นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในประเทศขณะนี้ ว่า เวลาและโอกาสในการคลี่คลายสถานการณ์ เหลือน้อยเต็มทีแล้ว และขณะนี้มีความเสี่ยงอย่างมาก ที่จะเกิดความรุนแรงมากกว่าวันที่ 7 ต.ค.ที่ผ่านมา หากเพิกเฉยจนสายเกินไปพรรคคิดว่า เหตุการณ์ จะลุกลามจน อาจจะไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ไม่ให้บานปลายไปสู่ความรุนแรงครั้งใหญ่ได้
ทั้งนี้ พรรคประชาธิปัตย์อยากเห็น 1. เจ้าหน้าที่ตำรวจระมัดระวังท่าทีที่จะทำให้เหตุการณ์ลุกลาม โดยเฉพาะการที่ออกมาระบุว่า ได้ประเมินยกระดับสถานการณ์จากผู้ก่อการร้าย เป็นกองกำลังติดอาวุธซึ่ง อาจเป็นสัญญาณในการใช้ความรุนแรง จากกลุ่มนปช. ที่จะมีการชุมนุมกัน ที่อาจมีการเตรียมการใช้อาวุธ เช่นเดียวกัน
2 .ในส่วนของเหล่าทัพ โดยเฉพาะทหารบก อยากให้ร่วมรับผิดชอบ ภายใต้บทบาทของคณะกรรมการติดตามสถานการณ์ร่วมทหารและตำรวจ (คตร.) เพราะเหตุระเบิดที่ ทำเนียบฯ เมื่อคืนวันที่ 29พ.ย. เกิดขึ้นโดยที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่รับผิดชอบในพื้นที่นั้นไม่สามารถป้องกันเหตุไม่ให้เกิดขึ้นได้ และในทำเนียบฯ ก็มีการยิงระเบิดเข้ามาหลายครั้ง ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เหตุการณ์ลุกลาม
ดังนั้น พื้นที่ในส่วนพระนครที่รับผิดชอบโดยกองทัพบก เช่นเดียวกันกับที่ดอนเมือง ซึ่งรับผิดชอบโดย กองทัพอากาศ และ สนามบินสุวรรณภูมิ ที่รับผิดชอบโดยกองทัพเรือ ตนมองว่าจุดที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดความรุนแรงมากขึ้น คือทำเนียบรัฐบาล และศาลรัฐธรรมนูญ อยากให้ย้อนกลับไปมองการใช้รูปแบบ ป้องกันความรุนแรงในการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ช่วงเดือน ก.ย.ที่ผ่าน ซึ่งเป็นช่วงเดียวที่ทหารบกเข้าดูแล โดยไม่มีการบาดเจ็บหรือความรุนแรงเกิดขึ้น
3.ในส่วนของรัฐบาล ถึงวันนี้ยังไม่มีบุคคลที่อยู่ในฝ่ายการเมืองแม้แต่คนเดียวที่เข้าไปร่วมการเจรจากับกลุ่มผู้ชุมนุม มีเพียงเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติ ซึ่งไม่สามารถพูดถึงเงื่อนไขใหญ่ทางการเมือง ที่เป็นสาเหตุของวิกฤติได้ ซึ่งการเจรจา ถือเป็นวิถีทางเดียวที่ป้องกันไม่เหตุการณ์ลุกลามไปสู่การนองเลือดได้ และพล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รมว.มหาดไทย ยืนยันไม่ใช้ความรุนแรงหรือเริ่มต้นการสลายการชุมุนม ในขณะที่การเจรจายังไม่เริ่มต้น
