xs
xsm
sm
md
lg

บุชถูกรองเท้าปาใส่ขณะเยือนอิรัก ฝีมือผู้สื่อข่าวโกรธแค้นการรุกราน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เอเอฟพี – ผู้สื่อข่าวชาวอิรักขว้างรองเท้าใส่ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ในระหว่างแถลงข่าวการเดินทางไปเยือนอิรักเป็นการอำลาเมื่อวันอาทิตย์ (14) เผยให้เห็นถึงความรู้สึกเกลียดชังที่ยังมีต่อผู้นำสหรัฐฯ ซึ่งกำลังจะลงจากตำแหน่ง โดยตัวบุชเองก็ยอมรับว่าสหรัฐฯ “ยังไม่ชนะสงคราม”
ผู้สื่อข่าวใจเด็ดคนดังกล่าวชื่อมุนตาเซอร์ อัล-ไซดี เป็นผู้สื่อข่าวของสถานีโทรทัศน์อัล-แบกแดดดิอา ซึ่งแพร่ภาพจากกรุงไคโร ไซดีร่วมอยู่ในงานแถลงข่าวร่วมระหว่างบุชกับนายกรัฐมนตรีนูริ อัล-มาลิกิแห่งอิรัก เขาได้ลุกขึ้นตะโกนว่า “นี่ไงล่ะจูบอำลา ไอ้หมา” จากนั้นก็ขว้างรองเท้าใส่บุช
ทว่า บุชก้มศีรษะหลบได้ทัน รองเท้าข้างแรกจึงลอยไปชนธงชาติสหรัฐฯ และธงชาติอิรักที่อยู่ด้านหลังของผู้นำทั้งสอง ส่วนรองเท้าข้างที่สองก็ปาไม่ถูกเป้า ภายหลังเกิดเหตุไซดีถูกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยกรูกันเข้ารวบตัวและนำออกจากห้องแถลงข่าวทันที
ทั้งนี้ ในวัฒนธรรมอาหรับนั้น การใช้รองเท้าถือว่าเป็นการดูถูกอย่างรุนแรง โดยเมื่อเดือนเมษายน ปี 2003 ที่มีการโค่นรูปปั้นของซัดดัม ฮุสเซนลงนั้น ผู้คนที่โกรธแค้นจำนวนมากก็ได้ใช้รองเท้าตีที่ใบหน้าของรูปปั้นเช่นกัน
ส่วนบุชนั้นกลับหัวเราะกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขากล่าวว่า “ผมไม่เป็นอะไร แล้วถ้าคุณอยากได้ข้อมูลนะ รองเท้าที่เขาปามาน่ะเบอร์ 10 ครับ” ในเวลาต่อมา เขาก็ยังพยายามลดทอนความสำคัญของเรื่องนี้โดยบอกว่า “ผมไม่รู้ว่าผู้ชายคนนั้นทำเพราะอะไร แต่ผมไม่รู้สึกเลยว่าถูกคุกคาม”
ในเวลาต่อมา สถานีโทรทัศน์อัล-แบกแดดดิอา ได้ออกคำแถลงเรียกร้องให้ทางการอิรักต้องปล่อยตัวผู้สื่อข่าวผู้นี้ทันที เพื่อให้สอดคล้องกับความเป็นประชาธิปไตยและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ตามที่ทางการอเมริกันสัญญาที่จะให้แก่ชาวอิรัก
นอกจากนั้น มูซีร์ อัล คาฟาจี ผู้อำนวยการฝ่ายรายการของทางสถานีแห่งนี้ ได้กล่าวจากกรุงไคโร พูดถึงผู้สื่อข่าวผู้นี้ว่าเป็น “ชาวอาหรับผู้ภาคภูมิในศักดิ์ศรีและเป็นคนใจกว้าง”
