ผู้บริหาร ปตท.เผย ราคาน้ำมันปี 52 แนวโน้มจะทรงตัวที่ 40 ดอลลาร์/บาร์เรล แต่ค่าไฟฟ้าช่วงครึ่งปีแรก อาจตัองปรับขึ้น 20 สตางค์/หน่วย แม้ว่าค่าไฟฟ้าจะผันแปรตามน้ำมัน แต่กลไกตลาดในประเทศ ยังถูกบิดเบือน-ไม่สะท้อนต้นทุนจริง ขณะที่ กฟผ.ต้องแบกหนี้ค่าก๊าซถึง 20,000 ล้านบาท เพราะถูกบังคับให้ซื้อก๊าซราคาแพงจาก ปตท.ในราคาย้อนหลัง 6 เดือน
นายจิตรพงษ์ กว้างสุขสถิตย์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นต้น บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แม้แนวโน้มราคาน้ำมันปี 2552 มีทิศทางปรับลดลงเมือเทียบกับราคาเฉลี่ยปี 2551 โดยคาดกันว่า ราคาน้ำมันดิบปีหน้าจะอยู่ที่ประมาณ 40-50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล แต่ราคาก๊าซธรรมชาติในครึ่งแรกของปีจะยังคงอยู่ในราคาสูง เพราะราคาจะผันแปรตามราคาน้ำมันย้อนหลัง 6-12 เดือน ซึ่งการคำนวณราคาไม่ได้สะท้อนต้นทุนจริง ตามราคาน้ำมันในปัจจุบันที่ปรับลงไม่ถึง 40 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
นายจิตรพงษ์ ยังคาดการณ์ว่า ช่วงครึ่งหลังของปี ราคาก๊าซบางแหล่งจะปรับลดลงได้ ซึ่งประเด็นดังกล่าวก็คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนค่าไฟฟ้าในงวดครึ่งแรกของปีจะขยับขึ้นอีก แต่จะเป็นอัตราใดขึ้นอยู่กับคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (เรกกูเลเตอร์) จะพิจารณา
นายสมบัติ ศานติจารี ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กล่าวยอมรับว่า ต้นทุนค่าไฟฟ้าเอฟทีงวดใหม่ที่จะเริ่มเดือนมกราคม 2552 มีแนวโน้มจะปรับสูงขึ้นอีก ซึ่งทางเรกกูเรเตอร์กำลังเกลี่ยต้นทุนไม่ให้ปรับเพิ่มสูงขึ้นไปมากนัก ซึ่งอาจะมีผลให้ กฟผ.ต้องแบกรับต้นทุนเพิ่มขึ้น โดยจากค่าเอฟทีที่เกลี่ยงวดที่แล้ว ส่งผลให้ กฟผ.ต้องรับภาระไปก่อน 2 หมื่นล้านบาทนั้น ทาง กฟผ.ก็จะเตรียมออกพันธบัตรเพื่อแก้ปัญหา โดยในเดือนมกราคมนี้ โดยจะออกพันธบัตรรวม 2 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้ เป็นที่คาดกันว่า ค่าเอฟทีงวดใหม่ มกราคม-เมษายน 2551 ค่าเอฟทีใหม่รวมกับที่เกลี่ยไว้เดิม คาดว่า อาจะทำให้ค่าเอฟทีอาจปรับเพิ่มขึ้นอีก 20 สตางค์ต่อหน่วย