ในช่วงสูญญากาศการเมืองแบบนี้ย่อมเป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องมีรายการ “แทงกั๊ก” ปั่นราคาเพิ่มพลังต่อรอง และถือเป็นช่วงนาทีทองของกลุ่มก๊วน รวมทั้งพรรคขนาดกลาง รวมไปถึงพรรคเล็กๆ ทั้งหลายที่มีอยู่ในเวลานี้
ยิ่งในสภาพที่ถูกยุบพรรคพร้อมกันถึง 3 พรรค ความโกลาหลก็ย่อมเกิดขึ้น และสถานการณ์การเมืองอยู่ในช่วงของการลุ้น “แตกขั้ว” จัดตั้งรัฐบาลแบบนี้ ตลาดนัดซื้อขายก็ยิ่งคึกคักตามไปด้วย
ประเภทที่บอกว่าได้เดินไปยื่นขอใบสมัครกันเรียบร้อยแล้ว พอถึงเวลาจริงๆ ทุกอย่างก็เปลี่ยนเปลงได้ตลอด แค่ยกข้ออ้างเพื่อชาติและประชาชน แค่นี้ก็สามารถเขียนใบสมัครใหม่ย้ายพรรคได้อีกหลายรอบ
อย่างไรก็ดี ในระหว่างที่กำลังรอความชัดเจนของการตีความข้อกฎหมายในหลายประเด็น ไม่ว่าจะเกี่ยวกับสถานภาพของ ส.ส.สัดส่วน สถานะของรัฐมนตรีรักษาการหลังจากที่นายกรัฐมนตรีได้พ้นไปแล้ว หรือแม้แต่ตำแหน่งประธานรัฐสภาที่ปัจจุบันยังไม่มีพรรคสังกัด ก็ต้องหยุดพักในประเด็นนี้เอาไว้ชั่วคราว มาว่ากันเฉพาะการเคลื่อนไหวต่อรองจับขั้วตั้งรัฐบาลใหม่กันก่อน
ปฏิเสธไม่ได้ว่าหลังการเคลื่อนไหวชุมนุมของประชาชนทุกหมู่เหล่าในนามพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยมาอย่างยืดเยื้อยาวนาน จนกระทั่งมาถึงการยุบพรรคพลังประชาชน พรรคชาติไทย และพรรคมัชฌิมาธิปไตย ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับ “ระบอบทักษิณ” อย่างหนักหน่วง
และเมื่อฉับพลันที่ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ได้พ้นสภาพความเป็นนายกรัฐมนตรีหลังพรรคพลังประชาชนถูกยุบ ทุกอย่างก็ชุลมุนทันที ที่เห็นชัดๆ ก็คือความชอบธรรมในการจัดตั้งรัฐบาลในกลุ่มขั้วการเมืองเดิมก็หมดไป หรือลดลงจนแทบไม่มีเหลือ
เมื่อมีสภาพ “วงแตก” แบบนี้ การต่อรองเพื่อเปลี่ยนขั้วก็เกิดขึ้น ขณะเดียวกันภายใต้การต่อรองดังกล่าวมันก็ต้องมีการพ่วงกันด้วยค่าน้ำร้อนน้ำชา เป็นเรื่องธรรมดาในทางการเมืองแบบด้อยพัฒนาในบ้านเรา เนื่องจากเงินและอำนาจยังถือเป็นปัจจัยหลัก
แยกโฟกัสกันเฉพาะในกลุ่มของพรรคพลังประชาชนเดิมเวลานี้กำลังกวาดต้อนเพื่อเข้าสังกัดพรรคเพื่อไทย แต่เมื่อสภาพความเป็นกลุ่มก๊วนยังคงดำรงอยู่อย่างเหนียวแน่น เคลื่อนไหวกันเป็นกลุ่มก็ย่อมมีพลังต่อรองค่อนข้างสูงทั้งในด้านของ “ปัจจัย” และโควต้ารัฐมนตรีหากจะสวิงไปทางไหน
เพราะหากนับจำนวนตัวเลขก็ต้องยอมรับความจริงว่า กลุ่ม “เพื่อนเนวิน” มีกำลังเป็นกลุ่มเป็นก้อน ไล่นับกันเรียงตัวแล้วมีไม่น้อยกว่า 40 คน ถือว่าเป็นตัวแปรสำคัญ
และพิจารณาจากท่าทีล่าสุดระดับหัวแถวก็ออกมาส่งสัญญาณตั้งเงื่อนไขเอาไว้ล่วงหน้าแล้วว่านายกฯ คนใหม่จะต้องได้รับการยอมรับในสังคม ไม่สร้างความแตกแยก ไม่มีคดีติดตัว รวมทั้งไม่อยู่ในระหว่างรอการวินิจฉัยขององค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ เป็นต้น
