รอยเตอร์ – อิรักและสหรัฐฯ ลงนามในข้อตกลงถอนกำลังทหารสหรัฐฯ ออกจากอิรักภายในสิ้นปี 2011 แล้วเมื่อวันจันทร์ (17) นับเป็นเวลานานถึง 8 ปีหลังจากที่สหรัฐฯรุกรานอิรักเพื่อโค่นล้มรัฐบาลซัดดัม ฮุสเซน
ข้อตกลงดังกล่าวลงนามโดยโอชิยาร์ เซบารี รัฐมนตรีต่างประเทศอิรัก กับไรอัน คร็อกเกอร์ เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำอิรัก หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายเจรจากันอยู่นานหลายเดือนเกี่ยวกับการคงอยู่ของทหารสหรัฐฯ ในอนาคต
“วันนี้ถือเป็นวันประวัติศาสตร์อย่างชัดเจนสำหรับความสัมพันธ์ระหว่างอิรักกับสหรัฐฯ “ เซบารีกล่าวภายหลังลงนามร่วมกับคร็อกเกอร์แล้ว โดยทั้งสองฝ่ายต่างมีท่าทียิ้มแย้มและจับมือแสดงความยินดีแก่กันและกันท่ามกลางเสียงปรบมือของผู้ร่วมในพิธี แม้ว่าข้อตกลงนี้ยังจะต้องรอผ่านการเห็นชอบของรัฐสภาของอิรักด้วยก็ตาม นอกจากนั้นเซบารีและคร็อกเกอร์ยังร่วมลงนามในกรอบยุทธศาสตร์ระยะยาว ซึ่งเป็นกรอบกำหนดความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศด้วย
ทว่า เจ้าหน้าที่ทหารระดับสูงของสหรัฐฯ ยังตอบรับข้อตกลงดังกล่าวด้วยท่าทีระมัดระวัง พลเรือเอกไมค์ มุลเลน ประธานเสนาธิการทหารผสมของสหรัฐฯ กล่าวว่าเขาและผู้บัญชาการระดับสูงอื่นๆ ยอมรับเงื่อนไขต่างๆ ในข้อตกลงดังกล่าว แต่ยังเห็นว่าการถอนทหารควรจะเป็นไปตามเงื่อนไขด้านความมั่นคงมากกว่าตามกำหนดเวลาที่ตั้งไว้
ทั้งนี้ ตามข้อตกลงระบุว่าสหรัฐฯ จะถอนทหาร 150,000 นายออกจากอิรักภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2011 ซึ่งผู้แทนการเจรจาของฝ่ายอิรักมองว่าการกำหนดวันถอนทหารอย่างชัดเจนนับเป็นความสำเร็จของฝ่ายตน เนื่องจากที่ผ่านมารัฐบาลของประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ไม่เคยยอมรับเรื่องการกำหนดตารางเวลาให้ชัดเจนมาก่อน
สมาชิกสภานิติบัญญัติของอิรักได้ผ่านวาระแรกของการพิจารณาข้อตกลงฉบับนี้แล้ว และคาดหมายกันว่าน่าจะมีมติขั้นสุดท้ายกันในสัปดาห์หน้า
หลังจากที่สหรัฐฯรุกรานอิรักเพื่อโค่นล้มรัฐบาลของอดีตประธานาธิบดีซัดดัม ฮุสเซน ก็ได้อาศัยอำนาจมอบหมายที่ได้รับจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ มาเป็นกรอบความชอบธรรมในการคงกองทหารอเมริกันและพันธมิตรเอาไว้ในอิรัก ทว่าอำนาจมอบหมายดังกล่าวจะหมดอายุลงในสิ้นปีนี้ ดังนั้นจึงต้องเร่งทำข้อตกลงระหว่างสหรัฐฯกับอิรักขึ้นมาใช้แทนต่อไป
จากข้อตกลงฉบับนี้จะทำให้รัฐบาลอิรักมีอำนาจที่จะเข้าไปจัดการในเรื่องปฏิบัติการของสหรัฐฯเป็นครั้งแรก โดยที่กำหนดให้กำลังทหารของสหรัฐฯถอนออกจากเขตเมืองและหมู่บ้านต่างๆ ภายในกลางปีหน้า และจะถอนทั้งหมดภายในสิ้นปี 2011 นอกจากนั้น ในข้อตกลงระบุให้ระบบศาลของอิรักสามารถนำทหารสหรัฐฯ ที่ก่ออาชญากรรมรุนแรงในขณะที่ไม่ได้อยู่ในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ ให้เข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดีได้ ทว่าก็ยังมีเงื่อนไขจำกัดค่อนข้างมาก
ด้านรัฐบาลบุชระบุว่าข้อตกลงดังกล่าวไม่ต้องผ่านความเห็นชอบรัฐสภาอเมริกัน ส่วนนักการเมืองของอิรักกล่าวว่าการผ่านความเห็นชอบของฝ่ายอิรักคงเป็นไปได้ง่าย หลังจากที่บารัค โอบามาแห่งเดโมแครตมีชัยชนะในการเลือกตั้งและจะเข้ารับตำแหน่งต่อจากบุช ทั้งนี้เพราะเขาให้คำมั่นในระหว่างการหาเสียงมาตลอดว่าจะถอนทหารสหรัฐฯ ออกจากอิรักภายในกลางปี 2010
