ASTVผู้จัดการรายวัน - สภาพัฒน์คาดการณ์แนวโน้มการว่างงานปี 52 อยู่ที่ 9 แสนคน ผลจากเศรษฐกิจชะลอตัว ผู้ประกอบการรถยนต์รายใหญ่ปลดคนงาน เผยสำนักประกันสังคมอาจต้องควักเงินทดแทนไม่ต่ำกว่า 3 พันล้าน ชี้นักศึกษาจบใหม่ 3 แสนคน เตะฝุ่นยาว แนะรัฐบาลใหม่เร่งฟื้นวิกฤต ปรับทิศทางการศึกษาใหม่
นางสุวรรณี คำมั่น รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แถลงรายงานความเคลื่อนไหวทางสังคมในช่วงไตรมาส 3 (ก.ค.-ก.ย.) ปี 2551 ว่า สภาพัฒน์ฯ คาดแนวโน้มการว่างงานในปี 52 จะอยู่ที่ประมาณ 9 แสนคน หรือ 2.0-2.5% ซึ่งเป็นผลจากเศรษฐกิจชะลอตัว โดยเฉพาะการที่ผู้ประกอบการรถยนต์รายใหญ่ในไทยประกาศจะปรับลดพนักงานลง หลังจากที่ยอดขายตลาดรถยนต์หดตัวจนส่งผลกระทบต่อการผลิต รวมทั้งจำนวนผู้จบการศึกษาใหม่ในปีหน้าจะเข้ามาในตลาดแรงงานเพิ่มอีก
จากอัตราการว่างงานของคนไทยมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้น ทำให้สำนักงานประกันสังคม (สปส.) จะต้องจ่ายเงินทดแทนกรณีว่างงาน
"หากมีการถูกเลิกจ้างจริง 6 แสนคน จะต้องมีภาระจ่ายเงินทดแทน ประมาณ 3,000 ล้านบาท สูงกว่ากระแสรายรับจากเงินสมทบ แต่สามารถที่จะชดเชยได้เนื่องจากมีระดับกองทุนสะสมประมาณ 40,000 ล้านบาท" นางสุวรรณีกล่าวและคาดว่าผู้ที่จบการศึกษาใหม่ที่จะเข้าสู่ตลาดแรงงานในช่วงครึ่งแรกของทุกปี จะหางานลำบากมากขึ้น อาจจะมีแรงงานใหม่ที่ว่างงานประมาณ 3 แสนคน ดังนั้นจะต้องมีการใช้วิกฤตให้เป็นโอกาสจากการถูกเลิกจ้างงานหรือชะลอการผลิต โดยเร่งเพิ่มผลิตภาพพลังคนในด้านการศึกษา และเร่งลงทุนปรับทิศทางการพัฒนาการศึกษาทั้งอย่างเป็นองค์รวมและมีการบูรณาการปัจจัยสนับสนุนให้เหมาะสม สอดคล้องกับสภาพปัญหาของสถานศึกษา ควบคู่กับการสร้างสังคมการเรียนรู้ในชุมชน
ตัวเลขคาดการณ์ดังกล่าวยังไม่นับรวมเหตุการณ์ปิดสนามบินสุวรรณภูมิ และสนามบินดอนเมือง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อตัวเลขการว่างงานตั้งแต่ไตรมาส 4/51
ทั้งนี้ ตัวเลขการว่างงานในช่วง 9 เดือนแรกปีนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 5.3 แสนคน โดยอัตราการว่างงานเฉพาะในไตรมาส 3/51 อยู่ที่ 1.2% ลดลงจากไตรมาส2/51 ซึ่งอยู่ที่ 1.6% ส่วนการปิดสนามบินเมื่อช่วงปลายเดือนพ.ย.ที่ผ่านมา มองว่าจะส่งผลกระทบต่อตัวเลขการจ้างงาน ไม่เฉพาะในภาคการท่องเที่ยวแต่จะมีผลถึงภาคอุตสาหกรรมส่งออก,อัญมณี และเครื่องใช้ไฟฟ้า
อย่างไรก็ตาม คาดว่าการท่องเที่ยวจากต่างประเทศที่อาจลดลงไปจะได้รับการทดแทนจากการท่องเที่ยวในประเทศที่เพิ่มขึ้น และเศรษฐกิจในประเทศที่ยังขยายตัวได้น่าจะช่วยดูดซับแรงงานได้บางส่วน โดยคาดว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยปีนี้ยังอยู่ที่ 4.5% และปี52 ที่ 3-4%
