xs
xsm
sm
md
lg

วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ฤาว่า ‘ทุนนิยม’ จะถูกทำลาย (6)

เผยแพร่:   โดย: ยุค ศรีอาริยะ

ในกรณีของสหรัฐอเมริกา ชนชั้นนำอเมริกันจะชื่นชมระบบทุนนิยมปั่นกำไรมากๆ เพราะ สหรัฐอเมริกาคือผู้ให้กำเนิดทุนนิยมแบบนี้เอง นอกจากนี้ ทุนปั่นกำไร ยังเป็นอาวุธที่ทรงอานุภาพทางการเมืองอย่างยิ่ง

นักวิชาการยุโรป และละติน บางท่านเรียก ทุนนิยมปั่นกำไร นี้ว่า ‘ทุนนิยมคาวบอย ’

บรรดาคาวบอย จะมีวัฒนธรรรมดำเนินชีวิต 2 แบบ

แบบแรก คือ ชอบปล้นชิง ปราบปรามคนที่อ่อนแอกว่า อย่างเช่น การปล้นฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชนเผ่าอินเดียนแดงในอดีต และการปล้นโลกสมัยใหม่ อย่างเช่น การยึดครองอิรัก และอัฟกานิสถานในปัจจุบัน

อีกแบบชีวิตหนึ่ง คือ การเล่นการพนัน ทุนนิยมเก็งกำไรนี้นักวิชาการบางท่านจะเรียกว่า ‘ทุนนิยมการพนัน’ กล่าวเป็นรูปธรรมคือ เวลาเราเข้าไปในตลาดหุ้นก็ไม่ต่างจากเราเข้าไปในสนามม้า แล้วแทงม้า ถ้าแทงถูกก็ได้เงิน ถ้าแทงผิดก็หมดตัว

คนที่ชอบเล่นการพนัน ที่สุดแล้ว จะมีสภาพกลายเป็นผีพนัน และมีชีวิตอยู่กับความโลภ

ยิ่งได้ ยิ่งรวย ยิ่งโลภ ยิ่งหลงติด

ช่วงเวลาที่เสียเงิน ก็คือ ช่วงเวลาที่เลวร้ายสุดๆ ของบรรดาผีพนัน แต่บรรดาผีพนันจะพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เงินกลับมา ซึ่งผลกลับเป็นไปในทิศตรงข้าม

ยิ่งดิ้น ยิ่งเสีย ยิ่งหายนะ

บรรดานายทุนอเมริกันถือว่า เรื่องเสีย หรือ เรื่องหายนะ เป็นเรื่องของบรรดาแมงเม่าโง่ๆ เท่านั้น
ถ้าฉลาดพอ ก็ไม่มีทางเสีย หรือ แพ้พนัน

อีกสาเหตุที่ชนชั้นนำอเมริกันมองไม่เห็นอันตรายของทุนแบบนี้ เนื่องจากพวกเขาคิดว่าสามารถควบคุมการเคลื่อนตัวของทุนดังกล่าวได้ ที่สำคัญพวกเขาสามารถใช้ทุน (เก็งกำไร) เป็นเครื่องมือสำคัญในการยึดครองโลกนี้ได้ด้วย

ในยุคโลกาภิวัตน์ สหรัฐอเมริกาเป็นทั้งศูนย์กลางของทุนเก็งกำไร และเป็นศูนย์ของสื่อและวัฒนธรรมไร้พรมแดน

ทั้งเงินและสื่อ ได้กลับกลายเป็น ‘อาวุธ ใหม่’ ที่ทรงประสิทธิภาพยิ่ง อาจจะถือได้ว่า มีพลังไม่น้อยกว่าระเบิดปรมาณู เพราะมีอำนาจทำลายล้างเศรษฐกิจประเทศใดประเทศหนึ่งได้ด้วย

ถ้าเรามองย้อนประวัติศาสตร์ ในช่วงปี 1980 ถึง 90 ประเทศญี่ปุ่นได้ก้าวขึ้นมามีฐานะเป็นศูนย์ของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะในด้านการผลิต และสามารถขยายอำนาจขึ้นมาท้าทายความยิ่งใหญ่ของสหรัฐอเมริกา

ชนชั้นนำอเมริกันจึงเริ่มใช้สื่อโลกสร้างภาพเรื่อง Japan is Number 1 อย่างต่อเนื่อง เงินเก็งกำไรมหาศาลไหลเข้าประเทศญี่ปุ่นไปที่ตลาดหุ้นและตลาดอสังหาริมทรัพย์

