ASTVผู้จัดการรายวัน – กระทรวงการต่างประเทศแจ้งการยกเลิกพาสปอร์ตแดงทักษิณแล้ว ส่วนหนังสือเดินทางธรรมดาส่งเรื่องให้กฤษฎีกาตีความก่อนตัดสินใจ “กษิต ภิรมย์” พร้อมรับตำแหน่งเจ้ากระทรวงบัวแก้วหากพรคมอบหมาย “พงษ์เทพ” ลั่น “ทักษิณ” ไม่กลัวถูกถอนพาสปอร์ต ขู่อย่าเลือกปฏิบัติเพราะไม่เคยมีอดีตนายกฯ เคยโดนถอนพาสปอร์ตมาก่อน
วานนี้ (15 ธ.ค.) กระทรวงการต่างประเทศ ได้ออกคำแถลงกรณีการยกเลิกหนังสือเดินทางทูต (พาสปอร์ตแดง) ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า ตามที่ได้มีผู้สื่อข่าวสอบถามข้อเท็จจริง เกี่ยวกับรายงานข่าวเรื่องกระทรวงการต่างประเทศ ยกเลิกหนังสือเดินทางของ พ.ต.ท.ทักษิณ นั้น กระทรวงการต่างประเทศ ได้ให้ข้อมูลว่า ได้ยกเลิกหนังสือเดินทางทูตของอดีตนายกรัฐมนตรีแล้ว
กระทรวงการต่างประเทศ แจ้งด้วยว่า ได้พิจารณาเรื่องนี้ด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง เนื่องจากมีประเด็นทางกฎหมาย และมีนัยทางการเมืองที่สำคัญ และที่ผ่านมา ได้มีการทำความเห็นเสนอต่อรัฐบาลผ่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ มาแล้ว 3 รัฐบาล จนกระทั่งได้มีคำพิพากษาเกี่ยวกับอดีตนายกรัฐมนตรี และคดีได้ถึงที่สุดเนื่องจากไม่มีการอุทธรณ์
ก่อนการตัดสินใจยกเลิกหนังสือเดินทางทูตดังกล่าว กระทรวงการต่างประเทศ ได้ปรึกษาหารือกับรัฐบาลอีกครั้ง จนเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา (12 ธ.ค.) กระทรวงการต่างประเทศ ในฐานะผู้รักษาการตามระเบียบนี้ได้ตัดสินใจยกเลิกหนังสือเดินทางทูต
กระทรวงการต่างประเทศ ได้ส่งหนังสือแจ้งเรื่องนี้ไปยังที่อยู่ของอดีตนายกรัฐมนตรีในกรุงเทพมหานครแล้ว
**เล่มธรรมดาส่งกฤษฎีกาชี้ขาด
สำหรับหนังสือเดินทางธรรมดาที่อดีตนายกรัฐมนตรีถืออยู่อีกเล่มนั้น กระทรวงการต่างประเทศได้ส่งเรื่องให้คณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อตีความในเรื่องสิทธิเสรีภาพในการเดินทางตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญปี 2550 เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาต่อไป
ทั้งนี้ ตามระเบียบกระทรวงการต่างประเทศ ว่าด้วยการออกหนังสือเดินทาง พ.ศ.2545 กำหนดให้มีหนังสือเดินทาง หรือ พาสปอร์ต มีทั้งสิ้น 5 ประเภทด้วยกัน คือ หนังสือเดินทางทูต หรือ พาสปอร์ตทูต หรือ พาสปอร์ตเล่มสีแดง, หนังสือเดินทางราชการ, หนังสือเดินทางธรรมดายกเว้นค่าธรรมเนียม, หนังสือเดินทางธรรมดา และหนังสือเดินทางหมู่
สำหรับหนังสือเดินทางทูต กำหนดบุคคลที่มีสิทธิ์ใช้ได้ ดังนี้ พระบรมวงศ์และพระนัดดาในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว, พระอนุวงศ์ชั้นพระองค์เจ้าและคู่สมรส, พระราชวงศ์และบุคคลสำคัญที่ราชเลขาธิการขอไปเป็นกรณีพิเศษ , ประธานองคมนตรี และองคมนตรี, นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี, ประธาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธาน และรองประธานวุฒิสภา, ประธานศาลฎีกา รองประธานศาลฎีกา และประธานศาลอุทธรณ์, ประธานศาลรัฐธรรมนูญ และประธานศาลปกครองสูงสุด, อดีตนายกรัฐมนตรี และอดีตรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ, ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และผู้บัญชาการเหล่าทัพ, ข้าราชการที่มีตำแหน่งทางการทูต ซึ่งเดินทางไปราชการในต่างประเทศ, ข้าราชการที่มีตำแหน่งทางการทูต ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ประจำอยู่ ณ ส่วนราชการในต่างประเทศ คู่สมรส และบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งอยู่ในความดูแลของบิดา มารดาในประเทศที่ประจำอยู่ หรือทำการศึกษาอยู่ในประเทศอื่น แต่บุตรจะต้องอายุไม่เกิน 25 ปี, คู่สมรสที่ร่วมเดินทางไปกับบุคคลดังกล่าวในข้อ (2) ถึงข้อ (8),
นอกจากนี้ ยังมีบุคคลอื่นใดเพื่อประโยชน์แก่ทางราชการหรือภายในพันธกรณีระหว่างประเทศ หรือภายในสถานการณ์พิเศษที่มีความจำเป็น หรือในกรณีที่เห็นสมควรเป็นกรณีพิเศษ หรือเกี่ยวกับการเผยแพร่ชื่อเสียงเกียรติคุณของประเทศ ในกรณีของอดีตเอกอัครราชทูต ให้ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ หรือผู้ที่ปลัดกระทรวงการต่างประเทศมอบหมายมีอำนาจใช้ดุลยพินิจในการอนุมัติให้ออกหนังสือเดินทางทูตได้ ทั้งนี้ หนังสือเดินทางทูตมีอายุตามความจำเป็นแต่ไม่เกิน 2 ปี ต่ออายุได้ครั้งละไม่เกิน 2 ปี
ส่วนระเบียบการยกเลิกหนังสือเดินทางนั้น กำหนดให้เจ้าพนักงานเจ้าหน้าที่หรือกระทรวงการต่างประเทศสามารถยกเลิกหรือเรียกคืนเมื่อปรากฏเหตุภายหลัง ซึ่งตามระเบียบกำหนดไว้ 7 ประการ แต่เงื่อนไขที่น่าจะเกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณ มีอยู่ด้วยกัน 2 ข้อ ดังนี้
1) เป็นบุคคลที่พนักงานเจ้าหน้าที่ไม่อาจออกหนังสือเดินทางได้ 3 ประการ ได้แก่ หนึ่ง เมื่อได้รังแจ้งว่า ผู้ขอผู้ซึ่งกำลังรับโทษในคดีอาญา หรืออยู่ระหว่างการปล่อยตัวชั่วคราวหรือเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญาที่มีการออกหมายจับไว้แล้วซึ่งศาลหรือพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจเห็นว่าไม่ควรออกหนังสือเดินทางให้ สอง เมื่อผู้ขอเป็นผู้ที่ศาลหรือเจ้าพนักงานซึ่งมีอำนาจตามกฎหมายอื่นสั่งห้ามไม่ให้เดินทางออกนอกราชอาณาจักร และ สาม เมื่อผู้ขอกระทำผิดกฎหมายหรือระเบียบปฏิบัติทางราชการซึ่งขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนหรือปิดบังความจริงอันเป็นสาระสำคัญหรือแสดงเอกสารหลักฐานอันเป็นเท็จในการขอหรือต่ออายุหนังสือเดินทางหรือไม่อยู่ในฐานะที่จะเดินทางไปต่างประเทศได้
2) พิจารณาเห็นว่า หากให้ผู้ถือหนังสือเดินทางยังคงอยู่ในต่างประเทศต่อไปอาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศไทยหรือต่างประเทศได้ เมื่อพิจารณาจากระเบียบการยกเลิกหนังสือเดินทางแล้ว เป็นที่ชัดเจนว่า พฤติการณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ เข้าเงื่อนไขการยกเลิกพาสปอร์ตแดงอย่างชัดเจน คือหลบหนีคำพิพากษาศาลฎีกาฯและถูกออกหมายจับรวมทั้งการเคลื่อนไหวทางการเมืองอยู่ต่างประเทศอาจสร้างความเสียหายให้แก่ประเทศไทย เช่น การโฟนอินโจมตีกระบวนการยุติธรรมหรือศาลและการจวบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์
