xs
xsm
sm
md
lg

พระรามแผลงศรอัคนิวาต !?

เผยแพร่:   โดย: สิริอัญญา

ไม่เคยเฉลียวใจและนึกไม่ถึงจริงๆ ว่ากลียุคทุกข์เข็ญในยามนี้ ภาคอวตารแห่งองค์พระนารายณ์เป็นเจ้าก็คือคณะตุลาการภิวัฒน์ ทั้งๆ ที่ได้เล็งเห็นมาโดยลำดับบ้างแล้วว่ายามแผ่นดินเป็นกลียุคนั้น ย่อมเป็นวาระที่จะมีองค์อวตารมาปราบมารให้สิ้นสูญ

ในบทความเรื่องสงครามครั้งสุดท้าย ระหว่างธรรมะกับอธรรม อันเป็นภาคที่นนทุกมาเกิดเป็นทศกัณฐ์ และพระนารายณ์อวตารมาเกิดเป็นพระราม แล้วกระทำสงครามแก่กันเป็นชาติสุดท้าย ดังที่ได้ลงตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวันฉบับวันที่ 7 พฤศจิกายน 2551 เนื้อความไปสิ้นสุดยุติลงตรงที่ว่าทศกัณฐ์ได้ถอดดวงใจฝากไว้กับพระฤาษีโคบุตร ฆ่าเท่าใดก็ไม่ตาย จนในที่สุดพระรามมีบัญชาให้หนุมานไปช่วงชิงเอากล่องดวงใจของทศกัณฐ์มาได้

แล้วเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ปัจจุบันว่าเหมือนกับ “การเมืองไทยในขณะนี้ที่ประหนึ่งว่ามีการถอดดวงใจอสูรออกไปเหมือนกัน เพราะนายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งไปคนหนึ่ง ก็มีคนใหม่มาสวมหัวโขนเป็นนายกรัฐมนตรีต่อมาอีก พรรคถูกยุบก็ตั้งพรรคใหม่มาแทนที่อีก ไม่มีที่สิ้นสุด”

เนื้อความมาจบลงแค่นั้น เพราะไม่รู้ว่าบทสุดท้ายของมารการเมืองจะจบลงอย่างไร ทั้งๆ ที่ในรามเกียรติ์นั้นพระรามแผลงศรไปตัดศีรษะทศกัณฐ์ พร้อมกับการบดขยี้ดวงใจทศกัณฐ์จึงถึงแก่ความตาย

และแล้วในวันที่ 2 ธันวาคม 2551 เสียงหวีดหวิวฝ่าสายลมยามต้นฤดูหนาวช่างคมกริบแต่แผ่วเบาดุจดังเสียงยุง ได้ส่งผลสะเทือนเลื่อนลั่นสะท้านทั่วทั้งจักรวาล ราวกับว่าเป็นเสียงแห่งศรอัคนิวาตที่พระรามองค์อวตารแห่งพระนารายณ์แผลงไปปราบมารล้างผลาญอสูรให้สูญสิ้น

สิ้นเสียงก็สิ้นสามพรรคการเมือง เช่นเดียวกับสิ้นเสียงศร หัวทศกัณฐ์ก็ขาดกระเด็นดอนตกลงจากรถทรงและหัวของพลมารก็ขาดกระเด็นกระจาย แล้วอธรรมในครั้งนั้นก็สิ้นสูญไป เปิดศักราชใหม่แห่งศานติและความร่มเย็นเป็นสุข

ศาลรัฐธรรมนูญในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ได้มีคำพิพากษาว่าพรรคพลังประชาชน พรรคชาติไทย และพรรคมัชฌิมาธิปไตย กระทำผิดตามกฎหมายเลือกตั้ง พูดง่ายๆ ก็คือโกงเลือกตั้ง

ทำให้เหตุผลที่เคยเอ่ยอ้างว่าได้อำนาจมาจากการเลือกตั้งฟังไม่ขึ้นอีกต่อไป และทำให้ข้อกล่าวหาที่ว่าพรรคการเมืองและนักการเมืองโกงเลือกตั้งฟังขึ้น ชาวโลกทั้งปวงเมื่อได้ทราบคำตัดสินของศาลแล้วย่อมยอมรับนับถือ และเชื่อว่าความวิปริตทั้งปวงในประเทศไทยของเรานั้นเกิดขึ้นเพราะมันไม่เป็นประชาธิปไตย หากเป็นเพราะการโกงเลือกตั้งนั่นเอง