ในที่สุด ฟองสบู่ก็แตกที่ประเทศญี่ปุ่น ปี 1990 ฐานะความเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจโลกของญี่ปุ่นก็ทรุดลง ในทางการเมืองทำให้ญี่ปุ่นจำต้องซุกตัวอยู่ภายใต้อำนาจทางการเมืองของจักรวรรดิอเมริกา

นี่หมายความว่า ทั้งสื่อไร้พรมแดนและทุนเก็งกำไรได้กลายเป็นอาวุธสำคัญ ที่มีประสิทธิภาพอย่างยิ่ง สามารถใช้โจมตีและปล้นความมั่งคั่งจากประเทศต่างๆ ได้

หลังจากปี 1990 ทุนปั่นกำไรได้เข้าโจมตีค่าเงินประเทศต่างๆ ทั่วโลก สร้างความมั่งคั่งแก่ทุนปั่นกำไร ในเวลาเดียวกัน เท่ากับเป็นการขยายอิทธิพลทางเศรษฐกิจของระบบทุนโลกซึ่งมีศูนย์ที่สหรัฐอเมริกา อเมริกาจึงเข้ามามีอิทธิพลครอบเหนือระบบเศรษฐกิจโลกทั้งระบบ

ก่อนวิกฤตเอเชีย ปี 1997 ความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจเริ่มก่อตัวขึ้นในย่านเอเชีย ส่วนหนึ่งมาจากการเติบโตของกลุ่มทุนชาวจีนและการขยายทุนของญี่ปุ่น

ชนชั้นนำอเมริกันเริ่มพบคู่แข่งทางอำนาจใหม่ ที่มีกลุ่มทุนชาวจีนและประเทศจีนเป็นศูนย์กลาง ชนชั้นนำอเมริกันจึงใช้สื่อไร้พรมแดนของอเมริกาเริ่มประโคมข่าวเรื่อง เสือเศรษฐกิจเอเชีย

เงินเก็งกำไรมหาศาลได้ไหลเข้าสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก่อเกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วและร้อนแรง ส่งผลให้ทั้งตลาดหุ้นและตลาดอสังหาริมทรัพย์เบ่งบาน ในที่สุดแล้วก็นำสู่หายนะครั้งใหญ่ นั่นคือ ปรากฏการณ์ที่เรียกว่า โรคต้มยำกุ้ง

หลังจากนั้น ทุนเก็งกำไร(ทั้งสหรัฐอเมริกา และสิงคโปร์) ก็ได้ประโยชน์มหาศาลจากโรคต้มยำกุ้งออกฤทธิ์ ด้วยการแห่เข้ามากว้านซื้อสินค้าราคาถูก และยึดครองเศรษฐกิจประเทศไทยและประเทศอื่นๆ ในย่านนี้

ผมเคยเขียนงานในช่วงวิกฤตครั้งนั้น ชี้ว่า วิกฤตนี้ ไม่ใช่วิกฤตทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่มีเรื่องการเมืองซ่อนตัวอยู่ด้วย เพราะเป้าหมายที่แท้จริงของการโจมตีค่าเงิน ไม่ใช่ที่ประเทศไทย แต่อยู่ที่การพยายามสกัดกั้นการขยายตัวของกลุ่มทุนจีน และประเทศจีน

หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งคือ ชนชั้นนำสหรัฐอเมริกากำลังกลัวว่าเศรษฐกิจจีนจะทะยานขึ้นไปเรื่อยๆ แบบฉุดไม่อยู่ จึงคิดที่จะใช้สงครามทางการเงิน(ปี 40) สั่นคลอนเศรษฐกิจเอเชียทั้งระบบ

โชคยังดี ประเทศจีนกลับรับสถานการณ์ได้ดีเกินคาด แม้ว่าหลังจากวิกฤตต้มยำกุ้ง โซรอส และทุนปั่นกำไรจะเข้าไปโจมตีค่าเงินจีนในตลาดฮ่องกงหลายครั้ง แต่ก็ล้มเหลว

พอถึงประมาณปี 2004 ถึง 2005 ชนชั้นนำอเมริกันได้พยายามสกัดพัฒนาการของจีนอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากช่วงหลังปี 2000 เป็นต้นมา เศรษฐกิจจีนขยายตัวกว่า 10 เปอร์เซ็นต์เกือบทุกปี ถือว่าเป็นช่วงการขยายตัวของเศรษฐกิจจีนที่ร้อนแรงมากๆ จนในที่สุด ประเทศจีนพัฒนากลายเป็นศูนย์กลางการผลิตสินค้าของโลก

ข่าวตะวันตกก็ช่วยกันสร้างภาพว่า ศตวรรษหน้าและต่อไป จะเป็นศตวรรษของจีน และอาเซียน เพื่อช่วยเพิ่มความร้อนแรงให้แก่เศรษฐกิจจีน