จากเงื่อนไขดังกล่าวทำให้ต้องมาพิจารณาตัวแคนดิเดต เป็นรายบุคคลแยกเฉพาะพรรคพลังประชาชน (พรรคเพื่อไทย) ก่อน ไม่ว่าจะเป็น ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ สันติ พร้อมพัฒน์ พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย เป็นต้น ถ้าหากพลิกแฟ้มคดีแล้วจะพบว่าทั้งสามคนดังกล่าวติดอยู่ในร่างแห 28 รัฐมนตรีที่กระทำผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 190 ในกรณียกปราสาทพระวิหารให้เขมร และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กำลังจะนัดวินิจฉัยชี้ขาดในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
เมื่อพิจารณาแล้วน่าจะมีเจตนาขัดขวาง ไม่ให้คนอย่างเฉลิม หรือมิ่งขวัญ หรือแม้แต่สันติ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ค่อนข้างชัดเจน
นี่ยังไม่นับความหมาดหมางกันเป็นส่วนตัวเมื่อครั้งรัฐบาลสมัคร 2 ที่เฉลิมถูกถีบพ้นเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยอย่างเจ็บแสบ
ขณะเดียวกันหากโฟกัสไปยังพรรคขนาด กลางและขนาดเล็ก ก็เช่นเดียวกันเมื่อยังมีโอกาสต่อรองก็ต้องใช้โอกาสช่วงนาทีทองออกไปให้นานที่สุด
ดังนั้นนาทีนี้อย่าไปเวียนหัวกับเกมต่อรอง ตบทรัพย์ เพราะฝุ่นยังคลุ้ง ต้องรอให้ผ่านไปก่อน อย่างน้อยน่าจะผ่าน “วันมหามงคล” ไปก่อน แต่อย่างน้อยวันที่ 7-8 ธันวาคมนี้ที่จะพยายามรวบรัดเพื่อโหวตเลือกนายกฯ “หุ่นเชิด” คนใหม่ ทำท่าจะริบหรี่ลงไปทุกขณะ !!
ยิ่งในสภาพที่ถูกยุบพรรคพร้อมกันถึง 3 พรรค ความโกลาหลก็ย่อมเกิดขึ้น และสถานการณ์การเมืองอยู่ในช่วงของการลุ้น “แตกขั้ว” จัดตั้งรัฐบาลแบบนี้ ตลาดนัดซื้อขายก็ยิ่งคึกคักตามไปด้วย
ประเภทที่บอกว่าได้เดินไปยื่นขอใบสมัครกันเรียบร้อยแล้ว พอถึงเวลาจริงๆ ทุกอย่างก็เปลี่ยนเปลงได้ตลอด แค่ยกข้ออ้างเพื่อชาติและประชาชน แค่นี้ก็สามารถเขียนใบสมัครใหม่ย้ายพรรคได้อีกหลายรอบ
อย่างไรก็ดี ในระหว่างที่กำลังรอความชัดเจนของการตีความข้อกฎหมายในหลายประเด็น ไม่ว่าจะเกี่ยวกับสถานภาพของ ส.ส.สัดส่วน สถานะของรัฐมนตรีรักษาการหลังจากที่นายกรัฐมนตรีได้พ้นไปแล้ว หรือแม้แต่ตำแหน่งประธานรัฐสภาที่ปัจจุบันยังไม่มีพรรคสังกัด ก็ต้องหยุดพักในประเด็นนี้เอาไว้ชั่วคราว มาว่ากันเฉพาะการเคลื่อนไหวต่อรองจับขั้วตั้งรัฐบาลใหม่กันก่อน
ปฏิเสธไม่ได้ว่าหลังการเคลื่อนไหวชุมนุมของประชาชนทุกหมู่เหล่าในนามพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยมาอย่างยืดเยื้อยาวนาน จนกระทั่งมาถึงการยุบพรรคพลังประชาชน พรรคชาติไทย และพรรคมัชฌิมาธิปไตย ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับ “ระบอบทักษิณ” อย่างหนักหน่วง