**"กษิต" พร้อมทำงานให้ ปชป.
นายกษิต ภิรมย์ อดีตเอกอัครราชทูต เปิดเผยว่า ตนพร้อมที่จะทำงานให้พรรคประชาธิปัตย์และประเทศชาติ ไม่ว่าพรรคจะมอบหมายให้ทำงานในตำแหน่งใดที่พรรคเห็นว่าเหมาะสม
รายงานข่าวระบุว่า ล่าสุดพรรคประชาธิปัตย์วางตัวนายกษิตเป็น รมว.ต่างประเทศ ส่วนนายไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ เป็น รมช.ต่างประเทศ
**โฆษกแม้วขู่อย่า 2 มาตรฐาน
“ส่วนตัวคิดว่าถ้ามีคนอื่นที่ถูกกระทำโดยไม่เลือกปฏิบัติ พ.ต.ท.ทักษิณก็พร้อมรับในสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ทุกอย่าง อย่างไรก็ตาม แต่ถ้าเลือกทำเฉพาะพ.ต.ท.ทักษิณ ก็ถือว่าไม่เป็นธรรม” นายพงษ์เทพ เทพกาญจนา โฆษกส่วนตัว พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวและว่า ถ้ามีการดำเนินการอะไรเกี่ยวกับอดีตนายกฯ ถ้าทำเช่นเดียวกับทุกๆ คนในสถานการณ์เดียวกัน พ.ต.ท.ทักษิณก็พร้อมน้อมรับ แต่อย่าทำอะไรที่เป็น 2 มาตรฐาน ถ้ากรณีอื่นๆ ไม่เคยทำแต่ทำกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็เห็นชัดว่ามีกลไกถูกต้องหรือเป็นธรรมหรือไม่
เมื่อถามว่าคิดว่ามีความเป็นธรรมหรือไม่ โฆษกของ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า กรณีอื่นทำแบบเดียวกันหรือไม่ ส่วนต้องมีการตรวจสอบว่าที่ผ่านมามีการดำเนินการเช่นเดียวกับ พ.ต.ท.ทักษิณหรือไม่นั้น ส่วนตัวยังไม่เคยเห็น และอาจให้ผู้ที่เกี่ยวข้องบอกกับสังคมให้รับรู้ว่าเคยมีการทำมาอย่างไร เพื่อทุกคนจะได้สบายใจ เราต้องการเห็นมาตรฐานเดียวกันไม่ใช่ 2 มาตรฐาน เช่นปัจจุบันกระบวนการต่างๆของไทยใช้มาตรฐานคนละอย่าง บางเรื่องใช้เวลานานแต่บางเรื่องก็เร็ว เช่นการยุบพรรคที่ผ่านมา ที่รวดเร็วอย่างไม่เคยเห็นมาก่อนผิดกับบางคดีที่ล่าช้า.
วานนี้ (15 ธ.ค.) กระทรวงการต่างประเทศ ได้ออกคำแถลงกรณีการยกเลิกหนังสือเดินทางทูต (พาสปอร์ตแดง) ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า ตามที่ได้มีผู้สื่อข่าวสอบถามข้อเท็จจริง เกี่ยวกับรายงานข่าวเรื่องกระทรวงการต่างประเทศ ยกเลิกหนังสือเดินทางของ พ.ต.ท.ทักษิณ นั้น กระทรวงการต่างประเทศ ได้ให้ข้อมูลว่า ได้ยกเลิกหนังสือเดินทางทูตของอดีตนายกรัฐมนตรีแล้ว
กระทรวงการต่างประเทศ แจ้งด้วยว่า ได้พิจารณาเรื่องนี้ด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง เนื่องจากมีประเด็นทางกฎหมาย และมีนัยทางการเมืองที่สำคัญ และที่ผ่านมา ได้มีการทำความเห็นเสนอต่อรัฐบาลผ่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ มาแล้ว 3 รัฐบาล จนกระทั่งได้มีคำพิพากษาเกี่ยวกับอดีตนายกรัฐมนตรี และคดีได้ถึงที่สุดเนื่องจากไม่มีการอุทธรณ์
ก่อนการตัดสินใจยกเลิกหนังสือเดินทางทูตดังกล่าว กระทรวงการต่างประเทศ ได้ปรึกษาหารือกับรัฐบาลอีกครั้ง จนเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา (12 ธ.ค.) กระทรวงการต่างประเทศ ในฐานะผู้รักษาการตามระเบียบนี้ได้ตัดสินใจยกเลิกหนังสือเดินทางทูต
กระทรวงการต่างประเทศ ได้ส่งหนังสือแจ้งเรื่องนี้ไปยังที่อยู่ของอดีตนายกรัฐมนตรีในกรุงเทพมหานครแล้ว