นักการเมืองบางคนติเตียนศาลว่าศาลไม่ให้โอกาสฝ่ายพรรคการเมืองทำพยานหลักฐานเข้าพิสูจน์อันเป็นลักษณะพิรุธ

แท้จริงแล้วคำติเตียนนี้ต่างหากที่มีพิรุธ เพราะความจริงศาลได้พิจารณาและรับฟังพยานหลักฐานแล้ว ดังที่ปรากฏในขั้นตอนการกำหนดให้ยื่นบัญชีพยานและส่งพยานหลักฐานต่อศาลให้เต็มที่ ครั้นเมื่อทุกฝ่ายได้ส่งพยานหลักฐานครบถ้วนตามกำหนดแล้ว ศาลเห็นว่าพยานหลักฐานที่ได้ยื่นต่อศาลสามารถวินิจฉัยคดีได้โดยไม่ต้องสืบพยานอีกต่อไป

ศาลจึงมีคำสั่งให้งดสืบพยานเสีย ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไร เป็นเรื่องปกติในการดำเนินกระบวนพิจารณา ซึ่งบรรดานักกฎหมายทนายความทั้งปวงก็รู้กันดีและเคยมีประสบการณ์กันมาแล้วทั้งนั้น กรณีจึงเป็นเรื่องที่ศาลพิจารณาพยานหลักฐานของทุกฝ่ายแล้วเห็นว่าข้อเท็จจริงเพียงพอและเป็นที่ยุติแล้วจึงให้งดสืบพยาน ไม่ใช่ศาลกลั่นแกล้งไม่ยอมรับพยานหลักฐานของฝ่ายจำเลยแต่อย่างใด

เพราะคดีเรื่องยุบพรรคนั้นได้ต่อสู้และเอาพยานหลักฐานเข้ามาพิสูจน์กันเป็นที่สิ้นสุดยุติก่อนหน้าแล้ว ในชั้น กกต. ก็ดี ในชั้นการพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งก็ดี ซึ่งผลการพิจารณานั้นถือเป็นที่สุดตามที่รัฐธรรมนูญได้บัญญัติ และศาลรัฐธรรมนูญก็ไม่มีอำนาจไปลบล้างคำวินิจฉัยของ กกต. และศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งได้

ในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลจึงวินิจฉัยว่าทั้งสามพรรคทำผิดตามกฎหมายเลือกตั้ง คือโกงการเลือกตั้งนั่นเอง เป็นไปดังที่เคยคาดหมายไว้ก่อนหน้าในบทความล่าสุด

เมื่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทว่ามีการโกงการเลือกตั้งแล้ว ก็วินิจฉัยในปัญหาข้อกฎหมายเป็นประเด็นต่อไปว่าต้องยุบพรรคการเมืองหรือไม่

ซึ่งศาลเห็นว่าการโกงเลือกตั้งเป็นเรื่องสำคัญและเป็นเรื่องร้ายแรง เป็นเรื่องที่เป็นภัยต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เพราะเป็นการโกงเพื่อเข้าสู่อำนาจโดยไม่ใช่วิถีทางแห่งรัฐธรรมนูญ จึงต้องยุบพรรคสถานเดียว ทั้งนี้ย่อมเป็นไปตามบรรทัดฐานที่คณะตุลาการรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยไว้ในคดียุบพรรคไทยรักไทย

เมื่อวินิจฉัยให้ยุบพรรคที่โกงการเลือกตั้งแล้ว ประเด็นสุดท้ายคือจะต้องเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคหรือไม่ ซึ่งในประการนี้มีข่าวปรากฏก่อนหน้านี้ว่าฝ่ายโจทก์คืออัยการได้แถลงต่อศาลว่าในสำนวนไม่ปรากฏว่าหัวหน้าพรรคก็ดี หรือกรรมการบริหารพรรคก็ดี รู้เห็นเป็นใจหรือปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริตในการเลือกตั้ง

ซึ่งได้ตั้งข้อสังเกตไว้ในบทความก่อนหน้านี้ว่า ก่อให้เกิดความกังขาแก่ผู้คนในวงการกฎหมายอย่างยิ่ง เพราะปรากฏชัดตั้งแต่ต้นแล้วว่าผู้กระทำความผิดเป็นรองหัวหน้าพรรคบ้าง เป็นรองเลขาธิการพรรคบ้าง ซึ่งล้วนเป็นตำแหน่งกรรมการบริหารพรรคทั้งนั้น จะไปแถลงว่ากรรมการบริหารพรรคไม่ได้รู้เห็นเป็นใจหรือมิได้ละเลยให้มีการทุจริตได้อย่างไร