บุชอยู่ในระหว่างการเยือนอิรักอย่างเป็นทางการครั้งที่ 4 และเป็นครั้งสุดท้ายหลังจากที่เขาได้สั่งการให้ส่งกำลังทหารเข้ารุกรานอิรักในเดือนมีนาคม 2003 เพื่อโค่นล้มอดีตประธานาธิบดีซัดดัม ฮุสเซน
ในการเยือนครั้งนี้บุชและมาลิกิได้ร่วมลงนามในข้อตกลงความมั่นคงฉบับหนึ่ง ซึ่งกำหนดแนวทางชุดใหม่เกี่ยวกำลังทหารสหรัฐฯในอิรัก บุชกล่าวว่า “สงครามยังไม่ยุติ แต่จากข้อสรุปตามข้อตกลงฉบับนี้ ก็จะเป็นการเดินหน้าไปสู่ชัยชนะอย่างแน่นอน”
ก่อนหน้านี้ บุชยังได้นั่งรถยนต์เยี่ยมชมท้องถนนของกรุงแบกแดด โดยมีขบวนรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด แล้วจึงเดินทางไปยังที่พักของมาลิกิ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกทีเดียวที่บุชเดินทางออกนอกบริเวณเขตรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดในกรุงแบกแดด ที่เรียกกันว่า “กรีนโซน”
บุชนั้นยืนกรานปกป้องการทำสงครามรุกรานอิรักมาตลอด แม้ว่าเหตุรุนแรงจะทำให้ชาวอิรักหลายหมื่นคน และทหารอเมริกันมากกว่า 4,200 นายเสียชีวิตลงก็ตาม
ในวันเสาร์ (13) รอเบิร์ต เกตส์ รัฐมนตรีกลาโหมของสหรัฐฯ ก็ได้เดินทางไปเยือนอิรักและกล่าวถึงปฏิบัติการของสหรัฐฯ ว่ากำลังเข้าสู่ “ช่วงปิดเกม”
ทั้งนี้ พิธีลงนามในข้อตกลงระหว่างบุชกับมาลิกิคราวนี้ ถือเป็นการยอมรับและประกาศใช้ “ข้อตกลงว่าด้วยสถานะของกำลังทหาร” ที่รัฐสภาอิรักผ่านความเห็นชอบแล้วเมื่อเดือนพฤศจิกายน ข้อตกลงนี้จะใช้เป็นกรอบโครงทางกฎหมายสำหรับการที่กำลังทหารสหรัฐฯ 146,000 คน เข้าไปประจำการอยู่ในฐานทัพกว่า 400 แห่งในอิรัก ภายหลังจากอาณัติที่ได้รับจากสหประชาชาติจะหมดอายุลงในสิ้นปีนี้
นอกจากนั้น ข้อตกลงฉบับนี้ยังระบุให้กำลังทหารสหรัฐฯ ถอนตัวออกจากอิรักภายในปี 2011 และออกจากพื้นที่ในเขตเมืองทั้งหมดภายในวันที่ 30 มิถุนายนปีหน้า ทว่า พลเอกเรย์มอนด์ โอดิเออร์โน ผู้บัญชาการทหารสหรัฐฯในอิรัก กล่าวแสดงความหวังว่าสหรัฐฯจะยังคงกำลังในเมืองใหญ่ๆ ของอิรักไว้ต่อไปโดยมีบทบาทด้านการสนับสนุนและฝึกอบรม
อย่างไรก็ตาม ท่าทีดังกล่าวทำให้กลุ่มเคลื่อนไหวของ ม็อคตาดา ซาดร์ นักการศาสนาหัวรุนแรงชาวชิอะห์ออกมากล่าวหาว่าสหรัฐฯ ไม่ตั้งใจที่จะทำตามกำหนดเส้นตาย และกลุ่มซาดร์ก็มีแผนออกมาประท้วงที่เมืองนาจาฟในวันจันทร์(15)ด้วย
กำลังโหลดความคิดเห็น