ข้อตกลงดังกล่าวลงนามโดยโอชิยาร์ เซบารี รัฐมนตรีต่างประเทศอิรัก กับไรอัน คร็อกเกอร์ เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำอิรัก หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายเจรจากันอยู่นานหลายเดือนเกี่ยวกับการคงอยู่ของทหารสหรัฐฯ ในอนาคต
“วันนี้ถือเป็นวันประวัติศาสตร์อย่างชัดเจนสำหรับความสัมพันธ์ระหว่างอิรักกับสหรัฐฯ “ เซบารีกล่าวภายหลังลงนามร่วมกับคร็อกเกอร์แล้ว โดยทั้งสองฝ่ายต่างมีท่าทียิ้มแย้มและจับมือแสดงความยินดีแก่กันและกันท่ามกลางเสียงปรบมือของผู้ร่วมในพิธี แม้ว่าข้อตกลงนี้ยังจะต้องรอผ่านการเห็นชอบของรัฐสภาของอิรักด้วยก็ตาม นอกจากนั้นเซบารีและคร็อกเกอร์ยังร่วมลงนามในกรอบยุทธศาสตร์ระยะยาว ซึ่งเป็นกรอบกำหนดความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศด้วย
ทว่า เจ้าหน้าที่ทหารระดับสูงของสหรัฐฯ ยังตอบรับข้อตกลงดังกล่าวด้วยท่าทีระมัดระวัง พลเรือเอกไมค์ มุลเลน ประธานเสนาธิการทหารผสมของสหรัฐฯ กล่าวว่าเขาและผู้บัญชาการระดับสูงอื่นๆ ยอมรับเงื่อนไขต่างๆ ในข้อตกลงดังกล่าว แต่ยังเห็นว่าการถอนทหารควรจะเป็นไปตามเงื่อนไขด้านความมั่นคงมากกว่าตามกำหนดเวลาที่ตั้งไว้
ทั้งนี้ ตามข้อตกลงระบุว่าสหรัฐฯ จะถอนทหาร 150,000 นายออกจากอิรักภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2011 ซึ่งผู้แทนการเจรจาของฝ่ายอิรักมองว่าการกำหนดวันถอนทหารอย่างชัดเจนนับเป็นความสำเร็จของฝ่ายตน เนื่องจากที่ผ่านมารัฐบาลของประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ไม่เคยยอมรับเรื่องการกำหนดตารางเวลาให้ชัดเจนมาก่อน
สมาชิกสภานิติบัญญัติของอิรักได้ผ่านวาระแรกของการพิจารณาข้อตกลงฉบับนี้แล้ว และคาดหมายกันว่าน่าจะมีมติขั้นสุดท้ายกันในสัปดาห์หน้า
หลังจากที่สหรัฐฯรุกรานอิรักเพื่อโค่นล้มรัฐบาลของอดีตประธานาธิบดีซัดดัม ฮุสเซน ก็ได้อาศัยอำนาจมอบหมายที่ได้รับจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ มาเป็นกรอบความชอบธรรมในการคงกองทหารอเมริกันและพันธมิตรเอาไว้ในอิรัก ทว่าอำนาจมอบหมายดังกล่าวจะหมดอายุลงในสิ้นปีนี้ ดังนั้นจึงต้องเร่งทำข้อตกลงระหว่างสหรัฐฯกับอิรักขึ้นมาใช้แทนต่อไป
จากข้อตกลงฉบับนี้จะทำให้รัฐบาลอิรักมีอำนาจที่จะเข้าไปจัดการในเรื่องปฏิบัติการของสหรัฐฯเป็นครั้งแรก โดยที่กำหนดให้กำลังทหารของสหรัฐฯถอนออกจากเขตเมืองและหมู่บ้านต่างๆ ภายในกลางปีหน้า และจะถอนทั้งหมดภายในสิ้นปี 2011 นอกจากนั้น ในข้อตกลงระบุให้ระบบศาลของอิรักสามารถนำทหารสหรัฐฯ ที่ก่ออาชญากรรมรุนแรงในขณะที่ไม่ได้อยู่ในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ ให้เข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดีได้ ทว่าก็ยังมีเงื่อนไขจำกัดค่อนข้างมาก
ด้านรัฐบาลบุชระบุว่าข้อตกลงดังกล่าวไม่ต้องผ่านความเห็นชอบรัฐสภาอเมริกัน ส่วนนักการเมืองของอิรักกล่าวว่าการผ่านความเห็นชอบของฝ่ายอิรักคงเป็นไปได้ง่าย หลังจากที่บารัค โอบามาแห่งเดโมแครตมีชัยชนะในการเลือกตั้งและจะเข้ารับตำแหน่งต่อจากบุช ทั้งนี้เพราะเขาให้คำมั่นในระหว่างการหาเสียงมาตลอดว่าจะถอนทหารสหรัฐฯ ออกจากอิรักภายในกลางปี 2010
