นาทีนี้เกมจับขั้วตั้งรัฐบาลใหม่ถือว่าทุกอย่างได้จบลงแล้ว รอเพียงแค่การตีความสถานะตำแหน่งประธานรัฐสภาของ “ชัย ชิดชอบ” ว่าจะผ่านฉลุยหรือไม่ ถ้าไม่ผ่านก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง อาจต้องมาว่ากันใหม่
แต่ถ้าสรุปแบบรวบรัดตัดความถือว่าได้ “พลิกขั้ว” มาจับมือกับพรรคประชาธิปัตย์ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแล้ว หลังการแถลงของบรรดาอดีต 4 พรรคร่วมรัฐบาลเดิม คือ อดีตพรรคชาติไทย มัชฌิมาธิปไตย เพื่อแผ่นดิน และรวมใจไทยชาติพัฒนา ร่วมกันตั้งโต๊ะให้สัญญาหนุน อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่อย่างเป็นทางการอีกครั้ง
พิจารณาจากความเป็นจริง ถือว่านับจากนี้ไปฝุ่นทางการเมืองที่เคยฟุ้งมาในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาถือว่าเริ่มสงบลงชั่วคราว
ไม่ต้องพูดกันให้เสียเวลาว่า ในการประสาน ผลักดันให้เกิดการพลิกขั้วมาจาก บิ๊ก ป.ปลาสีเขียว 2-3 คน หรือไม่ เพราะถ้าหากไม่ใช่เป็นเพราะสถานการณ์บังคับ หรือแรงบีบจากสังคมรอบข้าง และที่สำคัญที่สุดมาจากผลประโยชน์ทางการเมืองเฉพาะหน้าของบรรดากลุ่มก๊วน พรรคการเมืองเหล่านี้ รับรองว่าบรรยากาศแบบนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นอย่างเด็ดขาด
นักเลือกตั้งประเภทนี้ถือว่าระดับ “เขี้ยวลากดิน” มองเกมเอาตัวรอดได้อย่างทะลุปรุโปร่ง จึงทำให้เกิดแรงสวิงอย่างปัจจุบันทันด่วน
หลายคนอาจยังทำใจลำบากที่เห็นภาพ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เดินสายไปมอบช่อดอกไม้ และจับมือกับกับ คนอย่าง บรรหาร ศิลปอาชา อดีตเจ้าของพรรคชาติไทย สมศักดิ์ เทพสุทิน ขาใหญ่ตัวจริงในอดีตพรรคมัชฌิมาธิปไตย รวมทั้ง อดีต “ยี้ห้อย” อย่าง เนวิน ชิดชอบ แต่ในเมื่อการเมืองไทยยังเส็งเคร็งแบบนี้ มันก็ช่วยไม่ได้ และเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ค่อยมาว่าในรายละเอียดอีกทีหนึ่ง
อีกด้านหนึ่งถือว่าพรรคพลังประชาชนหรือพรรคเพื่อไทยภายใต้การอุปถัมภ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หมดโอกาสยื้ออำนาจรัฐเอาไว้ในมือเอาไว้ได้แล้ว
ขณะเดียวกันเมื่อความพยายามทุกทางไม่ว่าจะทั้งปลอบทั้งขู่ ไร้ผลไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ มันก็ปฏิเสธไม่ได้นับจากนาทีนี้เป็นต้นแรงกดดันก็จะ “สวิง” กลับมาที่ตัวเขาและเครือข่ายใกล้ชิดทันที
แม้ว่าต่อไปจะได้เห็นการเคลื่อนไหวของ “กลุ่มคนเสื้อแดง” กระจายในหลายพื้นที่ตามภาคอีสานและภาคเหนือตามมาบ้าง แต่เชื่อเถอะเมื่อการจัดตั้งรัฐบาลเข้ารูปเข้ารอยทุกอย่างจะค่อยๆแผ่วลง เพราะในข้อเท็จจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเหล่านี้ และถูกมองว่าเป็นอันธพาลการเมือง เป็นมือเท้าของ “ระบอบทักษิณ” ที่เติบใหญ่มาได้เพราะมีกลไกอำนาจรัฐชั่วๆคอยถือหางให้ท้าย
