23..00 น. 20 พฤศจิกายน 2551
“พี่... พี่อย่าเป็นอะไรไปนะ”
คนที่ผมรัก เดินเข้ามากอดผม พร้อมทั้งน้ำตา ก่อนที่เราจะโอบกอดกันแล้วกันเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 4 ปี ของการต่อสู้ ที่เธอเอ่ยคำนี้กับผม
“แอ้ม สงสาร ภรรยาของพี่เขาที่เสียชีวิต ...ไม่กี่นาทีก่อนหน้านั้น เขายังนอนอยู่ข้างๆ กันและกันเลย แต่...” เสียงสะอื้น พร้อมทั้งหยดน้ำตาที่เริ่มรินไหลจนเปียกไหล่ผมอีกครั้ง
คำพูดของเธอมันเสียดแทงความรู้สึกของผมจนอดสะท้อนใจลึกๆ ไม่ได้
สำหรับคนทั่วไป เธออาจจะเป็น หญิงเหล็ก นักต่อสู้ที่เข้มแข็งจนผู้ชายหลายคนต้องอาย แต่จะมีสักกี่คนที่จะรู้ว่า ตลอดเวลาการต่อสู้อันยืดเยื้อยาวนาน คนที่ผมรัก ต้องเผชิญแรงกดดันอันหนักหน่วง หนักหนา สาหัสขนาดไหน
สิ่งที่ผมพยายามทำเพื่อเธออย่างดีที่สุด เพื่อคนที่ผมรักก็คือ การให้กำลังใจ และร่วมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับเธอในทุกๆสถานการณ์
มีบางคนสงสัยว่า ทั้งๆ ที่ผมต้องแบกรับภาระหน้าที่การงานที่หนักเอาเรื่อง ยังคงเอาเรี่ยวแรงจากไหนไปร่วมในม็อบทุกเย็น ผมได้แต่คิดอยู่ในใจว่า ผมก็เหมือนคนอื่นๆ อีกหลายคนที่มาร่วมในม็อบ แต่เหนื่อยกายน่ะไม่เท่าไรหรอก เมื่อเทียบกับคนที่ผมรักที่ต้องต่อสู้อยู่บนเวทีพันธมิตรทุกค่ำคืน
มีไม่รู้กี่สิบครั้ง ที่เธอมีอาการเหนื่อย ท้อ และ เครียด เพราะต้องแบกแรงกดดันจากรอบข้าง ทั้งจากสถานการณ์ที่ตึงเครียดจากการต่อสู้ที่รุมเร้า จากภาระหน้าที่การงานด้านอื่น และจากครอบครัวที่เธอรักที่ต้องโดยแรงกดดันจากการต่อสู้ของพวกเราไปด้วย
ที่ผ่านมา ผมจะตอบเธอโดยไม่ลังเลว่า “มั่นใจ” ทุกครั้ง เมื่อเธอถามว่า “ เราจะชนะไหม” เพราะผมเชื่อใน สัจจธรรมว่า “ความดีย่อมชนะทุกสิ่ง”
ผมมั่นใจเต็มเปี่ยมว่าด้วยวิจารณญาณของผมที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาไม่น้อย เคยต่อสู้มาในหลากหลายเหตุการณ์ว่า เรากำลังยืนอยู่ในข้างที่ถูกต้อง
ในสายตาของคนวงนอก อาจจะมีคนจำนวนไม่น้อยที่อาจจะเคลือบแคลงในจุดยืนของบรรดาแกนนำบางคน แต่สำหรับผมที่มีโอกาสเข้าไปใกล้ชิดพวกเขาพอสมควร ผมมั่นใจว่า ไม่ว่าในอดีตคนเหล่านี้จะเป็นอย่างไร แต่ทุกวันนี้ เมื่อเขาเลือกที่จะยืนอยู่ข้างความดี “ความดีได้เอาชนะพวกเขา” จนทำให้พวกเขาเชื่อว่า สิ่งที่พวกเขากระทำได้กลายเป็นภารกิจศักดิ์สิทธิ์ที่จะต้องทำอย่างสุดความสามารถเพื่อทวงคืนประเทศไทยกลับมาจาก อำนาจอันชั่วร้ายที่กำลังกลืนกินประเทศอยู่
การปล่อยให้มีการเข่นฆ่าประชาชนที่ไม่มีทางสู้ด้วยอาวุธสงครามกลางกรุงฯ ครั้งแล้วครั้งเล่า สำหรับอารยะประเทศทั้งหลาย รัฐบาลไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากจะต้องแสดงความรับผิดชอบโดยการลาออก แต่มัน “ไม่ใช่” สำหรับประเทศนี้ ประเทศที่ถูกครอบงำด้วยกลุ่มทุนสามานย์ และนักการเมืองที่บัดซบ ที่พร้อมจะต่อสู้ในทุกรูปแบบทั้งใต้ดิน บนดิน เพียงเพื่อรักษาไว้ซึ่งอำนาจ ด้วยความหวังลมๆแล้งๆว่า จะสามารถนำพา “ผู้นำ” ที่แสนชั่วร้าย และน่าชิงชังของเขากลับมาครองอำนาจใหม่อีกครั้ง