ส่วนกลุ่ม นปช. ที่ได้ระบุออกมาชัดเจนว่าจะมีการปิดล้อมศาลรัฐธรรมนูญ ในวันที่ 2 ธ.ค.นี้ เพื่อไม่ให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำพิพากษาคดียุบพรรคได้ ขณะที่นักการเมืองในซีกรัฐาล นำผู้ชุมนุมเข้ามาร่วมใน กทม.เอง และระบุว่า พร้อมที่จะนำไปสู่ความรุนแรง และการนองเลือด ถือว่าเป็นจุดเสี่ยงอย่างยิ่ง อาจเกิดเหตุการณ์รุนแรงจนคนไทยฆ่ากันเอง เหมือนวันที่ 1-2 ก.ย.ที่ผ่านมา จึงขอเรียกร้องให้ทุกฝ่าย ยกเว้น ละเว้น การปลุกระดม ที่จะทำให้คนไทยเกิดความรู้สึกเกลียดชัง ถึงขนาดต้องใช้อาวุธเข้าประหัตประหารกัน
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวด้วยว่า ในส่วนผู้ชุมนุมของพันธมิตรฯ นั้นขอให้ใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ ไม่ให้เกิดความรุนแรง โดยขอให้ยึดแนวทางสันติอย่างเคร่งครัด และระมัดระวังกับผู้ชุมนุมที่เป็นเด็กและเยาวชน ให้ออกนอกพื้นที่การชุมนุมโดยด่วน เพราะขณะนี้สถานการณ์อยู่ในขั้นที่อาจะเกิดการปฏิบัติการสลายการชุมนุมได้ทุกเวลา ที่สำคัญที่สุดขอให้พันธมิตรฯ ไม่ปิดช่องการเจรจา หากทางรัฐบาลหรือนายกฯ ยินยอม และพร้อมที่จะเข้าสู่การเจรจา
"สัญญาณที่เกิดขึ้นขณะนี้ บ่งชี้ไปทางเดียวกันว่าวันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้โดดเข้ามาเล่นกับเหตุการณ์วิกฤติการเมืองอย่างเต็มตัวแล้ว การเตรียมการชุมนุมในวันนี้ ไม่ใช่ในลักษณะที่มีการรวมตัวกันที่ผ่านมา ที่เมืองทองธานี และที่วัดสวนแก้ว แต่เป็นการชุมนุมลักษณะเดียวกับเมื่อวันที่ 1 ก.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นชนวนเหตุนำไปสู่ความรุนแรงระหว่างคนไทยด้วยกัน หรือคำพูดแกนนำ นปช. ที่อ้างว่า ศาลรัฐธรรมนูญทำรัฐประหารเงียบ สิ่งเหล่านี้เป็นคำพูดที่ พ.ต.ท.ทักษิณ พูดมาตลอดต่อกระบวนการยุติธรรมของไทย ฉะนั้นวันนี้ดูเหมือนแนวทางการเคลื่อนไหวทางการเมืองของ พ.ต.ท.ทักษิณ มาสู่จุดที่ทำให้สังคมไปสู่ภาวะวิกฤติเพิ่มมากยิ่งขึ้น และอาจเกิดความรุนแรงตามมาได้ " นพ.บุรณัชย์กล่าว
** จวก"จตุพร"ทาสรับใช้"แม้ว"
นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช และผู้ช่วยเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ในวันที่ 2 ธ.ค.นี้ ศาลรัฐธรรมนูญ จะได้นัดหัวหน้าพรรคการเมืองเพื่อมาแถลงปิดคดีที่มีรายงานว่า จะมีการวินิจฉัยตัดสินคดีในวันนั้นเลย แต่สิ่งที่พรรคเป็นห่วงกรณีที่จะมีการชุมนุมของกลุ่มนปช. เพื่อที่จะไม่ให้ ศาลได้เข้าไปอ่านคำพิพากษาในศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าศาลจะวินิจฉัยออกมาอย่างไร พรรคจะไม่วิจารณ์เพราะถือเป็นดุลพินิจของศาล ที่ต้องยึดหลักเหตุผลและความเป็นอิสระปราศจากการแทรกแซงของกลุ่มหนึ่งกลุ่มใด พรรคจึงอยากให้ตุลาการศาลรธน.ได้ทำหน้าด้วยความอิสระ
