ในขณะที่ คนไทยอยากเห็นเรื่องวุ่นวายใจชาติให้ยุติ แต่ปัญหาคือ “คนโกง” ไม่ยอมให้ยุติ จัดตั้งรัฐบาลโนมินี การใช้อำนาจบิดเบือนกระบวนการยุติธรรม คนก็ต้องโทษ พรรคก็ทำผิด แล้วตั้งใจแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งทำให้ยอมรับได้ยากเพราะกติกาไม่ผิด แต่โกงแล้ว กลับจะแก้กติกา ก็ไม่สมควร
รัฐบาลโนมินีมีพฤติกรรมโยกย้ายดีเอสไอ กลับคำการกล่าวโทษ นช. (นักโทษชาย) ทักษิณ และภรรยา ปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้น SC (ตามบทความ ‘ศึกเปิดโปงความจริง “ทักษิณ” : ความชอบธรรมไทยอาจพ่ายยับ ด้วยแม่ทัพคนกันเอง’) และล่าสุด สำนักงาน อสส. สั่งไม่ฟ้องคดีปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้น ทั้งๆ ที่โฆษกแถลงเองว่า ทักษิณ-พจมานเป็นเจ้าของ SC โดยลงทุนผ่านกองทุน เป็นการเปิดโปงการปกปิดความจริง และแสดงข้อความอันเป็นเท็จ ผิด พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ 2535 มาตรา 278 สะท้อนความพยายามใช้อำนาจรัฐทำเรื่องผิดให้เป็นเรื่องถูก
เมื่อศาลเรียกสอบกรณีคดีที่ดินรัชดาฯ ก็หนีศาลไปต่างประเทศ เมื่อถูกพิพากษาให้ติดคุก 2 ปี กลับส่งจดหมายไปทั่วโลก ด่าแผ่นดินแม่ของตัวเอง โดยปกปิดข้อมูลว่า มีพิรุธมากมาย เช่น การที่รอบแรกมีผู้วางมัดจำเตรียมประมูลแล้ว 3 รายกลับไม่ได้ประมูล ทำให้มีการประมูลรอบ 2 โดยมีการเลิกราคากลาง การเพิ่มค่ามัดจำจาก 10 ล้านบาท เป็น 100 ล้านบาท และยกเลิกเงื่อนไขควบคุมความสูงอาคารหลังภรรยาซื้อได้แล้ว
แล้วยังจัดงานปลุกระดม โฟนอินเข้ามาพูดความข้างเดียว กล่าวหาว่า เป็น “กระบวนการยุติความเป็นธรรม” ทั้งๆที่ไม่ได้ให้เหตุผลใดๆ เช่นกัน พออังกฤษยกเลิกวีซ่า ก็กลับจะสร้างความวุ่นวายเพิ่มอีก จะจัดโฟนอินครั้งใหญ่ อ้างว่าจะล้มการปฏิวัติรัฐประหารทั้งๆที่ไม่อยู่ในอำนาจแล้ว ก็เป็นเพียงเพื่อจะทำลายหลักฐานซึ่งรวบรวมโดย คตส. ซึ่งเป็นครั้งแรกที่สามารถทำให้หลุดจากอำนาจมืดแล้วรวบรวมหลักฐานได้โปร่งใสที่สุด
เพื่อความเป็นธรรม ไทยทนได้ศึกษาข้อมูลซึ่ง คตส. ได้ตรวจพบหลักฐานถึงพฤติกรรมการปกปิดทรัพย์สิน โดย “ซุกหุ้น” SHIN ต่อไป ซึ่งหากท่านตอบคำถามที่เป็นหลักฐานผูกมัดท่านได้ ทุกฝ่ายก็จะดีใจมาก แต่หากตอบไม่ได้แสดงว่าท่านโกงจริงๆ ก็ควรจะรับโทษอย่างสง่างาม หลักฐานต่างๆมีดังนี้
1.มีการเอื้อประโยชน์กิจการให้กับหุ้นชินฯมากมาย เช่น การลดค่าส่วนแบ่งมือถือระบบพรีเพด จาก 25-30% เป็น 20% ตลอดอายุสัมปทานที่เหลือ ประมาณ 15 ปี ทำให้ภาครัฐเสียประโยชน์ประมาณ 8 หมื่นล้านบาท และทำให้กิจการกลุ่มชินฯต้องได้เปรียบการแข่งขันเสมอ