**เล่มธรรมดาส่งกฤษฎีกาชี้ขาด
สำหรับหนังสือเดินทางธรรมดาที่อดีตนายกรัฐมนตรีถืออยู่อีกเล่มนั้น กระทรวงการต่างประเทศได้ส่งเรื่องให้คณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อตีความในเรื่องสิทธิเสรีภาพในการเดินทางตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญปี 2550 เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาต่อไป
ทั้งนี้ ตามระเบียบกระทรวงการต่างประเทศ ว่าด้วยการออกหนังสือเดินทาง พ.ศ.2545 กำหนดให้มีหนังสือเดินทาง หรือ พาสปอร์ต มีทั้งสิ้น 5 ประเภทด้วยกัน คือ หนังสือเดินทางทูต หรือ พาสปอร์ตทูต หรือ พาสปอร์ตเล่มสีแดง, หนังสือเดินทางราชการ, หนังสือเดินทางธรรมดายกเว้นค่าธรรมเนียม, หนังสือเดินทางธรรมดา และหนังสือเดินทางหมู่
สำหรับหนังสือเดินทางทูต กำหนดบุคคลที่มีสิทธิ์ใช้ได้ ดังนี้ พระบรมวงศ์และพระนัดดาในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว, พระอนุวงศ์ชั้นพระองค์เจ้าและคู่สมรส, พระราชวงศ์และบุคคลสำคัญที่ราชเลขาธิการขอไปเป็นกรณีพิเศษ , ประธานองคมนตรี และองคมนตรี, นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี, ประธาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธาน และรองประธานวุฒิสภา, ประธานศาลฎีกา รองประธานศาลฎีกา และประธานศาลอุทธรณ์, ประธานศาลรัฐธรรมนูญ และประธานศาลปกครองสูงสุด, อดีตนายกรัฐมนตรี และอดีตรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ, ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และผู้บัญชาการเหล่าทัพ, ข้าราชการที่มีตำแหน่งทางการทูต ซึ่งเดินทางไปราชการในต่างประเทศ, ข้าราชการที่มีตำแหน่งทางการทูต ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ประจำอยู่ ณ ส่วนราชการในต่างประเทศ คู่สมรส และบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งอยู่ในความดูแลของบิดา มารดาในประเทศที่ประจำอยู่ หรือทำการศึกษาอยู่ในประเทศอื่น แต่บุตรจะต้องอายุไม่เกิน 25 ปี, คู่สมรสที่ร่วมเดินทางไปกับบุคคลดังกล่าวในข้อ (2) ถึงข้อ (8),
นอกจากนี้ ยังมีบุคคลอื่นใดเพื่อประโยชน์แก่ทางราชการหรือภายในพันธกรณีระหว่างประเทศ หรือภายในสถานการณ์พิเศษที่มีความจำเป็น หรือในกรณีที่เห็นสมควรเป็นกรณีพิเศษ หรือเกี่ยวกับการเผยแพร่ชื่อเสียงเกียรติคุณของประเทศ ในกรณีของอดีตเอกอัครราชทูต ให้ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ หรือผู้ที่ปลัดกระทรวงการต่างประเทศมอบหมายมีอำนาจใช้ดุลยพินิจในการอนุมัติให้ออกหนังสือเดินทางทูตได้ ทั้งนี้ หนังสือเดินทางทูตมีอายุตามความจำเป็นแต่ไม่เกิน 2 ปี ต่ออายุได้ครั้งละไม่เกิน 2 ปี
ส่วนระเบียบการยกเลิกหนังสือเดินทางนั้น กำหนดให้เจ้าพนักงานเจ้าหน้าที่หรือกระทรวงการต่างประเทศสามารถยกเลิกหรือเรียกคืนเมื่อปรากฏเหตุภายหลัง ซึ่งตามระเบียบกำหนดไว้ 7 ประการ แต่เงื่อนไขที่น่าจะเกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณ มีอยู่ด้วยกัน 2 ข้อ ดังนี้