แต่เพราะการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญเป็นระบบไต่สวน ศาลมีอำนาจพิจารณาหาความจริงจากพยานหลักฐานและคำฟ้อง คำให้การ ตลอดจนเอกสารทั้งปวงได้

ดังนั้นคำแถลงดังกล่าวที่ขัดต่อข้อเท็จจริงจึงไร้ผล ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าการกระทำความผิดตามกฎหมายเลือกตั้งเป็นการกระทำโดยกรรมการบริหาร ดังนั้นหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารอื่นจึงต้องร่วมรับผิดตามที่กฎหมายบัญญัติและตามหลักการร่วมรับผิดตามกฎหมายทั่วไปด้วย

ศาลรัฐธรรมนูญจึงพิพากษาให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคของทั้งสามพรรคการเมืองเป็นเวลา 5 ปี

ทั้งทศกัณฐ์และสมุนไพร่พลมารคอขาดกระเด็นเกลื่อนพสุธาฉันใด นักการเมืองที่ทุจริตในการเลือกตั้งเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจโดยไม่ใช่วิถีทางแห่งรัฐธรรมนูญก็ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 5 ปีฉันนั้น

ทำให้นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีซึ่งถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งต้องพ้นจากตำแหน่งทันที และทำหน้าที่รักษาการใดๆ ไม่ได้ ทั้งเป็นผลให้คณะรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะด้วย

ในส่วนรัฐบาล เป็นอันว่าไม่มีนายกรัฐมนตรี และไม่มีใครที่จะมีอำนาจแต่งตั้งผู้รักษาการนายกรัฐมนตรีได้ ทำให้เกิดปัญหาการรักษาการของนายชวรัตน์ ชาญวีรกุล ว่าไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมายว่าด้วยการบริหารราชการแผ่นดินและเป็นโมฆะด้วย

เพราะการจะตั้งให้ใครเป็นอะไร คนที่ตั้งต้องมีอำนาจเสียก่อน การตั้งรักษาการนายกรัฐมนตรีก็ดี การกำหนดหน้าที่ให้รองนายกรัฐมนตรีคนใดอยู่ลำดับใดก็ดี การกำหนดให้รัฐมนตรีคนใดไปรักษาการรัฐมนตรีกระทรวงใดก็ดี เป็นอำนาจเฉพาะของนายกรัฐมนตรี เมื่อไม่มีนายกรัฐมนตรีจึงไม่มีผู้ใดมีอำนาจแต่งตั้งมอบหมาย ใครขืนไปแต่งตั้งมอบหมายเข้าก็ไร้ผลและเป็นโมฆะ

การที่คณะรัฐมนตรีรักษาการไปแต่งตั้งนายชวรัตน์ ชาญวีรกุล ให้รักษาการนายกรัฐมนตรี และตั้งคนนั้นคนนี้ไปรักษาการที่นั่นที่นี่นั้นล้วนขัดต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมาย จึงเป็นโมฆะทั้งสิ้น

ก็ขอบอกให้รู้ว่าคณะรัฐมนตรีไม่มีอำนาจแต่งตั้งใครทั้งนั้น อำนาจแต่งตั้งมอบหมายเป็นของนายกรัฐมนตรี โดยคณะรัฐมนตรีมีอำนาจหน้าที่เพียงรับทราบเท่านั้น

ไม่เห็นหรือว่าการแต่งตั้งมอบหมายในลักษณะนี้ที่เคยมีมาทั้งหมดนั้นต้องกระทำโดยนายกรัฐมนตรีออกเป็นประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี แล้วแจ้งให้คณะรัฐมนตรีรับทราบ

เมื่อเป็นเช่นนี้การแต่งตั้งมอบหมายใดๆ โดยที่ไม่มีนายกรัฐมนตรี แม้จะระบุว่าเป็นมติคณะรัฐมนตรีก็ตาม ล้วนไม่มีผลตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย และเพราะใช้กฎหมายแบบนี้นี่เองจึงเพลี่ยงพล้ำพ่ายแพ้ในทางกฎหมายตลอดมา จนมีชะตากรรมดังที่เห็นเช่นวันนี้

ไว้วันจันทร์จักชี้ให้เห็นถึงปัญหาทางกฎหมายในส่วนของสภา ซึ่งสับสนอลหม่านจนถึงขั้นไปไม่เป็นกันแล้วต่อไป.
กำลังโหลดความคิดเห็น