การให้ ทศท. รับภาระภาษีสรรพสามิตฝ่ายเดียว ทั้งๆ ที่เป็นผู้รับส่วนแบ่งรายได้ส่วนน้อยอยู่แล้ว และอาจจะเป็นผลให้จากเดิม เป็นสัมปทานประเภท Build-Transfer-Operate 30 ปี แล้วสินทรัพย์จะกลับเป็นของ ทศท. ขณะนี้ก็อาจเตรียมยึดไว้เองแล้วอีกด้วย! การให้ธนาคาร EXIM ปล่อยกู้พม่าเพื่อกิจการดาวเทียม การเอื้อสายการบินโลว์คอสท์ ฯลฯ เป็นการเอื้อประโยชน์กิจการของตน รวมๆทำให้ภาครัฐเสียหายอย่างน้อยกว่า 1 แสนล้านบาท
ด้วยความเชื่อว่า ไม่มีใครเอาผิดได้ ด้วยเอาหุ้นไปเก็บไว้ที่ แอมเพิลริช (ARI : ซึ่งอ้างว่าโอนให้ลูกไปแล้วตั้งแต่ 1 ธันวาคม 2543) วินมาร์ค (WM) พานทองแท้ พิณทองทา บรรณพจน์ และยิ่งลักษณ์ เป็นพฤติกรรมการเลี่ยงรัฐธรรมนูญและกฎหมายป้องกันการทุจริต ป.ป.ช. ที่ห้ามรัฐมนตรีมีหุ้น โดยเฉพาะกิจการสัมปทาน เพราะจะทำให้เกิดความขัดกันของประโยชน์รัฐกับส่วนตัวได้ (คล้ายกรณีที่ดินรัชดาฯ)
2.แอมเพิลริช ยังคงเป็นของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ขณะเป็นนายกรัฐมนตรี จนถึงปี 2548 คตส. แสดงหลักฐานตามหนังสือรับรองบริษัท ซึ่งได้รับมาจากครอบครัวชินวัตร ซึ่งมีเงื่อนไขว่า “Any withdrawal is to be authorized by Dr. T. SHINAWATRA solely.” แสดงว่า พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ยังเป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงนามแต่เพียงผู้เดียวในช่วงเวลาดังกล่าวก่อนปี 2548 จึงได้มีชื่อบุตรทั้งสองปรากฏเป็นผู้มีอำนาจลงนาม ไม่ตรงกับที่ได้อ้างว่าโอนหุ้น ARI ให้นาย พานทองแท้ ชินวัตร ในวันที่ 1 ธันวาคม 2543 โดยมีพิรุธที่สอดคล้องกัน ก็คือ พานทองแท้ได้ทำรายงานหุ้นเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2545 ก็ทำในลักษณะที่ไม่มีหุ้น ARI ทำให้ต้องแก้หลักฐานย้อนหลัง (Back Date) ในปี 2549 ต่อมา
3.วินมาร์ค (WM) ใช้ซุกหุ้น SHIN ด้วย ไม่ใช่ใช้ซุกเฉพาะหุ้นกลุ่ม SC ซึ่งกรณี วินมาร์ค ซุกหุ้นกลุ่ม SC นั้น ดีเอสไอ และ กลต. พบหลักฐานแล้ว จึงกล่าวโทษว่าเป็นโนมินีถือหุ้นแทน พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร และ ล่าสุดสำนักงาน อสส. แม้จะช่วยอธิบายความเห็นสั่งไม่ฟ้อง กรณีการปกปิดหุ้น “ด้วยเห็นว่าเป็นหน้าที่ของผู้จัดการกองทุน ไม่ใช่เจ้าของ” ซึ่งยืนยันว่า นช. เป็นเจ้าของกองทุนเหล่านี้ในการถือหุ้น SC จริง !! แต่หลักฐานเพิ่มเติมที่ คตส. พบ คือ วินมาร์ค ถือหุ้น SHIN ด้วย !!