“แม้ค่าใช้จ่ายของครัวเรือน ในการบริโภคเครื่องดื่มแฮลกอฮอล์ และยาสูบจะลดลง แต่กับเด็กอายุ 15-24 ปี กลับเพิ่มขึ้น ทำค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพในปี 2551 สูงขึ้นทั้งค่ายาและค่ารักษา และทำให้ค่าใช้จ่ายครัวเรือน ปี 2551 อยู่ที่ 556,226 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2550 ที่ 541,929 ล้านบาท” นางสุวรรณีเปิดเผย
ขณะเดียวกันปัญหาทางสังคม อื่นๆ เช่น ความเจ็บป่วยที่เกิดกับโรคไข้เลือดออกที่ คร่าชีวิตกับคนทุกวัย หลังจากที่ผ่านมาระมัดระวังแต่กับเด็ก รวมทั้งโรคชิคุกุนยา หรือโรคติดเชื้อจากอุบัติเหตุซ้ำ ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ก็เป็นโรคที่คล่าชีวิตคนไทยไปมากเช่นกัน
ทางด้าน อัตราการโจรกรรมรถจักรยานยนต์ มีการแจ้งหายสูงถึง 5,036 คดี เป็น 1 ใน 3 ของคดีลักทรัพย์ เนื่องจากมีเครือข่ายที่ทำเป็นขบวนการ มีแหล่งรับซื้อ ทำให้สามารถจับกุมได้เพียงร้อยละ 18.5 ของคดีที่แจ้ง ส่วนการจับกุมคดีอื่นๆ ทั้งยาเสพติดกลับมีเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเยาวชนที่มีความผิดเกี่ยวกับคดีทางด้านทรัพย์จำนวน 3,572 คดี อายุระหว่าง 15-18 ปี ถึงร้อยละ 84
สภาพัฒน์ยังให้ความสำคัญกับอิทธิพลของสื่อที่มีต่อเด็กและเยาวชนไทย โดยเฉพาะโทรทัศน์และอินเตอร์เน็ท กำลังเป็นภัยต่อตัวเด็กเองแม้จะมีทั้งสื่อและสร้างสรรค์และทำลาย ดังนั้นสังคมจึงต้องร่วมกันขจัดสื่อร้าย ขยายสื่อดี เพื่อเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันในอนาคต ซึ่งทุกภาคส่วนต้องรับผิดชอบร่วมกัน.
นางสุวรรณี คำมั่น รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แถลงรายงานความเคลื่อนไหวทางสังคมในช่วงไตรมาส 3 (ก.ค.-ก.ย.) ปี 2551 ว่า สภาพัฒน์ฯ คาดแนวโน้มการว่างงานในปี 52 จะอยู่ที่ประมาณ 9 แสนคน หรือ 2.0-2.5% ซึ่งเป็นผลจากเศรษฐกิจชะลอตัว โดยเฉพาะการที่ผู้ประกอบการรถยนต์รายใหญ่ในไทยประกาศจะปรับลดพนักงานลง หลังจากที่ยอดขายตลาดรถยนต์หดตัวจนส่งผลกระทบต่อการผลิต รวมทั้งจำนวนผู้จบการศึกษาใหม่ในปีหน้าจะเข้ามาในตลาดแรงงานเพิ่มอีก
จากอัตราการว่างงานของคนไทยมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้น ทำให้สำนักงานประกันสังคม (สปส.) จะต้องจ่ายเงินทดแทนกรณีว่างงาน
"หากมีการถูกเลิกจ้างจริง 6 แสนคน จะต้องมีภาระจ่ายเงินทดแทน ประมาณ 3,000 ล้านบาท สูงกว่ากระแสรายรับจากเงินสมทบ แต่สามารถที่จะชดเชยได้เนื่องจากมีระดับกองทุนสะสมประมาณ 40,000 ล้านบาท" นางสุวรรณีกล่าวและคาดว่าผู้ที่จบการศึกษาใหม่ที่จะเข้าสู่ตลาดแรงงานในช่วงครึ่งแรกของทุกปี จะหางานลำบากมากขึ้น อาจจะมีแรงงานใหม่ที่ว่างงานประมาณ 3 แสนคน ดังนั้นจะต้องมีการใช้วิกฤตให้เป็นโอกาสจากการถูกเลิกจ้างงานหรือชะลอการผลิต โดยเร่งเพิ่มผลิตภาพพลังคนในด้านการศึกษา และเร่งลงทุนปรับทิศทางการพัฒนาการศึกษาทั้งอย่างเป็นองค์รวมและมีการบูรณาการปัจจัยสนับสนุนให้เหมาะสม สอดคล้องกับสภาพปัญหาของสถานศึกษา ควบคู่กับการสร้างสังคมการเรียนรู้ในชุมชน
