สถานการณ์บ้านเมืองในเวลานี้นอกจากแยกกล่าวถึงการปักหลักชุมนุมของพี่น้องประชาชนในนามพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยแล้ว ถือว่ารัฐบาลภายใต้การนำของ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ได้หมดสภาพเกือบจะสิ้นเชิง แม้จะมีอำนาจแต่ไม่อาจบริหาร หรือไช้อำนาจสั่งการใดๆได้อีกต่อไปแล้ว
อีกทั้งยังไม่อาจปกครอง หรือควบคุมบริหารประเทศได้เต็มพื้นที่ ตัวนายกรัฐมนตรีไปไหนมาไหนต้องหลบๆซ่อนๆ ถือเป็นครั้งแรกที่ไม่เคยเกิดขึ้นแบบนี้มาก่อนเลย
นาทีนี้ถือว่าเข้าขั้นวิกฤต จ่อนองเลือดเข้าไปทุกขณะหลังจากมีการประกาศภาวะฉุกเฉินเพื่อใช้เป็นเกราะกำบังในการสลายการชุมนุมของพี่น้องประชาชนที่ขยายพื้นที่มาปักหลักชุมนุมในสนามบินดอนเมือง และสนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อเพิ่มแรงกดดันขั้นสูงสุดให้ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ลาออก
แต่ที่น่าสังเกตก็คือ การประกาศภาวะฉุกเฉินของรัฐบาลเที่ยวนี้ได้เผยให้เห็นความหวาดระแวงกองทัพอย่างชัดเจน เนื่องจากถูกกันออกไป “นอกวง” แล้วมอบหมายให้ฝ่ายตำรวจเป็นผู้ควบคุมสถานการณ์
อย่างไรก็ดีเมื่อโฟกัสให้ลึกลงไปอีกในระดับสั่งการกลับ “ข้ามหัว” พล.ต.อ.พัชรวาท วงศ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติอย่างไม่ใยดี แต่กลับมอบหมายให้ “คนกันเอง” ไม่ว่าจะเป็น พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เป็นควบคุมดูแลพื้นที่สนามบินดอนเมือง ขณะที่สนามบินสุวรรณภูมิมอบให้ พล.ต.ท.ฉลอง สนใจ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 รับผิดชอบ และมี พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รมว.มหาดไทยดูแลอีกชั้นหนึ่ง
**ว่ากันว่าเน้นเฉพาะ “สายตรง” ไว้ใจได้เท่านั้น
หากไล่เรียงความเป็นมาจะเริ่มเห็นรอยแยกชัดเจนระหว่างรัฐบาลกับกองทัพมีขึ้นหลังจากที่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะประธานคณะกรรมการติดตามสถานการณ์ร่วม (คตร.) เรียกประชุมผู้บัญชาการเหล่าทัพ หัวหน้าส่วนราชการ ผู้นำภาคเอกชนเมื่อกลางสัปดาห์ผ่านมา ยื่นข้อเสนอให้ สมชาย ยุบสภา และยืนยันท่าทีว่าจะไม่ใช้ความรุนแรงกับผู้ชุมนุม
**ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ ในข้อเสนอดังกล่าวยังแข็งกร้าวในทีว่า หากไม่ได้รับการตอบสนองจะแสดง “อารยะขัดขืน” ไม่สังฆกรรม ไม่ยอมรับคำสั่งของรัฐบาลอีกต่อไป
ซึ่งก็ได้ผลเมื่อมีเสียงตอบโต้เจี๊ยวจ๊าวจากรัฐบาลไล่ไปตั้งแต่หัวแถวยันท้ายแถวจากพรรคพลังประชาชน แม้กระทั่ง บรรหาร ศิลปอาชา ยังมาร่วมแจมอย่างแข็งขัน