3.1) ในวันที่ 24 สิงหาคม 2544 UBS ทำรายงาน 246-2 ต่อสำนักงาน กลต. โดยนับหุ้น SHIN จำนวน 10,000,000 หุ้น ของ ARI รวมกับหุ้นอีกจำนวนอีก 5,405,913 หุ้น ทั้งนี้ มีหลักฐานว่าเป็นหุ้นของวินมาร์ค (โนมินีของ พ.ต.ท. ทักษิณ ตามข้อกล่าวโทษของดีเอสไอ) รวมเป็น15,405,913 หุ้น (พาร์ 10 บาท) คิดเป็นร้อยละ 5.24 ซึ่งหนังสือของ UBS AG Singapore ลงวันที่ 21 ก.พ. 2549 ก็เป็นหลักฐานยืนยันการนับหุ้น 10 ล้านหุ้นของ ARI และอีกกว่า 5 ล้านหุ้นของ WM เป็นของเจ้าของเดียวกันอันเป็นผลให้ต้องปฏิบัติตามกฏหมาย ซึ่งก็น่าจะเป็นของ นช. ทั้ง 2 ส่วน เพราะไม่เคยกล่าวถึงการโอนหุ้นวินมาร์คให้นายพานทองแท้เลย
3.2) พบบัญชีวินมาร์ค มี รหัสบัญชี 121751 ที่ ธ. ยูบีเอส สิงคโปร์ ถือหุ้น SHIN ด้วย สอดคล้องกับข้อมูลตามทะเบียนหุ้นจากฐานข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์ในชื่อบัญชี UBS AG Singapore Branch - Pledge A/C – 121751 ในช่วง 2544 ถึง 2546 ซึ่งถือหุ้นประมาณ 53 ล้านหุ้น (พาร์ 1 บาท) ที่ถูกนับรวมว่าเป็นเจ้าของเดียวกับหุ้นของ ARI ดังกล่าว
3.3) UBS ส่งหุ้นไปเข้าบัญชี UOB Nominee Private Limited เพื่อบัญชี Win Mark จำนวน 18,048,870 หุ้น ในวันที่ 19 กันยายน 2545 โดยตัดหุ้นจากบัญชีที่ถือหุ้น ARI และต่อมา UBS ตัดหุ้นจากบัญชี Pledge A/C – 121751 (Win Mark) จำนวน 17,000,000 หุ้น มาชดเชยบัญชี ARI ในวันที่ 4 ตุลาคม 2545 ทำให้หุ้นในบัญชี Pledge A/C – 121751 ดังกล่าว ลดลงจาก 53,642,130 หุ้น เหลือ 36,642,130 หุ้น (ข้อมูลจำนวนหุ้นเหล่านี้ ตรวจสอบยอดถือหุ้นตามข้อมูลตลาดหลักทรัพย์แล้วตรงกัน) เป็นหลักฐานยืนยันว่า ARI และ WM เป็นของเจ้าของเดียวกัน จึงตัดหุ้นกว่า 18 ล้านหุ้นจากบัญชี ARI ส่งไปเข้าบัญชี WM ที่ UOB และตัดหุ้นจากบัญชี WM มาคืนเพียง 17 ล้านหุ้นก็ทำได้ ทั้งนี้รายการเหล่านี้เป็นรายการที่ไม่มีการชำระเงินแต่อย่างใด
4.การโอนให้ลูก และคนใกล้ชิดไม่น่าเชื่อถือ
4.1) นาย พานทองแท้ โอนหุ้นมูลค่า 733.95 ล้าน จากพ่อแม่ โดยทำตั๋วสัญญาใช้เงิน ในวันที่ 1 กันยายน 2543 ต้องทำตั๋วสัญญาใช้เงินเพิ่มพิเศษอีก 4,500 ล้านบาท ลงวันที่ 31 สิงหาคม 2543 เพียง 1 วัน ก่อนวันโอนหุ้น ซึ่งไม่เคยบอกได้ว่าเป็นภาระหนี้ค่าอะไร ? มีที่มาอย่างไร ? ซึ่งภาระหนี้ดังกล่าว เป็นช่องทางในการจ่ายคืนเงินปันผลกลับมาให้คุณหญิง พจมาน
