ASTVผู้จัดการรายวัน - “พาณิชย์”นัดผู้ส่งออกรายสาขาถกประเมินเป้าส่งออกปีหน้าอีกครั้งสัปดาห์นี้ พร้อมนำข้อมูลจากทูตพาณิชย์มาพิจารณาร่วมกัน ก่อนประกาศตัวเลขอย่างเป็นทางการปลายธ.ค. “ราเชนทร์”ยังหวังเห็นตัวเลขโต 5% แม้ปัจจัยลบเพียบ ทั้งเศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจคู่ค้า และปัญหาการเมืองในประเทศ
นายราเชนทร์ พจนสุนทร อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก เปิดเผยว่า ตลอดสัปดาห์นี้ กรมฯ จะเชิญผู้ส่งออกสินค้าทั้งภาคการเกษตร อุตสาหกรรมการเกษตร และอุตสาหกรรม มาหารือเพื่อประเมินเป้าหมายการส่งออกสินค้าไทยในแต่ละสาขาว่ามีแนวโน้มการส่งออกเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างไร เพื่อให้ได้ภาพที่ชัดเจนก่อนที่จะประเมินเป้าหมายการส่งออกสินค้าไทยของปี 2552 ซึ่งในส่วนของกรมฯ ยังอยากเห็นอัตราการขยายตัวของการส่งออกที่ระดับ 5% แต่ตัวเลขจริงจะเป็นอัตราเท่าใดจะประกาศได้ช่วงปลายเดือนธ.ค.นี้
“ขณะนี้มีปัจจัยที่ทำให้เกิดผลกระทบต่อการส่งออกมาก ทั้งปัญหาเศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจประเทศคู่ค้า และปัญหาการเมืองภายในประเทศที่แม้จะยุติลงไปได้ แต่ก็ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะเกิดปัญหาอีกหรือไม่ เดิมถ้าไม่มีปัญหาการเมืองในประเทศรุนแรง ไม่มีการยึดสนามบิน ผมกล้าฟันธงว่าการส่งออกปีหน้าโต 5-10% ได้แน่ แต่พอมีปัญหา ก็ประเมินได้ยาก ต้องมาคุยกันใหม่ให้ชัดเจนอีกครั้ง เอกชนเองก็ยังมึน แต่ก็ยังหวังว่าการส่งออกน่าจะโตได้”นายราเชนทร์กล่าว
ทั้งนี้ ในการจัดทำเป้าหมายการส่งออกปี 2552 กรมฯ ยังได้สั่งการให้ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ให้แต่ละประเทศมีการประเมินเป้าหมายการส่งออกใหม่ว่าตลาดที่รับผิดชอบแนวโน้มการส่งออกจะเพิ่มขึ้นหรือลดลง จะยืนยันเป้าหมายเดิมที่เคยได้หารือกันไว้แล้วหรือจะปรับลดเป้าลง ซึ่งล่าสุดบางประเทศทั้งตลาดหลักและตลาดใหม่ได้แจ้งเข้ามาแล้วว่าต้องปรับลดเป้าหมายลง แต่บางประเทศก็ยังคงยืนยันเป้าหมายเดิม
ขณะเดียวกัน ได้ขอให้มีการตรวจสอบด้วยว่า ประเทศที่ดูแลอยู่มีมาตรการในการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศอย่างไร เช่น การอัดฉีดเงินเพื่อเพิ่มกำลังซื้อภายในประเทศ จะเน้นไปในด้านไหน หรือนโยบายในการสร้างงานในประเทศ จะเน้นการลงทุนอะไร เพื่อที่จะได้นำมาประเมินว่าไทยจะใช้โอกาสนี้ในการผลักดันการส่งออกเข้าไปเพิ่มขึ้นได้หรือไม่ ยกตัวอย่างเช่น หากเพิ่มการลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์ ไทยก็จะมีโอกาสที่จะขายสินค้าวัสดุก่อสร้าง เฟอร์นิเจอร์ รวมไปถึงการขายบริการด้านการตกแต่งดีไซน์ เป็นต้น
นายราเชนทร์กล่าวว่า สำหรับแผนงานส่งเสริมการส่งออกในปี 2552 กรมฯ จะดำเนินการตามแผนงานที่ได้รับอนุมัติไว้ โดยจะเน้นการผลักดันการส่งออกไปยังตลาดที่ไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจ โดยเฉพาะตลาดใหม่ที่ต้องหาทางเพิ่มยอดการส่งออก การผลักดันการส่งออกสินค้าอาหาร ซึ่งเชื่อว่าแนวโน้มการส่งออกยังคงไปได้ดี เพราะเป็นจุดแข็งของไทย
แต่สิ่งที่จะต้องทำเพิ่มเติม จะเน้นการผลักดันให้คนไทยออกไปทำธุรกิจในต่างประเทศ เพราะถือเป็นการเพิ่มช่องทางการส่งออกสินค้าไทยที่มั่นคงอีกทางหนึ่ง รวมทั้งจะผลักดันให้มีการพัฒนาแบรนด์สินค้าให้เพิ่มมากขึ้น เพราะการใช้แบรนด์เป็นจุดขายสินค้าจะทำให้สินค้าไทยขายได้ราคาดีขึ้น แต่ทั้งนี้ ผู้ส่งออกจะต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจนในเรื่องนี้และควรดำเนินการอย่างจริงจัง