น่าสนใจก็คือในครั้นี้ได้มีไฟเขียวเต็มที่ให้ ส.ส.ทุกระดับออกมาถล่มผู้บัญชาการทหารบกกันอย่างจมเขี้ยว และถึงขั้นเสนอให้ปลดพ้นจากตำแหน่งทันที
**นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ผู้บัญชาการทหารบกถูกย่ำยีศักดิ์ศรีจากนักการเมืองได้ถึงเพียงนี้
บรรยากาศนับว่าตึงเครียดจนถึงขีดสุด เมื่อสังเกตความเคลื่อนไหวภายในภายกองทัพกันอย่างคึกคัก มีการเรียกประชุมระดับผู้บังคับกองพันคุมกำลังสำคัญที่กองพลที่ 1 รักษาพระองค์ รวมทั้งมีข่าวถึงขั้นเติมน้ำมันรถถังเอาไว้พร้อม
ดีกรีความร้อนยังได้เพิ่มขึ้นอีกเมื่อ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก ออกมาแถลงยืนยันว่า พล.อ.อนุพงษ์ จะมีการเรียกประชุมคตร. กันอีกรอบในเร็ววันนี้ และยืนยันว่าข้อเสนอของคตร.ที่ผ่านมา ถือเป็นมติของที่ประชุม
**ขณะเดียวกันมองในมุมของ สมชาย บ้าง นาทีนี้ต้องย้ำว่า “หมดสภาพ” อย่างสิ้นเชิง มีอำนาจแต่แทบจะไม่มีพื้นที่ในการบริหารประเทศ เรียกได้ว่าทำตัวเป็นหัวหน้ารัฐบาล“พลัดถิ่น” ไปตั้งกองบัญชาการที่เชียงใหม่ ยึดเป็นชัยภูมิใช้อำนาจสั่งการ
ขณะที่บรรยากาศทั่วไปก็เกิดการปะทะกันระหว่างคนในชาติ
และถ้าพิจารณาทุกปัจจัยที่รุมเร้าเข้ามารอบด้าน ถือว่าสถานการณ์ดำเนินมาถึงจุดวิกฤต นับถอยหลัง แต่สำหรับรัฐบาลถือว่าบริหารประเทศต่อไปไม่ได้แล้ว
**ยิ่งหากมีการสลายการชุมนุมก็ส่อว่าจะบานปลายจนควบคุมไม่ได้ ความรุนแรงอาจขยายวงไปทั่วประเทศ
อีกทั้งยังไม่อาจปกครอง หรือควบคุมบริหารประเทศได้เต็มพื้นที่ ตัวนายกรัฐมนตรีไปไหนมาไหนต้องหลบๆซ่อนๆ ถือเป็นครั้งแรกที่ไม่เคยเกิดขึ้นแบบนี้มาก่อนเลย
นาทีนี้ถือว่าเข้าขั้นวิกฤต จ่อนองเลือดเข้าไปทุกขณะหลังจากมีการประกาศภาวะฉุกเฉินเพื่อใช้เป็นเกราะกำบังในการสลายการชุมนุมของพี่น้องประชาชนที่ขยายพื้นที่มาปักหลักชุมนุมในสนามบินดอนเมือง และสนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อเพิ่มแรงกดดันขั้นสูงสุดให้ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ลาออก
แต่ที่น่าสังเกตก็คือ การประกาศภาวะฉุกเฉินของรัฐบาลเที่ยวนี้ได้เผยให้เห็นความหวาดระแวงกองทัพอย่างชัดเจน เนื่องจากถูกกันออกไป “นอกวง” แล้วมอบหมายให้ฝ่ายตำรวจเป็นผู้ควบคุมสถานการณ์
อย่างไรก็ดีเมื่อโฟกัสให้ลึกลงไปอีกในระดับสั่งการกลับ “ข้ามหัว” พล.ต.อ.พัชรวาท วงศ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติอย่างไม่ใยดี แต่กลับมอบหมายให้ “คนกันเอง” ไม่ว่าจะเป็น พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เป็นควบคุมดูแลพื้นที่สนามบินดอนเมือง ขณะที่สนามบินสุวรรณภูมิมอบให้ พล.ต.ท.ฉลอง สนใจ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 รับผิดชอบ และมี พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รมว.มหาดไทยดูแลอีกชั้นหนึ่ง