แต่ขณะนี้มีการส่งสัญญาณจากกลุ่ม นปช. โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.ระบบสัดส่วน พรรคพลังประชาชน ที่ออกมาวิจารณ์การทำงานของศาลรัฐธรรมนูญ โดยระบุว่า คนที่มีจิตใจสกปรก ผลของการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญก็จะสกปรกตามไปด้วย ถือเป็นการดูหมิ่นเหยียดหยาม อยากให้เคารพการตัดสินใจของศาลรัฐธรรมนูญด้วย เมื่อไม่สามารถที่จะแทรก หรือทำให้ศาลเอนเอียงได้ ก็ออกมาตีโพยตีพายว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่ชอบ
"ผมอยากให้ไปสำรวจตัวเองว่า มีจิตใจสะอาดแค่ไหน เพราะศาลทำงานอย่างถูกต้องและให้ความเป็นธรรมให้เกิดกับคนในชาติ ขณะที่นายจตุพร ทำงานเพื่อระบอบทักษิณ แล้วจะไปกล่าวหาใส่ร้ายศาลได้อย่างไร" นายเพทไท กล่าว
นายเทพไทกล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ยังมีการเคลื่อนไหวของแกนนำพรรคพลังประชาชน ที่สอดรับกับแนวทางการเคลื่อนไหวของนปช. ที่นายวีระ มุสิกพงศ์ ผู้นำเดินรายการ ความจริงวันนี้ จะมีมวลชนไปเคลื่อนไหวที่ศาลรัฐธรรมนูญ ถือเป็นการปลุกกระแสเพื่อให้มีผลต่อการตัดสิน โดยมีการระบุว่า การเร่งรัดตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ สอดคล้องกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯ โดยมีการกล่าวหาว่า มีการล็อบบี้ หรือเตี๊ยมกันไว้ล่วงหน้า จึงอยากให้นายวีระ พูดให้ชัดว่า ใครเป็นคนไปล็อบบี้ และใครสามารถที่จะไปเตี๊ยมศาลรัฐธรรมนูญได้ ซึ่งการเคลื่อนไหวของนปช. และพรรคพลังประชาชน เป็นไปในทิศทางเดียวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่พยายามสร้างภาพ และใส่ร้ายกระบวนการยุติธรรมของไทยว่า เกี่ยวข้องกับการเมือง
นายเทพไท ยังกล่าวถึงการวิพากษ์วิจารณ์ ถึงรายชื่อบุคคล 4 คน ที่อาจจะได้เป็นนายกรัฐมนตรี คนต่อไป คือ
1.นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ เท่าที่ดูหน่วยก้านคงเป็นนายกฯได้ยาก เพราะมีผลงานที่ล้มเหลว เมื่อครั้งเป็นรมว.พาณิชย์ และไม่เป็นที่ปลื้มของนายใหญ่ ซึ่งสังเกตว่า ช่วงก่อนการเลือกตั้ง นายมิ่งขวัญ ถูกวางตัวให้เป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ แต่หลังจากมีการปรับครม. นายมิ่งขวัญ ก็ถูกปรับให้เป็นส.ส.ธรรมดา
2. ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.สาธารณสุข ที่มีความรอบจัดทางการเมือง ไปพบนายใหญ่เป็นประจำ เห็นได้ว่าเป็นคนที่ทรงอิทธิพล เนื่องจากเคยถูกปรับอกจาก รมว.มหาดไทย แต่ยังสามารถเคลื่อนไหวให้กลับมานั่งเก้าอี้ รมว.สาธารณสุขได้ ถือว่าไม่ธรรมดา และมีสิทธิ์ที่จะเป็นนายกฯได้ หากเป็นความต้องการของนายใหญ่
3. นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมว.คมนาคม ซึ่งเชื่อว่าคงเป็นไปได้ยาก เพราะมีมลทินติดตัวเรื่องการปลอมวุฒิการศึกษา เมื่อไม่สามารถที่จะเคลียร์ตัวเองได้ ก็เหมือนกับคนมีแผล จึงไม่สง่างามที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี
4. พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 ซึ่งมีตำหนิติดตัวคือ ต้องคดี กรณีเป็นแกนนำนำกลุ่มนปก.บุกบ้าน พล.อ.เปรม ติณสูนานนท์ ประธานองคมนตรี และคนสุดท้ายที่น่าจับตา และจะกลายเป็นม้ามืดคือนายชัย ชิดชอบ ประธานสภาฯ ซึ่งเป็นประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ ได้เพราะบารมีของลูกชายคือ นายเนวิน ชิดชอบ ดังนั้นเพื่อเป็นเกียรติประวัติต่อตระกูลชิดชอบ จึงเป็นไปได้ที่นายเนวิน จะผลักดันให้นายชัย เป็นนายกรัฐมนตรี
"เมื่อนายสมชาย ยังขึ้นเป็นนายกฯได้ ไม่ว่าใครก็ขึ้นเป็นนายกฯได้ทั้งนั้น เพราะนายสมชายได้ทำลายมาตรฐานสูงสุดของคนที่เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี และแม้แต่นายเก่ง การุณ (โหสกุล) ก็เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีได้" นายเทพไทย กล่าว
**จี้สมชายรับผิดชอบเหตุรุนแรง
ด้านกลุ่ม ส.ส.หญิง พรรคประชาธิปัตย์ นำโดย นางรัชฏาภรณ์ แก้วสนิท และนาง ผุสดี ตามไท ส.ส.สัดส่วน แถลงถึงเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในที่ชุมุนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ โดยนางรัชฎาภรณ์ กล่าวว่า ในฐานะที่ตนเป็น ส.ส.หญิง เห็นความรุนแรงที่เกิดขึ้นในสังคมไทยตลอดในช่วงระยะนี้ รู้สึกไม่สบายใจ โดยเฉพาะความรุนแรงที่เกิดขึ้นโดยที่รัฐบาลไม่ออกมาพูดอะไร แต่กลับพูดว่าตัวเองไม่เกี่ยวข้องนั้น ตนเห็นว่าไม่ว่าจะเกี่ยวหรือไม่ก็ตาม ถือเป็นหน้าที่รัฐบาลที่ต้องออกมาดูแล และหากมีปัญหากับพันธมิตรฯ ซึ่งเป็นคู่ขัดแย้งก็ต้องทำโดยเปิดเผย เพราะขณะที่ฝ่ายรัฐบาลบอกว่าไม่ทำอะไรรุนแรง แต่กลุ่มพันธมิตรฯ กลับถูกกระทำทุกครั้ง โดยเฉพาะเมื่อคืนที่ 29 พ.ย.ที่ผ่านมา ที่เกิดเหตุยิงระเบิด M 79 เข้าไปในทำเนียบรัฐบาล จนมีผู้บาดเจ็บกว่า 50 คน และมีผู้บาดเจ็บสาหัสรวมอยู่ด้วย รัฐบาลต้องออกมารับผิดชอบ จะนิ่งเฉยเหมือนช่วงที่ผ่านมาไม่ได้ เพราะจะยิ่งเป็นการกระตุ้นให้ความรุนแรงเกิดความอึมครึม และถ้าฝ่ายที่ถูกกระทำคิดที่จะกระทำอะไรขึ้นบ้าง อย่างไรก็ต้องพุ่งไปที่รัฐบาล ถ้ารัฐบาลยังคอยหลบฉากอยู่อย่างนี้ อาจเกิดการปะทะ และสูญเสียระหว่างประชาชนได้
"ขอเรียกร้องรัฐบาลให้ออกมารับผิดชอบ หรือทำอะไรสักอย่าง อย่างน้อยที่สุด คนที่ใช้อาวุธสงครามยิงเข้าใส่ประชาชน ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามถือว่าผิดกฎหมาย และรัฐบาลเป็นผู้มีอำนาจรัฐต้องรับผิดชอบ และรีบดำเนินการโดยด่วน" นางรัชฏาภรณ์ กล่าว
นางผุสดี กล่าวว่า วันนี้รัฐบาลหมกตัวอยู่ที่ไหน ทำไมถึงไม่ลุกขึ้นมาทำอะไรเลย ทั้งที่ในเดือนพ.ย. เป็นเดือนที่ยุติความรุนแรง แต่ปรากฎว่าความรุนแรงเพิ่มขึ้นจนนึกไม่ออกว่าจะไปสิ้นสุดที่ไหน รัฐบาลถึงจะก้าวออกมารับผิดชอบ รัฐบาลอย่ามัวแต่ป้ายความผิดให้กับคนอื่น เพราะความสูญเสีย และความรุนแรงที่เกิดขึ้น รัฐบาลต้องรับผิดชอบไปเต็มๆ