ตัวเลขคาดการณ์ดังกล่าวยังไม่นับรวมเหตุการณ์ปิดสนามบินสุวรรณภูมิ และสนามบินดอนเมือง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อตัวเลขการว่างงานตั้งแต่ไตรมาส 4/51
ทั้งนี้ ตัวเลขการว่างงานในช่วง 9 เดือนแรกปีนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 5.3 แสนคน โดยอัตราการว่างงานเฉพาะในไตรมาส 3/51 อยู่ที่ 1.2% ลดลงจากไตรมาส2/51 ซึ่งอยู่ที่ 1.6% ส่วนการปิดสนามบินเมื่อช่วงปลายเดือนพ.ย.ที่ผ่านมา มองว่าจะส่งผลกระทบต่อตัวเลขการจ้างงาน ไม่เฉพาะในภาคการท่องเที่ยวแต่จะมีผลถึงภาคอุตสาหกรรมส่งออก,อัญมณี และเครื่องใช้ไฟฟ้า
อย่างไรก็ตาม คาดว่าการท่องเที่ยวจากต่างประเทศที่อาจลดลงไปจะได้รับการทดแทนจากการท่องเที่ยวในประเทศที่เพิ่มขึ้น และเศรษฐกิจในประเทศที่ยังขยายตัวได้น่าจะช่วยดูดซับแรงงานได้บางส่วน โดยคาดว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยปีนี้ยังอยู่ที่ 4.5% และปี52 ที่ 3-4%
“แม้ค่าใช้จ่ายของครัวเรือน ในการบริโภคเครื่องดื่มแฮลกอฮอล์ และยาสูบจะลดลง แต่กับเด็กอายุ 15-24 ปี กลับเพิ่มขึ้น ทำค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพในปี 2551 สูงขึ้นทั้งค่ายาและค่ารักษา และทำให้ค่าใช้จ่ายครัวเรือน ปี 2551 อยู่ที่ 556,226 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2550 ที่ 541,929 ล้านบาท” นางสุวรรณีเปิดเผย
ขณะเดียวกันปัญหาทางสังคม อื่นๆ เช่น ความเจ็บป่วยที่เกิดกับโรคไข้เลือดออกที่ คร่าชีวิตกับคนทุกวัย หลังจากที่ผ่านมาระมัดระวังแต่กับเด็ก รวมทั้งโรคชิคุกุนยา หรือโรคติดเชื้อจากอุบัติเหตุซ้ำ ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ก็เป็นโรคที่คล่าชีวิตคนไทยไปมากเช่นกัน
ทางด้าน อัตราการโจรกรรมรถจักรยานยนต์ มีการแจ้งหายสูงถึง 5,036 คดี เป็น 1 ใน 3 ของคดีลักทรัพย์ เนื่องจากมีเครือข่ายที่ทำเป็นขบวนการ มีแหล่งรับซื้อ ทำให้สามารถจับกุมได้เพียงร้อยละ 18.5 ของคดีที่แจ้ง ส่วนการจับกุมคดีอื่นๆ ทั้งยาเสพติดกลับมีเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเยาวชนที่มีความผิดเกี่ยวกับคดีทางด้านทรัพย์จำนวน 3,572 คดี อายุระหว่าง 15-18 ปี ถึงร้อยละ 84
สภาพัฒน์ยังให้ความสำคัญกับอิทธิพลของสื่อที่มีต่อเด็กและเยาวชนไทย โดยเฉพาะโทรทัศน์และอินเตอร์เน็ท กำลังเป็นภัยต่อตัวเด็กเองแม้จะมีทั้งสื่อและสร้างสรรค์และทำลาย ดังนั้นสังคมจึงต้องร่วมกันขจัดสื่อร้าย ขยายสื่อดี เพื่อเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันในอนาคต ซึ่งทุกภาคส่วนต้องรับผิดชอบร่วมกัน.