แต่ผมมั่นใจว่า มาถึงนาทีนี้ สำหรับประชาชนที่มาร่วมต่อสู้ด้วยมือเปล่า ในนาม พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย คงไม่มีใครยอมให้ ผู้คนเหล่านี้ยังอยู่ในอำนาจอีกต่อไป
พวกเราจะ “สู้” และจะเป็นการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ที่ภาคประชาชนจะลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อความเปลี่ยนแปลง
คงอย่างที่ ลุงจำลอง และ คุณสนธิ ประกาศไว้ว่า การต่อสู้ครั้งสุดท้ายของเรา ในวันที่ 23 พ.ย.นี้ จะเป็นการต่อสู้ครั้งสำคัญที่จะชี้ชะตาว่า เราจะกำหนดให้ สังคมไทย เดินไปในทิศทางใด นับจากนี้ไป
หากมาถึงวินาทีนี่แล้ว ยังคงมีผู้คนที่เชื่อว่า จะมีทางปรองดองและสมานฉันท์กันได้ หรือ เลือกที่จะยืนอยู่ตรงกลางเฉยๆ ไม่ยืนอยู่ข้างความถูกต้อง ด้วยเหตุผลร้อยแปดที่จะกล่าวอ้าง ในขณะที่ผู้ที่มีทั้งอำนาจและความรับผิดชอบ ไม่ว่าทหาร หรือ ตำรวจ ก็ยังคงเลือกที่จะทำตัวคล้ายเป็น “สูญญากาศ” ปล่อยให้พวกอำนาจเถื่อนกระทำย่ำยีกับประชาชนต่อไป
คงไม่มีทางเลือกอื่นสำหรับพวกเรา พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นอกจากมุ่งมั่นที่จะร่วมกันผนึกกำลังกันเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อทวงคืนประเทศไทยของเรากลับคืนมา เพราะหากพวกเรามากันน้อย ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยกประเทศไปให้พวกเขาไป และ คงไม่มีอะไรที่ดีกว่าจะกล่าวคำว่า “ลาก่อนประเทศไทย”
“พี่... พี่อย่าเป็นอะไรไปนะ”
คนที่ผมรัก เดินเข้ามากอดผม พร้อมทั้งน้ำตา ก่อนที่เราจะโอบกอดกันแล้วกันเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 4 ปี ของการต่อสู้ ที่เธอเอ่ยคำนี้กับผม
“แอ้ม สงสาร ภรรยาของพี่เขาที่เสียชีวิต ...ไม่กี่นาทีก่อนหน้านั้น เขายังนอนอยู่ข้างๆ กันและกันเลย แต่...” เสียงสะอื้น พร้อมทั้งหยดน้ำตาที่เริ่มรินไหลจนเปียกไหล่ผมอีกครั้ง
คำพูดของเธอมันเสียดแทงความรู้สึกของผมจนอดสะท้อนใจลึกๆ ไม่ได้
สำหรับคนทั่วไป เธออาจจะเป็น หญิงเหล็ก นักต่อสู้ที่เข้มแข็งจนผู้ชายหลายคนต้องอาย แต่จะมีสักกี่คนที่จะรู้ว่า ตลอดเวลาการต่อสู้อันยืดเยื้อยาวนาน คนที่ผมรัก ต้องเผชิญแรงกดดันอันหนักหน่วง หนักหนา สาหัสขนาดไหน
สิ่งที่ผมพยายามทำเพื่อเธออย่างดีที่สุด เพื่อคนที่ผมรักก็คือ การให้กำลังใจ และร่วมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับเธอในทุกๆสถานการณ์
มีบางคนสงสัยว่า ทั้งๆ ที่ผมต้องแบกรับภาระหน้าที่การงานที่หนักเอาเรื่อง ยังคงเอาเรี่ยวแรงจากไหนไปร่วมในม็อบทุกเย็น ผมได้แต่คิดอยู่ในใจว่า ผมก็เหมือนคนอื่นๆ อีกหลายคนที่มาร่วมในม็อบ แต่เหนื่อยกายน่ะไม่เท่าไรหรอก เมื่อเทียบกับคนที่ผมรักที่ต้องต่อสู้อยู่บนเวทีพันธมิตรทุกค่ำคืน
มีไม่รู้กี่สิบครั้ง ที่เธอมีอาการเหนื่อย ท้อ และ เครียด เพราะต้องแบกแรงกดดันจากรอบข้าง ทั้งจากสถานการณ์ที่ตึงเครียดจากการต่อสู้ที่รุมเร้า จากภาระหน้าที่การงานด้านอื่น และจากครอบครัวที่เธอรักที่ต้องโดยแรงกดดันจากการต่อสู้ของพวกเราไปด้วย
