ผมเข้ามาทำงานในเครือผู้จัดการ เมื่อปลายปี 2535 ทำงานอยู่เกือบ 10 ปี และกลับมาอีกครั้งในปี 2547 สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนคือ การทำงานที่แตกต่างจากสื่อทั่วไป เพราะสนธิ ลิ้มทองกุล ไม่ได้สอนให้เราคิดว่า ข่าวคือข่าวเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเครื่องมือที่จะชี้ผิดชี้ถูกในสังคมได้ด้วย
สนธิบอกพนักงานในเครือผู้จัดการเสมอว่า สื่อไม่ใช่เป็นเพียงกระจกที่สะท้อนความเป็นไปในสังคม เขาตั้งคำถามว่า ถ้าสังคมมันมืดมิด สื่อจะเป็นกระจกส่องสังคมได้อย่างไร
ก่อนมาที่นี่ ผมไม่ได้สัมผัสหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวันมากนัก แม้น้องสาวของผมจะเป็นผู้สื่อข่าวในเครือผู้จัดการอยู่ก่อนแล้ว จะอ่านอยู่บ้างก็คือ "ผู้จัดการปริทรรศน์"ที่สอดอยู่ในผู้จัดการรายสัปดาห์ ที่ตอนนั้นใครๆก็ต้องอ่าน เพราะมีเรื่องราวที่หลากหลายกว่าสื่อทั่วไปในยุคนั้น
จนกระทั่งเหตุการณ์พฤษภา 2535 ที่ผมทิ้งงานมาเป็นมวลชนบนท้องถนน ผมจึงเห็นความกล้าหาญของ “ผู้จัดการ” ซึ่งแท้จริงแล้วก็คือตัวตนของสนธิ ลิ้มทองกุล นั่นเอง
ผู้จัดการไม่ใช่สื่อที่จำกัดบทบาทอยู่กับความเป็นกลาง โดยไม่กล้าแสดงตนเลือกข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่เป็นสื่อที่เลือกข้างตลอดเวลา เพราะเชื่อว่า ถ้าเราไม่กล้าเลือกข้างที่เราเชื่อว่า คือความถูกต้อง เมื่อเราได้แยกแยะจากหลักของความผิดถูกชั่วดีแล้ว เราก็คงเป็นเพียงกระดาษเปื้อนหมึก เป็นเพียงคนรับส่งข่าวสาร ไม่ใช่สื่อมวลชนที่ต้องรับใช้มวลชนส่วนใหญ่
การมองเข้าสู่หัวใจของข่าว สนธิ ลิ้มทองกุล บอกเสมอว่า ต้องมองแบบป่าทั้งป่า อย่ามองที่ต้นไม้ต้นเดียว แล้วเราจะสามารถวิเคราะห์ได้แม่นยำขึ้น สิ่งที่สนธิสอนจะบอกว่า ยากก็ยาก คนข่าวผู้จัดการรุ่นหลังๆ อาจทำได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ความเป็นผู้จัดการก็สะท้อนเอกลักษณ์ของตัวตนต่างออกมาจากสื่อทั่วไปไม่มากก็น้อย
ไม่ว่าการเลือกข้างของผู้จัดการจะเป็นการเลือกข้างที่ผิดหรือถูก แต่เป็นการแสดงบทบาทจากสื่อที่ออกมาจากตำราสื่อสารมวลชน การแสดงบทบาทของผู้จัดการถูกสื่อในมาตรฐานปกติกล่าวหาว่า ทำหน้าที่เกินความเป็นสื่อที่ต้องเป็นกลางเพียงอย่างเดียว
เป็นกลางระหว่างความผิดกับถูก เป็นกลางระหว่างความดีกับความเลว เป็นกลางระหว่างขาวกับดำ
สื่อบางพวกจึงรายงานข่าวว่า นายทหารคนหนึ่งจะเอาอาวุธสงครามมาถล่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดยไม่ตั้งคำถามว่า สิ่งที่นายทหารคนนั้นพูดเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่ เขารายงานเพียงว่า ใครพูดอะไร ทำอะไร ที่ไหนเพียงเท่านั้น ผิดถูกชั่วดีช่างมัน ซึ่งไม่ใช่สื่อแบบผู้จัดการ
บุคลิกแบบผู้จัดการกลายเป็นบุคลิกที่น่าหมั่นใส้ในสายตาของสื่อมวลชนทั่วไป
แต่จริงๆแล้ว สิ่งเหล่านั้นเกิดจากความเป็นตัวของตัวเองเท่านั้น ไม่ใช่เกิดจากบุคลิกที่ไประรานหาเรื่องหาราวกับใคร แน่นอนว่า สิ่งที่ผู้จัดการทำอาจจะมีทั้งผิดและถูก สิ่งที่สนธิ คิดอาจจะมีทั้งผิดและถูก เพราะเราก็เป็นเช่นมนุษย์ปุถุชนทั่วไป
เมื่อเกิดวิกฤตเศรษฐกิจเมื่อปี 2540 นาวาของสนธิที่กำลังท่องไปในโลกโลกานุวัตรก็ล่มสลายลงด้วย เขากลายเป็นบุคคลล้มละลาย แต่นามของผู้จัดการก็ยังคงอยู่ แม้เขาจะปลีกตัวไปเป็นเพียงที่ปรึกษา แต่ก็ไม่สามารถแยกแยะความเป็น "ผู้จัดการ" ออกจากความเป็น "สนธิ ลิ้มทองกุล"ได้
คนส่วนใหญ่ซื้อผู้จัดการ เพราะสนธิ ลิ้มทองกุล ต่อให้เปลี่ยนชื่อหนังสือพิมพ์ผู้จัดการเป็นอย่างอื่น แฟนจ๋าของสนธิ ลิ้มทองกุลก็ยังคงเป็นแฟนจ๋าของหนังสือพิมพ์เล่มนั้นเหมือนเดิม