ในทางตรงกันข้ามเมื่อเกมเปลี่ยน คนเหล่านี้ก็ย่อมถูกกำจัดหรือแยกสลายลงไปเรื่อยๆ รวมไปถึงเจ้าหน้าที่รัฐ ไม่ว่าจะเป็นตำรวจ หรือฝ่ายปกครองบางคนก็ย่อมถูกโยกย้ายหรือจำกัดบทบาท เช่นเดียวกัน
ถ้าแยกโฟกัสเฉพาะ “นายใหญ่หน้าเหลี่ยม” ก็เถอะ หลายฝ่ายวิเคราะห์ตรงกันว่าถ้ายังไม่รู้จักประเมินสถานการณ์ยัง “หูเบา” ยังหลงลมพวกคอยรีดไถเศษเงินทำมาหารับประทานอยู่แบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ อนาคตคงได้เห็น “สัมภเวสี” ล่องลอยไร้แผ่นดินอยู่แบบถวร หรือไม่ก็ต้องกลับมาติดคุกถูกยึดทรัพย์ ขาดทุนป่นปี้
ส่วนเครือข่ายลิ่วล้อตั้งแต่หัวแถวยันท้ายแถวไปจนถึง “สามเกลอหัวขวด” ก็เตรียมรับชะตากรรมเอาไว้ได้เลย ในเมื่อรับงานแสดงบทบาทฟาดฟันฝ่ายตรงข้ามอยู่ตลอดเวลา เมื่อสถานการณ์พลิกกลับมันก็ต้องทำใจ
ดังนั้นเมื่อทุกอย่างเดินมาถึงตรงนี้ แม้จะไม่เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะยังต้องผ่านขั้นตอนตีความทางกฎหมายถึงสถานะของประธานรัฐสภา และ ส.ส.สัดส่วนก็ตาม แต่ระดับความชัวร์ถือว่ามั่นใจได้แน่นอน
ขณะที่อีกด้านหนึ่งสำหรับ “เครือข่ายแม้ว” ตั้งแต่หัวแถวยันท้ายแถว หากยังไม่รู้จักประเมินข้อมูลใหม่ก็ให้รอนับถอยหลังรอ “เช็กบิล” เอาคืนได้เลย !!
แต่ถ้าสรุปแบบรวบรัดตัดความถือว่าได้ “พลิกขั้ว” มาจับมือกับพรรคประชาธิปัตย์ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแล้ว หลังการแถลงของบรรดาอดีต 4 พรรคร่วมรัฐบาลเดิม คือ อดีตพรรคชาติไทย มัชฌิมาธิปไตย เพื่อแผ่นดิน และรวมใจไทยชาติพัฒนา ร่วมกันตั้งโต๊ะให้สัญญาหนุน อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่อย่างเป็นทางการอีกครั้ง
พิจารณาจากความเป็นจริง ถือว่านับจากนี้ไปฝุ่นทางการเมืองที่เคยฟุ้งมาในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาถือว่าเริ่มสงบลงชั่วคราว
ไม่ต้องพูดกันให้เสียเวลาว่า ในการประสาน ผลักดันให้เกิดการพลิกขั้วมาจาก บิ๊ก ป.ปลาสีเขียว 2-3 คน หรือไม่ เพราะถ้าหากไม่ใช่เป็นเพราะสถานการณ์บังคับ หรือแรงบีบจากสังคมรอบข้าง และที่สำคัญที่สุดมาจากผลประโยชน์ทางการเมืองเฉพาะหน้าของบรรดากลุ่มก๊วน พรรคการเมืองเหล่านี้ รับรองว่าบรรยากาศแบบนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นอย่างเด็ดขาด
นักเลือกตั้งประเภทนี้ถือว่าระดับ “เขี้ยวลากดิน” มองเกมเอาตัวรอดได้อย่างทะลุปรุโปร่ง จึงทำให้เกิดแรงสวิงอย่างปัจจุบันทันด่วน