4.2) การที่นายพานทองแท้ ชินวัตร โอนหุ้น SHIN ให้ น.ส. พินทองทา ชินวัตร ในวันที่ 9 กันยายน 2545 และวันที่ 4 มิ.ย. 2546 ที่ราคาพาร์ ทำให้ไม่น่าเชื่อว่าเป็นการรับโอนของ นาย พานทองแท้ ชินวัตร และโอนหุ้นต่อเป็นความจริง เพราะภาระที่นายพานทองแท้ต้องรับบนหุ้น 733.95 ล้านหุ้นนั้น มีรวมถึงกว่า 5 พันล้านบาท แต่กลับยินดีโอนหุ้นให้ น.ส. พินทองทา เกินกว่าครึ่งคือ จำนวนรวม 440 ล้านหุ้น ที่ราคาพาร์ ทำให้ตนเหลือหุ้นเพียง 293.95 ล้านหุ้น น้อยกว่าน้องเสียอีก และตนยังต้องแบกภาระชำระหนี้คุณหญิง พจมาน ชินวัตรเพียงคนเดียว เป็นเงินกว่า 5 พันล้านบาทต่อไป จึงไม่น่าเชื่อว่าเป็นการตัดสินใจโอนหุ้นด้วยตนเองในฐานะเจ้าของที่เป็นอิสระอย่างแท้จริง
4.3) น.ส. พินทองทา ชินวัตร โอนเงินจำนวน 485 ล้านบาท ในวันที่ 27 สิงหาคม 2547 เพื่อซื้อหุ้น 5 บริษัท จากวินมาร์คซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นแทน (โนมินี) ของ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร โดยกำหนดที่ราคาพาร์ทุกบริษัท ทั้งที่มูลค่าหุ้นและความสามารถในการทำกำไรแต่ละบริษัทก็ต่างกันไป อันทำให้เชื่อได้ว่าเป็นการโอนกันระหว่างโนมินีด้วยกันเท่านั้น
4.4) นาย บรรพจน์ ดามาพงศ์ ได้หุ้นมาโดยไม่มีหลักฐานการชำระเงินด้วยเงินของตนเองเลย โดยมีตัวอย่างหนี้จำนวน 102,135,225 บาท เพื่อชำระค่าหุ้นเพิ่มทุนหุ้น SHIN เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2542 เป็นเงินที่คุณหญิง พจมาน เป็นผู้ออกเงินชำระทุกบาททุกสตางค์ ซึ่งแม้นายบรรณพจน์มีเงินเข้าบัญชีหลายสิบล้านบาท ก็มิได้คืนเงินเลย แม้เศษๆ 135,225 บาทก็ไม่ได้คืนนานถึง 3-4 ปีด้วยเงินของตนเอง รอจนรับปันผลหุ้น SHIN จึงนำมาชำระคืน !! และหลังจากนั้น มีการโอนเงินปันผลคงเหลือของงวดวันที่ 21 พฤษภาคม 2547 งวดวันที่ 10 กันยายน 2547 และงวดวันที่ 12 เมษายน 2548 ต่างวาระกัน ต่างบัญชีกัน แต่โอนเงินไปรวมเปิดบัญชีใหม่ในวันที่ 26 เมษายน 2548 ซึ่งรวบรวมเฉพาะรายการที่เกี่ยวข้องกับหุ้น SHIN โดย “แยก” จากรายการรับจ่ายปรกติส่วนตัวซึ่งยังเดินในบัญชีเดิมต่อไป
4.5) น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ค้างหนี้ค่าหุ้นเป็นตั๋วสัญญาใช้เงิน ต่อ พ.ต.ท. ทักษิณไว้ เป็นมูลค่า 20,000,000 บาท โดยมีพฤติกรรมเช่นเดียวกับ นาย บรรณพจน์ ดามาพงศ์ คือ แม้จะมีเงินเข้าบัญชีอย่างน้อยหลายสิบล้านบาท แต่ก็มิได้เคยคืนเงินแต่อย่างใดเป็นเวลาประมาณ 3 ปี แล้วจึง ชำระคืนหนี้ค่าหุ้นดังกล่าว จากปันผลที่ได้รับ 2 ครั้งแรก และปันผลอีก 4 งวด ถอนเป็นเงินสดประมาณ 40 ครั้งๆละ 1-2 ล้านบาท โดยเจ้าหน้าที่ของ คุณหญิง พจมาน ชินวัตร
