทางกำลังทยอยถูกเพิกถอนไปเรื่อยๆ
สมรภูมิทางกฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ พ่ายแพ้ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จากการตัดสินของศาลฎีกาในคดีการซื้อที่ดินย่านรัชดาภิเษกโดยไม่มีการอุทธรณ์ และพรรคพลังประชาชนที่สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกตุลาการศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคไปเพราะไม่สามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญได้สำเร็จ
สมรภูมิอำนาจรัฐ ได้พลิกขั้วทางการเมืองแล้ว ข้าราชการเริ่มเปลี่ยนสีฉับพลัน หลังจากนี้อีกไม่นานข้าราชการที่เป็นทาสรับใช้ระบอบทักษิณก็จะต้องเตรียมถูกโยกย้าย และถูกลงโทษไปเป็นจำนวนมาก
สมรภูมิสื่อ กำลังเปลี่ยนแปลงเปลี่ยนโดยฉับพลัน ทั้งทางโทรทัศน์และวิทยุของรัฐ
สมรภูมิทางวิชาการ สายวิชาการที่อิงแอบสนับสนุนระบอบทักษิณจำนวนมากถูกจับได้ไล่ทัน และกำลังหมดความชอบธรรมลงเรื่อยๆ ในทางสังคม
สมรภูมิการใช้ความรุนแรง ฝ่ายระบอบทักษิณจะต้องเผชิญหน้ากับอำนาจรัฐ ทหาร ตำรวจ และอำนาจสื่อที่เปลี่ยนมือ
ทั้งหมดสะท้อนให้เห็นว่าระบอบทักษิณกำลังอ่อนแอลงเรื่อยๆ ขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์ จะใช้โอกาสนี้ข้ามผ่านวิกฤตระบอบทักษิณให้พ้นได้สำเร็จหรือไม่?
ข้อเรียกร้องของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยทั้ง 13 ข้อนั้น ข้าราชการไทยได้เริ่มปรับตัวบางส่วนเพียงแค่เห็นสัญญาณการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเท่านั้น แต่ทั้งหมดก็คงจะอยู่ที่รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะว่าจะดำเนินการต่อไปอย่างไร?
สำหรับรัฐบาลชุดใหม่ ที่ได้เข้าสู่อำนาจเพราะมีประชาชนที่เสียสละชุมนุมมานานถึง 193 วัน ด้วยความอดทน มุ่งมั่น สละกำลังทรัพย์ แรงกาย แรงใจ แม้กระทั่งสูญเสียชีวิต สูญเสียอวัยวะ และบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก จนทำให้เกิดการยุบพรรคและเปลี่ยนขั้วทางการเมืองในวันนี้ ยังไม่ได้ยินท่าทีของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะแม้แต่คำเดียวต่อข้อเรียกร้องของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยทั้ง 13 ข้อ
ถ้านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยังไม่ตระหนักถึงปัญหาวิกฤตของบ้านเมือง ไม่สนใจข้อเรียกร้องของพันธมิตรฯ ไม่ปฏิรูปสื่อ ไม่ปฏิรูปรัฐตำรวจแล้ว ก็อย่าไปหวังว่าจะไปสร้างการเมืองใหม่ได้เลย แม้แต่วิกฤตที่รออยู่ข้างหน้าก็จะข้ามผ่านไปไม่ได้อย่างแน่นอน
ขออวยพรให้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ โชคดี และไม่ทำให้ดวงวิญญาณของวีรชน และประชาชนผู้เสียสละทั้งหลาย ต้องเสียใจเพราะความผิดหวังกับนักการเมืองอีกเลย!