ASTVผู้จัดการรายวัน- จับตาการใช้พลังงานโดยเฉพาะไฟฟ้าและน้ำมันในปี 2552 ที่คาดว่าจะโตลดลงตามภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย วรรณรัตน์สั่งกฟผ.ปรับพีดีพีใหม่อีกระลอกหลังจีดีพีส่อแววไม่โตรับการใช้ไฟฟ้าภาคอุตสาหกรรมลดไปถึง 30% ดันสำรองไฟกฟผ.เป็น 28% ขณะที่น้ำมันบางจากฯมองปีหน้าโตลดลง 4% จากปีนี้คาดดีเซลล้นต้องหาตลาดระบายส่งออกแทน
นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รักษาการรมว.พลังงานกล่าวว่า ขณะนี้ได้มอบหมายให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.)และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปปรับแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าหรือ PDP ให้สอดคล้องกับอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจอีกครั้งหนึ่งหลังจากตัวเลขทางเศษฐกิจมีการเปลี่ยนแปลงบ่อยครั้งจากเดิมที่คาดว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศหรือจีดีพีจะโต 3% ล่าสุดอาจไม่โตหรือติดลบ ซึ่งจะมีผลให้การใช้ไฟฟ้าลดต่ำมากกว่าที่คาดการไว้และจะส่งผลต่อปริมาณสำรองไฟให้ให้สูงขึ้นจากขณะนี้อยู่ระดับ 28%
“การใช้ไฟโดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมขณะนี้ลดไปถึง 30% คงต้องมาดูให้ปริมาณสำรองอยู่ในอัตราที่เหมาะสมโดยจากเดิมที่มองไว้ระดับ 15% ส่วนตัวก็มองว่าควรจะเผื่อไว้ให้มากกว่านี้เนื่องจากเมื่อเศรษฐกิจกลับมาพลิกฟื้นโดยเร็วระดับดังกล่าวอาจเสี่ยงเกินไป”รมว.พลังงานกล่าว
อย่างไรก็ตาม เมื่อเร็วๆนี้คณะกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้หารือถึงการกระตุ้นการลงทุนโดยเฉพาะโครงการเมกะโปรเจกต์ของรัฐ ซึ่งทางสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) ได้เสนอแนวคิดในส่วนของพลังงานว่าควรจะเปิดโอกาสให้เอกชนเข้ามาลงทุนโรงไฟฟ้ามากขึ้นในทุกระดับตั้งแต่ขนาดเล็กที่ส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนไปจนถึงขนาดใหญ่ดังนั้นจึงมอบหมายให้กฟผ.ไปพิจาณราโดยดูเรื่องของปริมาณสำรองที่อาจจะมากกว่า 15% แต่ไม่ให้สูงจนเป็นภาระที่จะไปกระทบต่อค่าไฟฟ้า
นายสมบัติ ศานติจารี ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) กล่าวว่า ขณะนี้การใช้ไฟฟ้ามีอัตราเติบโตที่ลดต่ำลงจากไตรมาสแรกปีนี้ที่ขยายตัว 3% เริ่มลดมาอยู่ระดับ 2% กว่าๆ ในช่วงไตรมาส 2-3 และล่าสุดไตรมาส 4 คาดว่าอัตราเติบโตจะเป็น 0 % ดังนั้นหากเศรษฐกิจปี2552 ชะลอตัวอีกก็จะทำให้การใช้ลดต่ำได้ และผลจากการใช้ไฟที่ลดลงทำให้สำรองไฟฟ้าของกฟผ.อยู่ที่ 28% ซึ่งคงจะต้องมีการปรับพีดีพีใหม่แต่คงต้องรอตัวเลขจีดีพีจากสศช.ให้ชัดเจนก่อน
“ผลจากที่ราคาวัสดุก่อสร้างที่ลดต่ำลงในปัจจุบันทำให้กฟผ.เตรียมแผนที่จะซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้าครั้งใหญ่เช่น วังน้อย บางปะกง ฯลฯ เพื่อลดต้นทุนค่าซ่อมบำรุง ส่วนแนวโน้มค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติหรือ Ft ม.ค.-เม.ย.52 ยอมรับว่าจะสะท้อนจากต้นทุนเชื่อเพลิงคือก๊าซธรรมชาติที่มีราคาแพงขึ้นเนื่องจากราคาก๊าซฯจะสะท้อนราคาน้ำมันย้อนหลัง 6 เดือนซึ่งช่วงนี้ราคาน้ำมันสูงค่อนข้างมาก”นายสมบัติกล่าว
นายอนุสรณ์ แสงนิ่มนวล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทบางจากปิโตรเลียม จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า แนวโน้มการใช้น้ำมันในปี 2552 คาดว่าจะลดต่ำลงประมาณ 4% เมื่อเทียบกับปี 2551 เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มเติบโตลดลงตามภาวะเศรษฐกิจโลกประกอบกับประชาชนได้หันไปใช้พลังงานทดแทนและทางเลือกอื่นเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์หรือ NGV ดังนั้นคาดว่าจะกระทบต่อปริมาณการผลิตดีเซลในประเทศที่จะมีเพิ่มขึ้นซึ่งทำให้บางจากฯเตรียมหาแผนรองรับด้วยการมองการส่งออกไปยังต่างประเทศแทน