คำถามเหล่านี้รอคำตอบ เช่นคำถามง่ายที่สุดคือ ตั๋วสัญญาใช้เงิน 4,500 ล้านบาท ที่นายพานทองแท้ทำให้แม่ 1 วันก่อนโอนหุ้น มีจริงหรือไม่? ถ้ามีเป็นค่าอะไร ? ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญสะท้อนการถือหุ้นแทน แล้วโอนประโยชน์กลับให้พ่อแม่แทบทั้งหมด สอดคล้องกับเมื่อขายหุ้นแล้ว โอนไปซื้อหุ้นสโมสรฟุตบอล ซึ่ง นช. ทักษิณ ก็กล่าวว่าตนเป็นผู้ซื้อ
น่าหนักใจ ที่คนไทยได้รับพระคุณแผ่นดินมากมาย มากกว่าที่คนไทยในประเทศเคยได้รับ แต่ยอมเสียสละชาติสิ้น เพื่อตัวเอง ทำให้ขัดแย้ง ทำให้แตกแยก ทำให้ไม่รับรู้ความจริง ทำให้ยอมรับการโกง ทำให้เป็นประชาธิปไตยแบบเผด็จการโดยคุมสื่อด้านเดียว
แล้วคนไทยก็ต้องอดทนต่อไป
รัฐบาลโนมินีมีพฤติกรรมโยกย้ายดีเอสไอ กลับคำการกล่าวโทษ นช. (นักโทษชาย) ทักษิณ และภรรยา ปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้น SC (ตามบทความ ‘ศึกเปิดโปงความจริง “ทักษิณ” : ความชอบธรรมไทยอาจพ่ายยับ ด้วยแม่ทัพคนกันเอง’) และล่าสุด สำนักงาน อสส. สั่งไม่ฟ้องคดีปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้น ทั้งๆ ที่โฆษกแถลงเองว่า ทักษิณ-พจมานเป็นเจ้าของ SC โดยลงทุนผ่านกองทุน เป็นการเปิดโปงการปกปิดความจริง และแสดงข้อความอันเป็นเท็จ ผิด พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ 2535 มาตรา 278 สะท้อนความพยายามใช้อำนาจรัฐทำเรื่องผิดให้เป็นเรื่องถูก
เมื่อศาลเรียกสอบกรณีคดีที่ดินรัชดาฯ ก็หนีศาลไปต่างประเทศ เมื่อถูกพิพากษาให้ติดคุก 2 ปี กลับส่งจดหมายไปทั่วโลก ด่าแผ่นดินแม่ของตัวเอง โดยปกปิดข้อมูลว่า มีพิรุธมากมาย เช่น การที่รอบแรกมีผู้วางมัดจำเตรียมประมูลแล้ว 3 รายกลับไม่ได้ประมูล ทำให้มีการประมูลรอบ 2 โดยมีการเลิกราคากลาง การเพิ่มค่ามัดจำจาก 10 ล้านบาท เป็น 100 ล้านบาท และยกเลิกเงื่อนไขควบคุมความสูงอาคารหลังภรรยาซื้อได้แล้ว
แล้วยังจัดงานปลุกระดม โฟนอินเข้ามาพูดความข้างเดียว กล่าวหาว่า เป็น “กระบวนการยุติความเป็นธรรม” ทั้งๆที่ไม่ได้ให้เหตุผลใดๆ เช่นกัน พออังกฤษยกเลิกวีซ่า ก็กลับจะสร้างความวุ่นวายเพิ่มอีก จะจัดโฟนอินครั้งใหญ่ อ้างว่าจะล้มการปฏิวัติรัฐประหารทั้งๆที่ไม่อยู่ในอำนาจแล้ว ก็เป็นเพียงเพื่อจะทำลายหลักฐานซึ่งรวบรวมโดย คตส. ซึ่งเป็นครั้งแรกที่สามารถทำให้หลุดจากอำนาจมืดแล้วรวบรวมหลักฐานได้โปร่งใสที่สุด
เพื่อความเป็นธรรม ไทยทนได้ศึกษาข้อมูลซึ่ง คตส. ได้ตรวจพบหลักฐานถึงพฤติกรรมการปกปิดทรัพย์สิน โดย “ซุกหุ้น” SHIN ต่อไป ซึ่งหากท่านตอบคำถามที่เป็นหลักฐานผูกมัดท่านได้ ทุกฝ่ายก็จะดีใจมาก แต่หากตอบไม่ได้แสดงว่าท่านโกงจริงๆ ก็ควรจะรับโทษอย่างสง่างาม หลักฐานต่างๆมีดังนี้