1) เป็นบุคคลที่พนักงานเจ้าหน้าที่ไม่อาจออกหนังสือเดินทางได้ 3 ประการ ได้แก่ หนึ่ง เมื่อได้รังแจ้งว่า ผู้ขอผู้ซึ่งกำลังรับโทษในคดีอาญา หรืออยู่ระหว่างการปล่อยตัวชั่วคราวหรือเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญาที่มีการออกหมายจับไว้แล้วซึ่งศาลหรือพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจเห็นว่าไม่ควรออกหนังสือเดินทางให้ สอง เมื่อผู้ขอเป็นผู้ที่ศาลหรือเจ้าพนักงานซึ่งมีอำนาจตามกฎหมายอื่นสั่งห้ามไม่ให้เดินทางออกนอกราชอาณาจักร และ สาม เมื่อผู้ขอกระทำผิดกฎหมายหรือระเบียบปฏิบัติทางราชการซึ่งขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนหรือปิดบังความจริงอันเป็นสาระสำคัญหรือแสดงเอกสารหลักฐานอันเป็นเท็จในการขอหรือต่ออายุหนังสือเดินทางหรือไม่อยู่ในฐานะที่จะเดินทางไปต่างประเทศได้
2) พิจารณาเห็นว่า หากให้ผู้ถือหนังสือเดินทางยังคงอยู่ในต่างประเทศต่อไปอาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศไทยหรือต่างประเทศได้ เมื่อพิจารณาจากระเบียบการยกเลิกหนังสือเดินทางแล้ว เป็นที่ชัดเจนว่า พฤติการณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ เข้าเงื่อนไขการยกเลิกพาสปอร์ตแดงอย่างชัดเจน คือหลบหนีคำพิพากษาศาลฎีกาฯและถูกออกหมายจับรวมทั้งการเคลื่อนไหวทางการเมืองอยู่ต่างประเทศอาจสร้างความเสียหายให้แก่ประเทศไทย เช่น การโฟนอินโจมตีกระบวนการยุติธรรมหรือศาลและการจวบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์
**"กษิต" พร้อมทำงานให้ ปชป.
นายกษิต ภิรมย์ อดีตเอกอัครราชทูต เปิดเผยว่า ตนพร้อมที่จะทำงานให้พรรคประชาธิปัตย์และประเทศชาติ ไม่ว่าพรรคจะมอบหมายให้ทำงานในตำแหน่งใดที่พรรคเห็นว่าเหมาะสม
รายงานข่าวระบุว่า ล่าสุดพรรคประชาธิปัตย์วางตัวนายกษิตเป็น รมว.ต่างประเทศ ส่วนนายไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ เป็น รมช.ต่างประเทศ
**โฆษกแม้วขู่อย่า 2 มาตรฐาน
“ส่วนตัวคิดว่าถ้ามีคนอื่นที่ถูกกระทำโดยไม่เลือกปฏิบัติ พ.ต.ท.ทักษิณก็พร้อมรับในสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ทุกอย่าง อย่างไรก็ตาม แต่ถ้าเลือกทำเฉพาะพ.ต.ท.ทักษิณ ก็ถือว่าไม่เป็นธรรม” นายพงษ์เทพ เทพกาญจนา โฆษกส่วนตัว พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวและว่า ถ้ามีการดำเนินการอะไรเกี่ยวกับอดีตนายกฯ ถ้าทำเช่นเดียวกับทุกๆ คนในสถานการณ์เดียวกัน พ.ต.ท.ทักษิณก็พร้อมน้อมรับ แต่อย่าทำอะไรที่เป็น 2 มาตรฐาน ถ้ากรณีอื่นๆ ไม่เคยทำแต่ทำกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็เห็นชัดว่ามีกลไกถูกต้องหรือเป็นธรรมหรือไม่
เมื่อถามว่าคิดว่ามีความเป็นธรรมหรือไม่ โฆษกของ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า กรณีอื่นทำแบบเดียวกันหรือไม่ ส่วนต้องมีการตรวจสอบว่าที่ผ่านมามีการดำเนินการเช่นเดียวกับ พ.ต.ท.ทักษิณหรือไม่นั้น ส่วนตัวยังไม่เคยเห็น และอาจให้ผู้ที่เกี่ยวข้องบอกกับสังคมให้รับรู้ว่าเคยมีการทำมาอย่างไร เพื่อทุกคนจะได้สบายใจ เราต้องการเห็นมาตรฐานเดียวกันไม่ใช่ 2 มาตรฐาน เช่นปัจจุบันกระบวนการต่างๆของไทยใช้มาตรฐานคนละอย่าง บางเรื่องใช้เวลานานแต่บางเรื่องก็เร็ว เช่นการยุบพรรคที่ผ่านมา ที่รวดเร็วอย่างไม่เคยเห็นมาก่อนผิดกับบางคดีที่ล่าช้า.