และเมื่อฉับพลันที่ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ได้พ้นสภาพความเป็นนายกรัฐมนตรีหลังพรรคพลังประชาชนถูกยุบ ทุกอย่างก็ชุลมุนทันที ที่เห็นชัดๆ ก็คือความชอบธรรมในการจัดตั้งรัฐบาลในกลุ่มขั้วการเมืองเดิมก็หมดไป หรือลดลงจนแทบไม่มีเหลือ
เมื่อมีสภาพ “วงแตก” แบบนี้ การต่อรองเพื่อเปลี่ยนขั้วก็เกิดขึ้น ขณะเดียวกันภายใต้การต่อรองดังกล่าวมันก็ต้องมีการพ่วงกันด้วยค่าน้ำร้อนน้ำชา เป็นเรื่องธรรมดาในทางการเมืองแบบด้อยพัฒนาในบ้านเรา เนื่องจากเงินและอำนาจยังถือเป็นปัจจัยหลัก
แยกโฟกัสกันเฉพาะในกลุ่มของพรรคพลังประชาชนเดิมเวลานี้กำลังกวาดต้อนเพื่อเข้าสังกัดพรรคเพื่อไทย แต่เมื่อสภาพความเป็นกลุ่มก๊วนยังคงดำรงอยู่อย่างเหนียวแน่น เคลื่อนไหวกันเป็นกลุ่มก็ย่อมมีพลังต่อรองค่อนข้างสูงทั้งในด้านของ “ปัจจัย” และโควต้ารัฐมนตรีหากจะสวิงไปทางไหน
เพราะหากนับจำนวนตัวเลขก็ต้องยอมรับความจริงว่า กลุ่ม “เพื่อนเนวิน” มีกำลังเป็นกลุ่มเป็นก้อน ไล่นับกันเรียงตัวแล้วมีไม่น้อยกว่า 40 คน ถือว่าเป็นตัวแปรสำคัญ
และพิจารณาจากท่าทีล่าสุดระดับหัวแถวก็ออกมาส่งสัญญาณตั้งเงื่อนไขเอาไว้ล่วงหน้าแล้วว่านายกฯ คนใหม่จะต้องได้รับการยอมรับในสังคม ไม่สร้างความแตกแยก ไม่มีคดีติดตัว รวมทั้งไม่อยู่ในระหว่างรอการวินิจฉัยขององค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ เป็นต้น
จากเงื่อนไขดังกล่าวทำให้ต้องมาพิจารณาตัวแคนดิเดต เป็นรายบุคคลแยกเฉพาะพรรคพลังประชาชน (พรรคเพื่อไทย) ก่อน ไม่ว่าจะเป็น ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ สันติ พร้อมพัฒน์ พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย เป็นต้น ถ้าหากพลิกแฟ้มคดีแล้วจะพบว่าทั้งสามคนดังกล่าวติดอยู่ในร่างแห 28 รัฐมนตรีที่กระทำผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 190 ในกรณียกปราสาทพระวิหารให้เขมร และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กำลังจะนัดวินิจฉัยชี้ขาดในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
เมื่อพิจารณาแล้วน่าจะมีเจตนาขัดขวาง ไม่ให้คนอย่างเฉลิม หรือมิ่งขวัญ หรือแม้แต่สันติ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ค่อนข้างชัดเจน
นี่ยังไม่นับความหมาดหมางกันเป็นส่วนตัวเมื่อครั้งรัฐบาลสมัคร 2 ที่เฉลิมถูกถีบพ้นเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยอย่างเจ็บแสบ
ขณะเดียวกันหากโฟกัสไปยังพรรคขนาด กลางและขนาดเล็ก ก็เช่นเดียวกันเมื่อยังมีโอกาสต่อรองก็ต้องใช้โอกาสช่วงนาทีทองออกไปให้นานที่สุด
ดังนั้นนาทีนี้อย่าไปเวียนหัวกับเกมต่อรอง ตบทรัพย์ เพราะฝุ่นยังคลุ้ง ต้องรอให้ผ่านไปก่อน อย่างน้อยน่าจะผ่าน “วันมหามงคล” ไปก่อน แต่อย่างน้อยวันที่ 7-8 ธันวาคมนี้ที่จะพยายามรวบรัดเพื่อโหวตเลือกนายกฯ “หุ่นเชิด” คนใหม่ ทำท่าจะริบหรี่ลงไปทุกขณะ !!