1.มีการเอื้อประโยชน์กิจการให้กับหุ้นชินฯมากมาย เช่น การลดค่าส่วนแบ่งมือถือระบบพรีเพด จาก 25-30% เป็น 20% ตลอดอายุสัมปทานที่เหลือ ประมาณ 15 ปี ทำให้ภาครัฐเสียประโยชน์ประมาณ 8 หมื่นล้านบาท และทำให้กิจการกลุ่มชินฯต้องได้เปรียบการแข่งขันเสมอ
การให้ ทศท. รับภาระภาษีสรรพสามิตฝ่ายเดียว ทั้งๆ ที่เป็นผู้รับส่วนแบ่งรายได้ส่วนน้อยอยู่แล้ว และอาจจะเป็นผลให้จากเดิม เป็นสัมปทานประเภท Build-Transfer-Operate 30 ปี แล้วสินทรัพย์จะกลับเป็นของ ทศท. ขณะนี้ก็อาจเตรียมยึดไว้เองแล้วอีกด้วย! การให้ธนาคาร EXIM ปล่อยกู้พม่าเพื่อกิจการดาวเทียม การเอื้อสายการบินโลว์คอสท์ ฯลฯ เป็นการเอื้อประโยชน์กิจการของตน รวมๆทำให้ภาครัฐเสียหายอย่างน้อยกว่า 1 แสนล้านบาท
ด้วยความเชื่อว่า ไม่มีใครเอาผิดได้ ด้วยเอาหุ้นไปเก็บไว้ที่ แอมเพิลริช (ARI : ซึ่งอ้างว่าโอนให้ลูกไปแล้วตั้งแต่ 1 ธันวาคม 2543) วินมาร์ค (WM) พานทองแท้ พิณทองทา บรรณพจน์ และยิ่งลักษณ์ เป็นพฤติกรรมการเลี่ยงรัฐธรรมนูญและกฎหมายป้องกันการทุจริต ป.ป.ช. ที่ห้ามรัฐมนตรีมีหุ้น โดยเฉพาะกิจการสัมปทาน เพราะจะทำให้เกิดความขัดกันของประโยชน์รัฐกับส่วนตัวได้ (คล้ายกรณีที่ดินรัชดาฯ)
2.แอมเพิลริช ยังคงเป็นของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ขณะเป็นนายกรัฐมนตรี จนถึงปี 2548 คตส. แสดงหลักฐานตามหนังสือรับรองบริษัท ซึ่งได้รับมาจากครอบครัวชินวัตร ซึ่งมีเงื่อนไขว่า “Any withdrawal is to be authorized by Dr. T. SHINAWATRA solely.” แสดงว่า พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ยังเป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงนามแต่เพียงผู้เดียวในช่วงเวลาดังกล่าวก่อนปี 2548 จึงได้มีชื่อบุตรทั้งสองปรากฏเป็นผู้มีอำนาจลงนาม ไม่ตรงกับที่ได้อ้างว่าโอนหุ้น ARI ให้นาย พานทองแท้ ชินวัตร ในวันที่ 1 ธันวาคม 2543 โดยมีพิรุธที่สอดคล้องกัน ก็คือ พานทองแท้ได้ทำรายงานหุ้นเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2545 ก็ทำในลักษณะที่ไม่มีหุ้น ARI ทำให้ต้องแก้หลักฐานย้อนหลัง (Back Date) ในปี 2549 ต่อมา
3.วินมาร์ค (WM) ใช้ซุกหุ้น SHIN ด้วย ไม่ใช่ใช้ซุกเฉพาะหุ้นกลุ่ม SC ซึ่งกรณี วินมาร์ค ซุกหุ้นกลุ่ม SC นั้น ดีเอสไอ และ กลต. พบหลักฐานแล้ว จึงกล่าวโทษว่าเป็นโนมินีถือหุ้นแทน พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร และ ล่าสุดสำนักงาน อสส. แม้จะช่วยอธิบายความเห็นสั่งไม่ฟ้อง กรณีการปกปิดหุ้น “ด้วยเห็นว่าเป็นหน้าที่ของผู้จัดการกองทุน ไม่ใช่เจ้าของ” ซึ่งยืนยันว่า นช. เป็นเจ้าของกองทุนเหล่านี้ในการถือหุ้น SC จริง !! แต่หลักฐานเพิ่มเติมที่ คตส. พบ คือ วินมาร์ค ถือหุ้น SHIN ด้วย !!