นายราเชนทร์ พจนสุนทร อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก เปิดเผยว่า ตลอดสัปดาห์นี้ กรมฯ จะเชิญผู้ส่งออกสินค้าทั้งภาคการเกษตร อุตสาหกรรมการเกษตร และอุตสาหกรรม มาหารือเพื่อประเมินเป้าหมายการส่งออกสินค้าไทยในแต่ละสาขาว่ามีแนวโน้มการส่งออกเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างไร เพื่อให้ได้ภาพที่ชัดเจนก่อนที่จะประเมินเป้าหมายการส่งออกสินค้าไทยของปี 2552 ซึ่งในส่วนของกรมฯ ยังอยากเห็นอัตราการขยายตัวของการส่งออกที่ระดับ 5% แต่ตัวเลขจริงจะเป็นอัตราเท่าใดจะประกาศได้ช่วงปลายเดือนธ.ค.นี้
“ขณะนี้มีปัจจัยที่ทำให้เกิดผลกระทบต่อการส่งออกมาก ทั้งปัญหาเศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจประเทศคู่ค้า และปัญหาการเมืองภายในประเทศที่แม้จะยุติลงไปได้ แต่ก็ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะเกิดปัญหาอีกหรือไม่ เดิมถ้าไม่มีปัญหาการเมืองในประเทศรุนแรง ไม่มีการยึดสนามบิน ผมกล้าฟันธงว่าการส่งออกปีหน้าโต 5-10% ได้แน่ แต่พอมีปัญหา ก็ประเมินได้ยาก ต้องมาคุยกันใหม่ให้ชัดเจนอีกครั้ง เอกชนเองก็ยังมึน แต่ก็ยังหวังว่าการส่งออกน่าจะโตได้”นายราเชนทร์กล่าว
ทั้งนี้ ในการจัดทำเป้าหมายการส่งออกปี 2552 กรมฯ ยังได้สั่งการให้ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ให้แต่ละประเทศมีการประเมินเป้าหมายการส่งออกใหม่ว่าตลาดที่รับผิดชอบแนวโน้มการส่งออกจะเพิ่มขึ้นหรือลดลง จะยืนยันเป้าหมายเดิมที่เคยได้หารือกันไว้แล้วหรือจะปรับลดเป้าลง ซึ่งล่าสุดบางประเทศทั้งตลาดหลักและตลาดใหม่ได้แจ้งเข้ามาแล้วว่าต้องปรับลดเป้าหมายลง แต่บางประเทศก็ยังคงยืนยันเป้าหมายเดิม
ขณะเดียวกัน ได้ขอให้มีการตรวจสอบด้วยว่า ประเทศที่ดูแลอยู่มีมาตรการในการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศอย่างไร เช่น การอัดฉีดเงินเพื่อเพิ่มกำลังซื้อภายในประเทศ จะเน้นไปในด้านไหน หรือนโยบายในการสร้างงานในประเทศ จะเน้นการลงทุนอะไร เพื่อที่จะได้นำมาประเมินว่าไทยจะใช้โอกาสนี้ในการผลักดันการส่งออกเข้าไปเพิ่มขึ้นได้หรือไม่ ยกตัวอย่างเช่น หากเพิ่มการลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์ ไทยก็จะมีโอกาสที่จะขายสินค้าวัสดุก่อสร้าง เฟอร์นิเจอร์ รวมไปถึงการขายบริการด้านการตกแต่งดีไซน์ เป็นต้น
นายราเชนทร์กล่าวว่า สำหรับแผนงานส่งเสริมการส่งออกในปี 2552 กรมฯ จะดำเนินการตามแผนงานที่ได้รับอนุมัติไว้ โดยจะเน้นการผลักดันการส่งออกไปยังตลาดที่ไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจ โดยเฉพาะตลาดใหม่ที่ต้องหาทางเพิ่มยอดการส่งออก การผลักดันการส่งออกสินค้าอาหาร ซึ่งเชื่อว่าแนวโน้มการส่งออกยังคงไปได้ดี เพราะเป็นจุดแข็งของไทย
แต่สิ่งที่จะต้องทำเพิ่มเติม จะเน้นการผลักดันให้คนไทยออกไปทำธุรกิจในต่างประเทศ เพราะถือเป็นการเพิ่มช่องทางการส่งออกสินค้าไทยที่มั่นคงอีกทางหนึ่ง รวมทั้งจะผลักดันให้มีการพัฒนาแบรนด์สินค้าให้เพิ่มมากขึ้น เพราะการใช้แบรนด์เป็นจุดขายสินค้าจะทำให้สินค้าไทยขายได้ราคาดีขึ้น แต่ทั้งนี้ ผู้ส่งออกจะต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจนในเรื่องนี้และควรดำเนินการอย่างจริงจัง