หลายคนอาจยังทำใจลำบากที่เห็นภาพ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เดินสายไปมอบช่อดอกไม้ และจับมือกับกับ คนอย่าง บรรหาร ศิลปอาชา อดีตเจ้าของพรรคชาติไทย สมศักดิ์ เทพสุทิน ขาใหญ่ตัวจริงในอดีตพรรคมัชฌิมาธิปไตย รวมทั้ง อดีต “ยี้ห้อย” อย่าง เนวิน ชิดชอบ แต่ในเมื่อการเมืองไทยยังเส็งเคร็งแบบนี้ มันก็ช่วยไม่ได้ และเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ค่อยมาว่าในรายละเอียดอีกทีหนึ่ง
อีกด้านหนึ่งถือว่าพรรคพลังประชาชนหรือพรรคเพื่อไทยภายใต้การอุปถัมภ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หมดโอกาสยื้ออำนาจรัฐเอาไว้ในมือเอาไว้ได้แล้ว
ขณะเดียวกันเมื่อความพยายามทุกทางไม่ว่าจะทั้งปลอบทั้งขู่ ไร้ผลไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ มันก็ปฏิเสธไม่ได้นับจากนาทีนี้เป็นต้นแรงกดดันก็จะ “สวิง” กลับมาที่ตัวเขาและเครือข่ายใกล้ชิดทันที
แม้ว่าต่อไปจะได้เห็นการเคลื่อนไหวของ “กลุ่มคนเสื้อแดง” กระจายในหลายพื้นที่ตามภาคอีสานและภาคเหนือตามมาบ้าง แต่เชื่อเถอะเมื่อการจัดตั้งรัฐบาลเข้ารูปเข้ารอยทุกอย่างจะค่อยๆแผ่วลง เพราะในข้อเท็จจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเหล่านี้ และถูกมองว่าเป็นอันธพาลการเมือง เป็นมือเท้าของ “ระบอบทักษิณ” ที่เติบใหญ่มาได้เพราะมีกลไกอำนาจรัฐชั่วๆคอยถือหางให้ท้าย
ในทางตรงกันข้ามเมื่อเกมเปลี่ยน คนเหล่านี้ก็ย่อมถูกกำจัดหรือแยกสลายลงไปเรื่อยๆ รวมไปถึงเจ้าหน้าที่รัฐ ไม่ว่าจะเป็นตำรวจ หรือฝ่ายปกครองบางคนก็ย่อมถูกโยกย้ายหรือจำกัดบทบาท เช่นเดียวกัน
ถ้าแยกโฟกัสเฉพาะ “นายใหญ่หน้าเหลี่ยม” ก็เถอะ หลายฝ่ายวิเคราะห์ตรงกันว่าถ้ายังไม่รู้จักประเมินสถานการณ์ยัง “หูเบา” ยังหลงลมพวกคอยรีดไถเศษเงินทำมาหารับประทานอยู่แบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ อนาคตคงได้เห็น “สัมภเวสี” ล่องลอยไร้แผ่นดินอยู่แบบถวร หรือไม่ก็ต้องกลับมาติดคุกถูกยึดทรัพย์ ขาดทุนป่นปี้
ส่วนเครือข่ายลิ่วล้อตั้งแต่หัวแถวยันท้ายแถวไปจนถึง “สามเกลอหัวขวด” ก็เตรียมรับชะตากรรมเอาไว้ได้เลย ในเมื่อรับงานแสดงบทบาทฟาดฟันฝ่ายตรงข้ามอยู่ตลอดเวลา เมื่อสถานการณ์พลิกกลับมันก็ต้องทำใจ
ดังนั้นเมื่อทุกอย่างเดินมาถึงตรงนี้ แม้จะไม่เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะยังต้องผ่านขั้นตอนตีความทางกฎหมายถึงสถานะของประธานรัฐสภา และ ส.ส.สัดส่วนก็ตาม แต่ระดับความชัวร์ถือว่ามั่นใจได้แน่นอน
ขณะที่อีกด้านหนึ่งสำหรับ “เครือข่ายแม้ว” ตั้งแต่หัวแถวยันท้ายแถว หากยังไม่รู้จักประเมินข้อมูลใหม่ก็ให้รอนับถอยหลังรอ “เช็กบิล” เอาคืนได้เลย !!