3.1) ในวันที่ 24 สิงหาคม 2544 UBS ทำรายงาน 246-2 ต่อสำนักงาน กลต. โดยนับหุ้น SHIN จำนวน 10,000,000 หุ้น ของ ARI รวมกับหุ้นอีกจำนวนอีก 5,405,913 หุ้น ทั้งนี้ มีหลักฐานว่าเป็นหุ้นของวินมาร์ค (โนมินีของ พ.ต.ท. ทักษิณ ตามข้อกล่าวโทษของดีเอสไอ) รวมเป็น15,405,913 หุ้น (พาร์ 10 บาท) คิดเป็นร้อยละ 5.24 ซึ่งหนังสือของ UBS AG Singapore ลงวันที่ 21 ก.พ. 2549 ก็เป็นหลักฐานยืนยันการนับหุ้น 10 ล้านหุ้นของ ARI และอีกกว่า 5 ล้านหุ้นของ WM เป็นของเจ้าของเดียวกันอันเป็นผลให้ต้องปฏิบัติตามกฏหมาย ซึ่งก็น่าจะเป็นของ นช. ทั้ง 2 ส่วน เพราะไม่เคยกล่าวถึงการโอนหุ้นวินมาร์คให้นายพานทองแท้เลย
3.2) พบบัญชีวินมาร์ค มี รหัสบัญชี 121751 ที่ ธ. ยูบีเอส สิงคโปร์ ถือหุ้น SHIN ด้วย สอดคล้องกับข้อมูลตามทะเบียนหุ้นจากฐานข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์ในชื่อบัญชี UBS AG Singapore Branch - Pledge A/C – 121751 ในช่วง 2544 ถึง 2546 ซึ่งถือหุ้นประมาณ 53 ล้านหุ้น (พาร์ 1 บาท) ที่ถูกนับรวมว่าเป็นเจ้าของเดียวกับหุ้นของ ARI ดังกล่าว
3.3) UBS ส่งหุ้นไปเข้าบัญชี UOB Nominee Private Limited เพื่อบัญชี Win Mark จำนวน 18,048,870 หุ้น ในวันที่ 19 กันยายน 2545 โดยตัดหุ้นจากบัญชีที่ถือหุ้น ARI และต่อมา UBS ตัดหุ้นจากบัญชี Pledge A/C – 121751 (Win Mark) จำนวน 17,000,000 หุ้น มาชดเชยบัญชี ARI ในวันที่ 4 ตุลาคม 2545 ทำให้หุ้นในบัญชี Pledge A/C – 121751 ดังกล่าว ลดลงจาก 53,642,130 หุ้น เหลือ 36,642,130 หุ้น (ข้อมูลจำนวนหุ้นเหล่านี้ ตรวจสอบยอดถือหุ้นตามข้อมูลตลาดหลักทรัพย์แล้วตรงกัน) เป็นหลักฐานยืนยันว่า ARI และ WM เป็นของเจ้าของเดียวกัน จึงตัดหุ้นกว่า 18 ล้านหุ้นจากบัญชี ARI ส่งไปเข้าบัญชี WM ที่ UOB และตัดหุ้นจากบัญชี WM มาคืนเพียง 17 ล้านหุ้นก็ทำได้ ทั้งนี้รายการเหล่านี้เป็นรายการที่ไม่มีการชำระเงินแต่อย่างใด
4.การโอนให้ลูก และคนใกล้ชิดไม่น่าเชื่อถือ
4.1) นาย พานทองแท้ โอนหุ้นมูลค่า 733.95 ล้าน จากพ่อแม่ โดยทำตั๋วสัญญาใช้เงิน ในวันที่ 1 กันยายน 2543 ต้องทำตั๋วสัญญาใช้เงินเพิ่มพิเศษอีก 4,500 ล้านบาท ลงวันที่ 31 สิงหาคม 2543 เพียง 1 วัน ก่อนวันโอนหุ้น ซึ่งไม่เคยบอกได้ว่าเป็นภาระหนี้ค่าอะไร ? มีที่มาอย่างไร ? ซึ่งภาระหนี้ดังกล่าว เป็นช่องทางในการจ่ายคืนเงินปันผลกลับมาให้คุณหญิง พจมาน
4.2) การที่นายพานทองแท้ ชินวัตร โอนหุ้น SHIN ให้ น.ส. พินทองทา ชินวัตร ในวันที่ 9 กันยายน 2545 และวันที่ 4 มิ.ย. 2546 ที่ราคาพาร์ ทำให้ไม่น่าเชื่อว่าเป็นการรับโอนของ นาย พานทองแท้ ชินวัตร และโอนหุ้นต่อเป็นความจริง เพราะภาระที่นายพานทองแท้ต้องรับบนหุ้น 733.95 ล้านหุ้นนั้น มีรวมถึงกว่า 5 พันล้านบาท แต่กลับยินดีโอนหุ้นให้ น.ส. พินทองทา เกินกว่าครึ่งคือ จำนวนรวม 440 ล้านหุ้น ที่ราคาพาร์ ทำให้ตนเหลือหุ้นเพียง 293.95 ล้านหุ้น น้อยกว่าน้องเสียอีก และตนยังต้องแบกภาระชำระหนี้คุณหญิง พจมาน ชินวัตรเพียงคนเดียว เป็นเงินกว่า 5 พันล้านบาทต่อไป จึงไม่น่าเชื่อว่าเป็นการตัดสินใจโอนหุ้นด้วยตนเองในฐานะเจ้าของที่เป็นอิสระอย่างแท้จริง