---------------------
ทั้งนี้ พรรคประชาธิปัตย์อยากเห็น 1. เจ้าหน้าที่ตำรวจระมัดระวังท่าทีที่จะทำให้เหตุการณ์ลุกลาม โดยเฉพาะการที่ออกมาระบุว่า ได้ประเมินยกระดับสถานการณ์จากผู้ก่อการร้าย เป็นกองกำลังติดอาวุธซึ่ง อาจเป็นสัญญาณในการใช้ความรุนแรง จากกลุ่มนปช. ที่จะมีการชุมนุมกัน ที่อาจมีการเตรียมการใช้อาวุธ เช่นเดียวกัน
2 .ในส่วนของเหล่าทัพ โดยเฉพาะทหารบก อยากให้ร่วมรับผิดชอบ ภายใต้บทบาทของคณะกรรมการติดตามสถานการณ์ร่วมทหารและตำรวจ (คตร.) เพราะเหตุระเบิดที่ ทำเนียบฯ เมื่อคืนวันที่ 29พ.ย. เกิดขึ้นโดยที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่รับผิดชอบในพื้นที่นั้นไม่สามารถป้องกันเหตุไม่ให้เกิดขึ้นได้ และในทำเนียบฯ ก็มีการยิงระเบิดเข้ามาหลายครั้ง ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เหตุการณ์ลุกลาม
ดังนั้น พื้นที่ในส่วนพระนครที่รับผิดชอบโดยกองทัพบก เช่นเดียวกันกับที่ดอนเมือง ซึ่งรับผิดชอบโดย กองทัพอากาศ และ สนามบินสุวรรณภูมิ ที่รับผิดชอบโดยกองทัพเรือ ตนมองว่าจุดที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดความรุนแรงมากขึ้น คือทำเนียบรัฐบาล และศาลรัฐธรรมนูญ อยากให้ย้อนกลับไปมองการใช้รูปแบบ ป้องกันความรุนแรงในการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ช่วงเดือน ก.ย.ที่ผ่าน ซึ่งเป็นช่วงเดียวที่ทหารบกเข้าดูแล โดยไม่มีการบาดเจ็บหรือความรุนแรงเกิดขึ้น
3.ในส่วนของรัฐบาล ถึงวันนี้ยังไม่มีบุคคลที่อยู่ในฝ่ายการเมืองแม้แต่คนเดียวที่เข้าไปร่วมการเจรจากับกลุ่มผู้ชุมนุม มีเพียงเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติ ซึ่งไม่สามารถพูดถึงเงื่อนไขใหญ่ทางการเมือง ที่เป็นสาเหตุของวิกฤติได้ ซึ่งการเจรจา ถือเป็นวิถีทางเดียวที่ป้องกันไม่เหตุการณ์ลุกลามไปสู่การนองเลือดได้ และพล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รมว.มหาดไทย ยืนยันไม่ใช้ความรุนแรงหรือเริ่มต้นการสลายการชุมุนม ในขณะที่การเจรจายังไม่เริ่มต้น
ส่วนกลุ่ม นปช. ที่ได้ระบุออกมาชัดเจนว่าจะมีการปิดล้อมศาลรัฐธรรมนูญ ในวันที่ 2 ธ.ค.นี้ เพื่อไม่ให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำพิพากษาคดียุบพรรคได้ ขณะที่นักการเมืองในซีกรัฐาล นำผู้ชุมนุมเข้ามาร่วมใน กทม.เอง และระบุว่า พร้อมที่จะนำไปสู่ความรุนแรง และการนองเลือด ถือว่าเป็นจุดเสี่ยงอย่างยิ่ง อาจเกิดเหตุการณ์รุนแรงจนคนไทยฆ่ากันเอง เหมือนวันที่ 1-2 ก.ย.ที่ผ่านมา จึงขอเรียกร้องให้ทุกฝ่าย ยกเว้น ละเว้น การปลุกระดม ที่จะทำให้คนไทยเกิดความรู้สึกเกลียดชัง ถึงขนาดต้องใช้อาวุธเข้าประหัตประหารกัน