**ว่ากันว่าเน้นเฉพาะ “สายตรง” ไว้ใจได้เท่านั้น
หากไล่เรียงความเป็นมาจะเริ่มเห็นรอยแยกชัดเจนระหว่างรัฐบาลกับกองทัพมีขึ้นหลังจากที่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะประธานคณะกรรมการติดตามสถานการณ์ร่วม (คตร.) เรียกประชุมผู้บัญชาการเหล่าทัพ หัวหน้าส่วนราชการ ผู้นำภาคเอกชนเมื่อกลางสัปดาห์ผ่านมา ยื่นข้อเสนอให้ สมชาย ยุบสภา และยืนยันท่าทีว่าจะไม่ใช้ความรุนแรงกับผู้ชุมนุม
**ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ ในข้อเสนอดังกล่าวยังแข็งกร้าวในทีว่า หากไม่ได้รับการตอบสนองจะแสดง “อารยะขัดขืน” ไม่สังฆกรรม ไม่ยอมรับคำสั่งของรัฐบาลอีกต่อไป
ซึ่งก็ได้ผลเมื่อมีเสียงตอบโต้เจี๊ยวจ๊าวจากรัฐบาลไล่ไปตั้งแต่หัวแถวยันท้ายแถวจากพรรคพลังประชาชน แม้กระทั่ง บรรหาร ศิลปอาชา ยังมาร่วมแจมอย่างแข็งขัน
น่าสนใจก็คือในครั้นี้ได้มีไฟเขียวเต็มที่ให้ ส.ส.ทุกระดับออกมาถล่มผู้บัญชาการทหารบกกันอย่างจมเขี้ยว และถึงขั้นเสนอให้ปลดพ้นจากตำแหน่งทันที
**นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ผู้บัญชาการทหารบกถูกย่ำยีศักดิ์ศรีจากนักการเมืองได้ถึงเพียงนี้
บรรยากาศนับว่าตึงเครียดจนถึงขีดสุด เมื่อสังเกตความเคลื่อนไหวภายในภายกองทัพกันอย่างคึกคัก มีการเรียกประชุมระดับผู้บังคับกองพันคุมกำลังสำคัญที่กองพลที่ 1 รักษาพระองค์ รวมทั้งมีข่าวถึงขั้นเติมน้ำมันรถถังเอาไว้พร้อม
ดีกรีความร้อนยังได้เพิ่มขึ้นอีกเมื่อ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก ออกมาแถลงยืนยันว่า พล.อ.อนุพงษ์ จะมีการเรียกประชุมคตร. กันอีกรอบในเร็ววันนี้ และยืนยันว่าข้อเสนอของคตร.ที่ผ่านมา ถือเป็นมติของที่ประชุม
**ขณะเดียวกันมองในมุมของ สมชาย บ้าง นาทีนี้ต้องย้ำว่า “หมดสภาพ” อย่างสิ้นเชิง มีอำนาจแต่แทบจะไม่มีพื้นที่ในการบริหารประเทศ เรียกได้ว่าทำตัวเป็นหัวหน้ารัฐบาล“พลัดถิ่น” ไปตั้งกองบัญชาการที่เชียงใหม่ ยึดเป็นชัยภูมิใช้อำนาจสั่งการ
ขณะที่บรรยากาศทั่วไปก็เกิดการปะทะกันระหว่างคนในชาติ
และถ้าพิจารณาทุกปัจจัยที่รุมเร้าเข้ามารอบด้าน ถือว่าสถานการณ์ดำเนินมาถึงจุดวิกฤต นับถอยหลัง แต่สำหรับรัฐบาลถือว่าบริหารประเทศต่อไปไม่ได้แล้ว
**ยิ่งหากมีการสลายการชุมนุมก็ส่อว่าจะบานปลายจนควบคุมไม่ได้ ความรุนแรงอาจขยายวงไปทั่วประเทศ