4.3) น.ส. พินทองทา ชินวัตร โอนเงินจำนวน 485 ล้านบาท ในวันที่ 27 สิงหาคม 2547 เพื่อซื้อหุ้น 5 บริษัท จากวินมาร์คซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นแทน (โนมินี) ของ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร โดยกำหนดที่ราคาพาร์ทุกบริษัท ทั้งที่มูลค่าหุ้นและความสามารถในการทำกำไรแต่ละบริษัทก็ต่างกันไป อันทำให้เชื่อได้ว่าเป็นการโอนกันระหว่างโนมินีด้วยกันเท่านั้น
4.4) นาย บรรพจน์ ดามาพงศ์ ได้หุ้นมาโดยไม่มีหลักฐานการชำระเงินด้วยเงินของตนเองเลย โดยมีตัวอย่างหนี้จำนวน 102,135,225 บาท เพื่อชำระค่าหุ้นเพิ่มทุนหุ้น SHIN เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2542 เป็นเงินที่คุณหญิง พจมาน เป็นผู้ออกเงินชำระทุกบาททุกสตางค์ ซึ่งแม้นายบรรณพจน์มีเงินเข้าบัญชีหลายสิบล้านบาท ก็มิได้คืนเงินเลย แม้เศษๆ 135,225 บาทก็ไม่ได้คืนนานถึง 3-4 ปีด้วยเงินของตนเอง รอจนรับปันผลหุ้น SHIN จึงนำมาชำระคืน !! และหลังจากนั้น มีการโอนเงินปันผลคงเหลือของงวดวันที่ 21 พฤษภาคม 2547 งวดวันที่ 10 กันยายน 2547 และงวดวันที่ 12 เมษายน 2548 ต่างวาระกัน ต่างบัญชีกัน แต่โอนเงินไปรวมเปิดบัญชีใหม่ในวันที่ 26 เมษายน 2548 ซึ่งรวบรวมเฉพาะรายการที่เกี่ยวข้องกับหุ้น SHIN โดย “แยก” จากรายการรับจ่ายปรกติส่วนตัวซึ่งยังเดินในบัญชีเดิมต่อไป
4.5) น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ค้างหนี้ค่าหุ้นเป็นตั๋วสัญญาใช้เงิน ต่อ พ.ต.ท. ทักษิณไว้ เป็นมูลค่า 20,000,000 บาท โดยมีพฤติกรรมเช่นเดียวกับ นาย บรรณพจน์ ดามาพงศ์ คือ แม้จะมีเงินเข้าบัญชีอย่างน้อยหลายสิบล้านบาท แต่ก็มิได้เคยคืนเงินแต่อย่างใดเป็นเวลาประมาณ 3 ปี แล้วจึง ชำระคืนหนี้ค่าหุ้นดังกล่าว จากปันผลที่ได้รับ 2 ครั้งแรก และปันผลอีก 4 งวด ถอนเป็นเงินสดประมาณ 40 ครั้งๆละ 1-2 ล้านบาท โดยเจ้าหน้าที่ของ คุณหญิง พจมาน ชินวัตร
คำถามเหล่านี้รอคำตอบ เช่นคำถามง่ายที่สุดคือ ตั๋วสัญญาใช้เงิน 4,500 ล้านบาท ที่นายพานทองแท้ทำให้แม่ 1 วันก่อนโอนหุ้น มีจริงหรือไม่? ถ้ามีเป็นค่าอะไร ? ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญสะท้อนการถือหุ้นแทน แล้วโอนประโยชน์กลับให้พ่อแม่แทบทั้งหมด สอดคล้องกับเมื่อขายหุ้นแล้ว โอนไปซื้อหุ้นสโมสรฟุตบอล ซึ่ง นช. ทักษิณ ก็กล่าวว่าตนเป็นผู้ซื้อ
น่าหนักใจ ที่คนไทยได้รับพระคุณแผ่นดินมากมาย มากกว่าที่คนไทยในประเทศเคยได้รับ แต่ยอมเสียสละชาติสิ้น เพื่อตัวเอง ทำให้ขัดแย้ง ทำให้แตกแยก ทำให้ไม่รับรู้ความจริง ทำให้ยอมรับการโกง ทำให้เป็นประชาธิปไตยแบบเผด็จการโดยคุมสื่อด้านเดียว
แล้วคนไทยก็ต้องอดทนต่อไป