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวด้วยว่า ในส่วนผู้ชุมนุมของพันธมิตรฯ นั้นขอให้ใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ ไม่ให้เกิดความรุนแรง โดยขอให้ยึดแนวทางสันติอย่างเคร่งครัด และระมัดระวังกับผู้ชุมนุมที่เป็นเด็กและเยาวชน ให้ออกนอกพื้นที่การชุมนุมโดยด่วน เพราะขณะนี้สถานการณ์อยู่ในขั้นที่อาจะเกิดการปฏิบัติการสลายการชุมนุมได้ทุกเวลา ที่สำคัญที่สุดขอให้พันธมิตรฯ ไม่ปิดช่องการเจรจา หากทางรัฐบาลหรือนายกฯ ยินยอม และพร้อมที่จะเข้าสู่การเจรจา
"สัญญาณที่เกิดขึ้นขณะนี้ บ่งชี้ไปทางเดียวกันว่าวันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้โดดเข้ามาเล่นกับเหตุการณ์วิกฤติการเมืองอย่างเต็มตัวแล้ว การเตรียมการชุมนุมในวันนี้ ไม่ใช่ในลักษณะที่มีการรวมตัวกันที่ผ่านมา ที่เมืองทองธานี และที่วัดสวนแก้ว แต่เป็นการชุมนุมลักษณะเดียวกับเมื่อวันที่ 1 ก.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นชนวนเหตุนำไปสู่ความรุนแรงระหว่างคนไทยด้วยกัน หรือคำพูดแกนนำ นปช. ที่อ้างว่า ศาลรัฐธรรมนูญทำรัฐประหารเงียบ สิ่งเหล่านี้เป็นคำพูดที่ พ.ต.ท.ทักษิณ พูดมาตลอดต่อกระบวนการยุติธรรมของไทย ฉะนั้นวันนี้ดูเหมือนแนวทางการเคลื่อนไหวทางการเมืองของ พ.ต.ท.ทักษิณ มาสู่จุดที่ทำให้สังคมไปสู่ภาวะวิกฤติเพิ่มมากยิ่งขึ้น และอาจเกิดความรุนแรงตามมาได้ " นพ.บุรณัชย์กล่าว
** จวก"จตุพร"ทาสรับใช้"แม้ว"
นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช และผู้ช่วยเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ในวันที่ 2 ธ.ค.นี้ ศาลรัฐธรรมนูญ จะได้นัดหัวหน้าพรรคการเมืองเพื่อมาแถลงปิดคดีที่มีรายงานว่า จะมีการวินิจฉัยตัดสินคดีในวันนั้นเลย แต่สิ่งที่พรรคเป็นห่วงกรณีที่จะมีการชุมนุมของกลุ่มนปช. เพื่อที่จะไม่ให้ ศาลได้เข้าไปอ่านคำพิพากษาในศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าศาลจะวินิจฉัยออกมาอย่างไร พรรคจะไม่วิจารณ์เพราะถือเป็นดุลพินิจของศาล ที่ต้องยึดหลักเหตุผลและความเป็นอิสระปราศจากการแทรกแซงของกลุ่มหนึ่งกลุ่มใด พรรคจึงอยากให้ตุลาการศาลรธน.ได้ทำหน้าด้วยความอิสระ
แต่ขณะนี้มีการส่งสัญญาณจากกลุ่ม นปช. โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.ระบบสัดส่วน พรรคพลังประชาชน ที่ออกมาวิจารณ์การทำงานของศาลรัฐธรรมนูญ โดยระบุว่า คนที่มีจิตใจสกปรก ผลของการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญก็จะสกปรกตามไปด้วย ถือเป็นการดูหมิ่นเหยียดหยาม อยากให้เคารพการตัดสินใจของศาลรัฐธรรมนูญด้วย เมื่อไม่สามารถที่จะแทรก หรือทำให้ศาลเอนเอียงได้ ก็ออกมาตีโพยตีพายว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่ชอบ