ที่ผ่านมา ผมจะตอบเธอโดยไม่ลังเลว่า “มั่นใจ” ทุกครั้ง เมื่อเธอถามว่า “ เราจะชนะไหม” เพราะผมเชื่อใน สัจจธรรมว่า “ความดีย่อมชนะทุกสิ่ง”
ผมมั่นใจเต็มเปี่ยมว่าด้วยวิจารณญาณของผมที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาไม่น้อย เคยต่อสู้มาในหลากหลายเหตุการณ์ว่า เรากำลังยืนอยู่ในข้างที่ถูกต้อง
ในสายตาของคนวงนอก อาจจะมีคนจำนวนไม่น้อยที่อาจจะเคลือบแคลงในจุดยืนของบรรดาแกนนำบางคน แต่สำหรับผมที่มีโอกาสเข้าไปใกล้ชิดพวกเขาพอสมควร ผมมั่นใจว่า ไม่ว่าในอดีตคนเหล่านี้จะเป็นอย่างไร แต่ทุกวันนี้ เมื่อเขาเลือกที่จะยืนอยู่ข้างความดี “ความดีได้เอาชนะพวกเขา” จนทำให้พวกเขาเชื่อว่า สิ่งที่พวกเขากระทำได้กลายเป็นภารกิจศักดิ์สิทธิ์ที่จะต้องทำอย่างสุดความสามารถเพื่อทวงคืนประเทศไทยกลับมาจาก อำนาจอันชั่วร้ายที่กำลังกลืนกินประเทศอยู่
การปล่อยให้มีการเข่นฆ่าประชาชนที่ไม่มีทางสู้ด้วยอาวุธสงครามกลางกรุงฯ ครั้งแล้วครั้งเล่า สำหรับอารยะประเทศทั้งหลาย รัฐบาลไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากจะต้องแสดงความรับผิดชอบโดยการลาออก แต่มัน “ไม่ใช่” สำหรับประเทศนี้ ประเทศที่ถูกครอบงำด้วยกลุ่มทุนสามานย์ และนักการเมืองที่บัดซบ ที่พร้อมจะต่อสู้ในทุกรูปแบบทั้งใต้ดิน บนดิน เพียงเพื่อรักษาไว้ซึ่งอำนาจ ด้วยความหวังลมๆแล้งๆว่า จะสามารถนำพา “ผู้นำ” ที่แสนชั่วร้าย และน่าชิงชังของเขากลับมาครองอำนาจใหม่อีกครั้ง
แต่ผมมั่นใจว่า มาถึงนาทีนี้ สำหรับประชาชนที่มาร่วมต่อสู้ด้วยมือเปล่า ในนาม พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย คงไม่มีใครยอมให้ ผู้คนเหล่านี้ยังอยู่ในอำนาจอีกต่อไป
พวกเราจะ “สู้” และจะเป็นการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ที่ภาคประชาชนจะลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อความเปลี่ยนแปลง
คงอย่างที่ ลุงจำลอง และ คุณสนธิ ประกาศไว้ว่า การต่อสู้ครั้งสุดท้ายของเรา ในวันที่ 23 พ.ย.นี้ จะเป็นการต่อสู้ครั้งสำคัญที่จะชี้ชะตาว่า เราจะกำหนดให้ สังคมไทย เดินไปในทิศทางใด นับจากนี้ไป
หากมาถึงวินาทีนี่แล้ว ยังคงมีผู้คนที่เชื่อว่า จะมีทางปรองดองและสมานฉันท์กันได้ หรือ เลือกที่จะยืนอยู่ตรงกลางเฉยๆ ไม่ยืนอยู่ข้างความถูกต้อง ด้วยเหตุผลร้อยแปดที่จะกล่าวอ้าง ในขณะที่ผู้ที่มีทั้งอำนาจและความรับผิดชอบ ไม่ว่าทหาร หรือ ตำรวจ ก็ยังคงเลือกที่จะทำตัวคล้ายเป็น “สูญญากาศ” ปล่อยให้พวกอำนาจเถื่อนกระทำย่ำยีกับประชาชนต่อไป
คงไม่มีทางเลือกอื่นสำหรับพวกเรา พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นอกจากมุ่งมั่นที่จะร่วมกันผนึกกำลังกันเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อทวงคืนประเทศไทยของเรากลับคืนมา เพราะหากพวกเรามากันน้อย ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยกประเทศไปให้พวกเขาไป และ คงไม่มีอะไรที่ดีกว่าจะกล่าวคำว่า “ลาก่อนประเทศไทย”