ในเวลาเดียวกัน ชนชั้นนำสหรัฐอเมริกา ก็ช่วยเติมความร้อนแรงของเศรษฐกิจอาเซียน ด้วยการปั่นราคาน้ำมันโลกให้ขยายตัวอย่างรุนแรง หวังว่าจะทำให้เศรษฐกิจในย่านอาเซียน และจีนร้อนแรงอย่างสุดๆ และเกิดการทรุดใหญ่

ปรากฏว่า “ได้ผลอย่างยิ่ง”

ประเทศในย่านเอเชีย หลายประเทศ ไม่ว่า อินเดีย เวียดนาม อินโดฯ เกาหลี และแม้แต่ไทยเอง ก็ต้องเผชิญปัญหาเงินเฟ้อและฝืด บางประเทศ อย่างเช่น เวียดนาม เงินเฟ้อพุ่งสูงถึงตัวเลข 2 หลัก

จีนเองพยายามค้ำยันไม่ให้ปัญหาทั้งเงินฝืดและเงินเฟ้อขยายตัว โดยพยายามอุ้มราคาน้ำมันไว้ให้อยู่ และเกือบจะเอาไม่อยู่เช่นกัน แต่เหตุการณ์กลับพลิกผันเกินคาด ปรากฏว่า ปัญหาทั้งเงินเฟ้อและฝืดได้ระบาดเข้าสู่สหรัฐอเมริกาและยุโรป

ผมหยุดเว้นระยะ และกล่าวว่า

“นี่แหละ ที่พระท่านสอนว่า ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว”

ชนชั้นนำอเมริกันประมาท และคาดการณ์เรื่องอันตรายของฟองสบู่ที่แพร่อยู่ในสหรัฐอเมริกาและยุโรปต่ำกว่าที่เป็นจริง

สาเหตุที่ประมาทมาก เนื่องจากชนชั้นนำอเมริกันเชื่อในมายาคติว่า “สามารถควบคุม และจัดการได้”

จนมีการพูดกันติดปากว่า “เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาสได้”

อีกสาเหตุหนึ่งที่นำสู่ความประมาทอย่างยิ่ง ก็เนื่องจากว่าประเทศสหรัฐอเมริกาเองเคยเจอวิกฤตฟองสบู่มาแล้ว และสามารถจัดการได้ง่ายๆ เมื่อ ปลายปี 2000 (ซึ่งผมได้เล่าไว้แล้วในตอนต้นของบทความนี้)

ความสำเร็จในช่วงปี 2000 มีส่วนผลักให้เกิดทุนฟองสบู่เติบใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว และทำให้เศรษฐกิจอเมริกาทั้งระบบกลายเป็นระบบเศรษฐกิจที่มีชีวิตอยู่กับฟองสบู่

เมื่อฟองสบู่ขยายใหญ่ขึ้น ชีวิตของคนอเมริกันก็ถูกลากเข้าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตฟองสบู่โดยถ้วนหน้า แม้แต่เงินออมที่เรียกว่า ‘เงินบำนาญ’ ที่คนอเมริกันถือเป็นเงินที่เก็บไว้ใช้ในยามแก่ ก็กลายเป็นเงินฟองสบู่

ผมขอเล่าแบบนิยายเพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น

มีประเทศ ประเทศหนึ่งชื่อว่า มิสเตอร์อเมริกา ได้เลี้ยงยักษ์ไว้ตนหนึ่ง ยักษ์ตัวนี้เลี้ยงไว้เพื่อใช้ปราบปรามและทำลายล้างประเทศอื่นๆ แต่มีปัญหาอยู่อย่างหนึ่งคือ ยักษ์ตนนี้ กินเก่งมากๆ

ยิ่งกิน ยิ่งใหญ่

ยิ่งพอง ยิ่งมีอำนาจการกินมากขึ้นเรื่อยๆ

ผมจะเรียกการกินแบบนี้ว่า Turbo-Accumulation หรือ กินแบบติดจรวด

วันหนึ่ง เมื่อยักษ์ตนนี้เติบใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ไม่รู้จะกินอะไรต่อไป ก็หันไปกินประเทศที่ให้กำเนิดและเลี้ยงดูตัวเองมา

ทุนฟองสบู่ ไม่ต่างจากยักษ์ตนนี้ หรือต้นกาฝาก ที่จะเติบใหญ่ และใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อใหญ่มากๆ เข้า ก็จะเกินความสามารถในการควบคุม แล้วมันจะหันกลับมาทำลายผู้เลี้ยงดู หรือต้นไม้จริง หรือนั่นก็คือ การผลิตจริง ให้พังพินาศไปในที่สุด (ยังมีต่อ)
กำลังโหลดความคิดเห็น