"ผมอยากให้ไปสำรวจตัวเองว่า มีจิตใจสะอาดแค่ไหน เพราะศาลทำงานอย่างถูกต้องและให้ความเป็นธรรมให้เกิดกับคนในชาติ ขณะที่นายจตุพร ทำงานเพื่อระบอบทักษิณ แล้วจะไปกล่าวหาใส่ร้ายศาลได้อย่างไร" นายเพทไท กล่าว
นายเทพไทกล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ยังมีการเคลื่อนไหวของแกนนำพรรคพลังประชาชน ที่สอดรับกับแนวทางการเคลื่อนไหวของนปช. ที่นายวีระ มุสิกพงศ์ ผู้นำเดินรายการ ความจริงวันนี้ จะมีมวลชนไปเคลื่อนไหวที่ศาลรัฐธรรมนูญ ถือเป็นการปลุกกระแสเพื่อให้มีผลต่อการตัดสิน โดยมีการระบุว่า การเร่งรัดตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ สอดคล้องกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯ โดยมีการกล่าวหาว่า มีการล็อบบี้ หรือเตี๊ยมกันไว้ล่วงหน้า จึงอยากให้นายวีระ พูดให้ชัดว่า ใครเป็นคนไปล็อบบี้ และใครสามารถที่จะไปเตี๊ยมศาลรัฐธรรมนูญได้ ซึ่งการเคลื่อนไหวของนปช. และพรรคพลังประชาชน เป็นไปในทิศทางเดียวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่พยายามสร้างภาพ และใส่ร้ายกระบวนการยุติธรรมของไทยว่า เกี่ยวข้องกับการเมือง
นายเทพไท ยังกล่าวถึงการวิพากษ์วิจารณ์ ถึงรายชื่อบุคคล 4 คน ที่อาจจะได้เป็นนายกรัฐมนตรี คนต่อไป คือ
1.นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ เท่าที่ดูหน่วยก้านคงเป็นนายกฯได้ยาก เพราะมีผลงานที่ล้มเหลว เมื่อครั้งเป็นรมว.พาณิชย์ และไม่เป็นที่ปลื้มของนายใหญ่ ซึ่งสังเกตว่า ช่วงก่อนการเลือกตั้ง นายมิ่งขวัญ ถูกวางตัวให้เป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ แต่หลังจากมีการปรับครม. นายมิ่งขวัญ ก็ถูกปรับให้เป็นส.ส.ธรรมดา
2. ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.สาธารณสุข ที่มีความรอบจัดทางการเมือง ไปพบนายใหญ่เป็นประจำ เห็นได้ว่าเป็นคนที่ทรงอิทธิพล เนื่องจากเคยถูกปรับอกจาก รมว.มหาดไทย แต่ยังสามารถเคลื่อนไหวให้กลับมานั่งเก้าอี้ รมว.สาธารณสุขได้ ถือว่าไม่ธรรมดา และมีสิทธิ์ที่จะเป็นนายกฯได้ หากเป็นความต้องการของนายใหญ่
3. นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมว.คมนาคม ซึ่งเชื่อว่าคงเป็นไปได้ยาก เพราะมีมลทินติดตัวเรื่องการปลอมวุฒิการศึกษา เมื่อไม่สามารถที่จะเคลียร์ตัวเองได้ ก็เหมือนกับคนมีแผล จึงไม่สง่างามที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี
4. พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 ซึ่งมีตำหนิติดตัวคือ ต้องคดี กรณีเป็นแกนนำนำกลุ่มนปก.บุกบ้าน พล.อ.เปรม ติณสูนานนท์ ประธานองคมนตรี และคนสุดท้ายที่น่าจับตา และจะกลายเป็นม้ามืดคือนายชัย ชิดชอบ ประธานสภาฯ ซึ่งเป็นประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ ได้เพราะบารมีของลูกชายคือ นายเนวิน ชิดชอบ ดังนั้นเพื่อเป็นเกียรติประวัติต่อตระกูลชิดชอบ จึงเป็นไปได้ที่นายเนวิน จะผลักดันให้นายชัย เป็นนายกรัฐมนตรี
"เมื่อนายสมชาย ยังขึ้นเป็นนายกฯได้ ไม่ว่าใครก็ขึ้นเป็นนายกฯได้ทั้งนั้น เพราะนายสมชายได้ทำลายมาตรฐานสูงสุดของคนที่เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี และแม้แต่นายเก่ง การุณ (โหสกุล) ก็เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีได้" นายเทพไทย กล่าว
**จี้สมชายรับผิดชอบเหตุรุนแรง
ด้านกลุ่ม ส.ส.หญิง พรรคประชาธิปัตย์ นำโดย นางรัชฏาภรณ์ แก้วสนิท และนาง ผุสดี ตามไท ส.ส.สัดส่วน แถลงถึงเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในที่ชุมุนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ โดยนางรัชฎาภรณ์ กล่าวว่า ในฐานะที่ตนเป็น ส.ส.หญิง เห็นความรุนแรงที่เกิดขึ้นในสังคมไทยตลอดในช่วงระยะนี้ รู้สึกไม่สบายใจ โดยเฉพาะความรุนแรงที่เกิดขึ้นโดยที่รัฐบาลไม่ออกมาพูดอะไร แต่กลับพูดว่าตัวเองไม่เกี่ยวข้องนั้น ตนเห็นว่าไม่ว่าจะเกี่ยวหรือไม่ก็ตาม ถือเป็นหน้าที่รัฐบาลที่ต้องออกมาดูแล และหากมีปัญหากับพันธมิตรฯ ซึ่งเป็นคู่ขัดแย้งก็ต้องทำโดยเปิดเผย เพราะขณะที่ฝ่ายรัฐบาลบอกว่าไม่ทำอะไรรุนแรง แต่กลุ่มพันธมิตรฯ กลับถูกกระทำทุกครั้ง โดยเฉพาะเมื่อคืนที่ 29 พ.ย.ที่ผ่านมา ที่เกิดเหตุยิงระเบิด M 79 เข้าไปในทำเนียบรัฐบาล จนมีผู้บาดเจ็บกว่า 50 คน และมีผู้บาดเจ็บสาหัสรวมอยู่ด้วย รัฐบาลต้องออกมารับผิดชอบ จะนิ่งเฉยเหมือนช่วงที่ผ่านมาไม่ได้ เพราะจะยิ่งเป็นการกระตุ้นให้ความรุนแรงเกิดความอึมครึม และถ้าฝ่ายที่ถูกกระทำคิดที่จะกระทำอะไรขึ้นบ้าง อย่างไรก็ต้องพุ่งไปที่รัฐบาล ถ้ารัฐบาลยังคอยหลบฉากอยู่อย่างนี้ อาจเกิดการปะทะ และสูญเสียระหว่างประชาชนได้
"ขอเรียกร้องรัฐบาลให้ออกมารับผิดชอบ หรือทำอะไรสักอย่าง อย่างน้อยที่สุด คนที่ใช้อาวุธสงครามยิงเข้าใส่ประชาชน ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามถือว่าผิดกฎหมาย และรัฐบาลเป็นผู้มีอำนาจรัฐต้องรับผิดชอบ และรีบดำเนินการโดยด่วน" นางรัชฏาภรณ์ กล่าว
นางผุสดี กล่าวว่า วันนี้รัฐบาลหมกตัวอยู่ที่ไหน ทำไมถึงไม่ลุกขึ้นมาทำอะไรเลย ทั้งที่ในเดือนพ.ย. เป็นเดือนที่ยุติความรุนแรง แต่ปรากฎว่าความรุนแรงเพิ่มขึ้นจนนึกไม่ออกว่าจะไปสิ้นสุดที่ไหน รัฐบาลถึงจะก้าวออกมารับผิดชอบ รัฐบาลอย่ามัวแต่ป้ายความผิดให้กับคนอื่น เพราะความสูญเสีย และความรุนแรงที่เกิดขึ้น รัฐบาลต้องรับผิดชอบไปเต็มๆ
---------------------