“ปีนี้เทียบกับปี 2550 แล้วคาดว่าจะโตลดลง 4%แต่ปีหน้าก็จะลดลงอีกตามภาวะเศรษฐกิจ ผมค่อนข้างห่วงดีเซลเพราะโรงกลั่นมีการขยายการผลิตที่เพิ่มในช่วงที่ผ่านมาแต่การใช้ลดลงอย่างมากเพราะหันไปพึ่งไบโอดีเซลและ NGV ค่อนข้างมากทำให้คาดว่าปีหน้าดีเซลน่าจะเหลือส่งออกพอสมควร”นายอนุสรณ์
นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รักษาการรมว.พลังงานกล่าวว่า ขณะนี้ได้มอบหมายให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.)และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปปรับแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าหรือ PDP ให้สอดคล้องกับอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจอีกครั้งหนึ่งหลังจากตัวเลขทางเศษฐกิจมีการเปลี่ยนแปลงบ่อยครั้งจากเดิมที่คาดว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศหรือจีดีพีจะโต 3% ล่าสุดอาจไม่โตหรือติดลบ ซึ่งจะมีผลให้การใช้ไฟฟ้าลดต่ำมากกว่าที่คาดการไว้และจะส่งผลต่อปริมาณสำรองไฟให้ให้สูงขึ้นจากขณะนี้อยู่ระดับ 28%
“การใช้ไฟโดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมขณะนี้ลดไปถึง 30% คงต้องมาดูให้ปริมาณสำรองอยู่ในอัตราที่เหมาะสมโดยจากเดิมที่มองไว้ระดับ 15% ส่วนตัวก็มองว่าควรจะเผื่อไว้ให้มากกว่านี้เนื่องจากเมื่อเศรษฐกิจกลับมาพลิกฟื้นโดยเร็วระดับดังกล่าวอาจเสี่ยงเกินไป”รมว.พลังงานกล่าว
อย่างไรก็ตาม เมื่อเร็วๆนี้คณะกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้หารือถึงการกระตุ้นการลงทุนโดยเฉพาะโครงการเมกะโปรเจกต์ของรัฐ ซึ่งทางสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) ได้เสนอแนวคิดในส่วนของพลังงานว่าควรจะเปิดโอกาสให้เอกชนเข้ามาลงทุนโรงไฟฟ้ามากขึ้นในทุกระดับตั้งแต่ขนาดเล็กที่ส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนไปจนถึงขนาดใหญ่ดังนั้นจึงมอบหมายให้กฟผ.ไปพิจาณราโดยดูเรื่องของปริมาณสำรองที่อาจจะมากกว่า 15% แต่ไม่ให้สูงจนเป็นภาระที่จะไปกระทบต่อค่าไฟฟ้า
นายสมบัติ ศานติจารี ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) กล่าวว่า ขณะนี้การใช้ไฟฟ้ามีอัตราเติบโตที่ลดต่ำลงจากไตรมาสแรกปีนี้ที่ขยายตัว 3% เริ่มลดมาอยู่ระดับ 2% กว่าๆ ในช่วงไตรมาส 2-3 และล่าสุดไตรมาส 4 คาดว่าอัตราเติบโตจะเป็น 0 % ดังนั้นหากเศรษฐกิจปี2552 ชะลอตัวอีกก็จะทำให้การใช้ลดต่ำได้ และผลจากการใช้ไฟที่ลดลงทำให้สำรองไฟฟ้าของกฟผ.อยู่ที่ 28% ซึ่งคงจะต้องมีการปรับพีดีพีใหม่แต่คงต้องรอตัวเลขจีดีพีจากสศช.ให้ชัดเจนก่อน
“ผลจากที่ราคาวัสดุก่อสร้างที่ลดต่ำลงในปัจจุบันทำให้กฟผ.เตรียมแผนที่จะซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้าครั้งใหญ่เช่น วังน้อย บางปะกง ฯลฯ เพื่อลดต้นทุนค่าซ่อมบำรุง ส่วนแนวโน้มค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติหรือ Ft ม.ค.-เม.ย.52 ยอมรับว่าจะสะท้อนจากต้นทุนเชื่อเพลิงคือก๊าซธรรมชาติที่มีราคาแพงขึ้นเนื่องจากราคาก๊าซฯจะสะท้อนราคาน้ำมันย้อนหลัง 6 เดือนซึ่งช่วงนี้ราคาน้ำมันสูงค่อนข้างมาก”นายสมบัติกล่าว
นายอนุสรณ์ แสงนิ่มนวล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทบางจากปิโตรเลียม จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า แนวโน้มการใช้น้ำมันในปี 2552 คาดว่าจะลดต่ำลงประมาณ 4% เมื่อเทียบกับปี 2551 เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มเติบโตลดลงตามภาวะเศรษฐกิจโลกประกอบกับประชาชนได้หันไปใช้พลังงานทดแทนและทางเลือกอื่นเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์หรือ NGV ดังนั้นคาดว่าจะกระทบต่อปริมาณการผลิตดีเซลในประเทศที่จะมีเพิ่มขึ้นซึ่งทำให้บางจากฯเตรียมหาแผนรองรับด้วยการมองการส่งออกไปยังต่างประเทศแทน
“ปีนี้เทียบกับปี 2550 แล้วคาดว่าจะโตลดลง 4%แต่ปีหน้าก็จะลดลงอีกตามภาวะเศรษฐกิจ ผมค่อนข้างห่วงดีเซลเพราะโรงกลั่นมีการขยายการผลิตที่เพิ่มในช่วงที่ผ่านมาแต่การใช้ลดลงอย่างมากเพราะหันไปพึ่งไบโอดีเซลและ NGV ค่อนข้างมากทำให้คาดว่าปีหน้าดีเซลน่าจะเหลือส่งออกพอสมควร”นายอนุสรณ์