เช่นเดียวกันเมื่อสนธิ บุกเบิกโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมในนาม ASTV สนธิจึงเอาบุคลิกของเขาไปใส่ในโทรทัศน์ ASTV ก็เหมือนกับสื่อเครือผู้จัดการที่กลายเป็นสื่อที่น่าหมั่นใส้ เพราะถูกใส่บุคลิกกล้าได้กล้าเสียของสนธิลงไปด้วยเช่นเดียวกัน
เจ๊งเป็นเจ๊ง ตายเป็นตาย ก็มาจากบุคลิกกล้าได้กล้าเสียของสนธินี่แหละครับ
บทบาทของเครือผู้จัดการที่นับรวมสู่การขยายฐานสู่ ASTV จึงไม่ใช่แค่เป็นเครื่องมือในการรายงานข่าวว่า เกิดอะไรขึ้นในโลกใบนี้ ในประเทศแห่งนี้ แต่เป็นอาวุธที่ประหัตประหารกับความไม่ถูกต้องด้วย
สนธิ ลิ้มทองกุล นับเป็นคนประหลาดประเภทหนึ่ง เขาสามารถยืนหยัดท่ามกลางเศษหิน เศษปูนได้ เขาไม่สนใจเสียงวิพากษ์วิจารณ์ค่อนแคะดูหมิ่นดูแคลนมากไปกว่าสิ่งที่เขาทำ เขายิ้มสู้ในวันที่วิกฤตที่สุด และนอนหลับในวันที่ทุกข์ทรมานที่สุด
ตอนที่สนธิ เริ่มรู้ว่า ทักษิณไม่ใช่รวยแล้วไม่โกง และเขาเริ่มรู้ตัวว่า หลงผิดที่ไปสนับสนุนและค้ำบังลังก์ให้ทักษิณ สนธิเคยบอกว่า เขาแทบไม่อยากไปจัดรายการที่ช่อง 9 เลย และแล้วสิ่งที่เขากล้ำกลืนฝืนทนก็ถูกสลัดทิ้งไป เขาออกมาวิพากษ์วิจารณ์ทักษิณ กระทั่งสัมพันธ์ทั้งสองคนสะบั้นลง
ทักษิณคิดผิดที่เชื่อว่า อำนาจและเงินจะทำให้สนธิสยบยอม และคิดผิดต่อมาว่า จะใช้อำนาจรัฐจัดการกับสนธิได้ น่าเสียดายที่ทหารหน่อมแน้มเข้ามายึดอำนาจเสียก่อน ไม่เช่นนั้นทักษิณก็คงถูกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยโค่นล้มจากอำนาจไปนานแล้ว
เมื่อสนธิก้าวออกจากความเป็นสื่อมาสู่ผู้นำภาคประชาชน เป้าหมายของสนธิจึงไม่ได้แตกต่างกับบทบาทของเครือผู้จัดการที่สนธิพร่ำสอนมากนัก คือ กล้าแสดงจุดยืนของตัวเอง ผิดเพียงว่า ก่อนหน้านี้ เราเป็นสื่อที่กล้าจะเลือกข้างใดข้างหนึ่ง แต่วันนี้เราออกมาเป็นตัวละครในโลกของความเป็นจริงด้วย
ไม่ว่าจะผิดหรือถูก เมื่อสนธิออกมาสู้ พวกเราทุกคนในเครือผู้จัดการและ ASTV ก็ออกมาสู้รบและทำงานบนท้องถนนร่วมกันหมด ไม่มีใครถอย ไม่มีใครกลัวกับความไม่ถูกต้อง และเชื่อมั่นในเป้าหมายที่เราจะต่อสู้ร่วมกัน
ASTV ย้ายห้องส่งมาอยู่บนท้องถนนในทำเนียบรัฐบาล หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ และเว็บไซต์ กลายเป็นสื่อที่รายงานการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย พนักงานมีห้องทำงานอยู่บนรถเคลื่อนที่สิบล้อ ใต้ถุนเวที เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย อย่างที่ไม่มีสื่อชนิดไหนในโลกเคยทำมาก่อน
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จัดการชุมนุมอย่างต่อเนื่องยาวนานกว่า 180 วัน และเป็นการชุมนุมที่ถ่ายทอดสดไปทั่วโลกตลอด 24 ชั่วโมง ผ่านทาง ASTV เว็บไซต์ www.manager.co.th โดยทีมงานผู้จัดการ กลายเป็นตัวขับเคลื่อนอันทรงพลังในโลกไซเบอร์ ให้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเป็นขบวนการภาคประชาชนที่เข้มแข็งที่สุดในโลกและประวัติศาสตร์ของการเมืองไทย
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย สะสมชัยชนะมากขึ้นเรื่อยๆด้วยหลักการสันติ อหิงสา แต่บาดแผลจากเหตุการณ์ต้มยำกุ้งที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจทั่วโลกก็กลายเป็นตัวเหนี่ยวรั้งให้เครือผู้จัดการต้องปิดฉากตัวเองลง
เหลือแต่วันนี้กับบทบาทเดิมในนามใหม่ "ASTV-ผู้จัดการ"การผนึกกำลังของสื่อในลีลาและบุคลิกแบบสนธิ ลิ้มทองกุลเหมือนเดิม
สนธิบอกพนักงานในเครือผู้จัดการเสมอว่า สื่อไม่ใช่เป็นเพียงกระจกที่สะท้อนความเป็นไปในสังคม เขาตั้งคำถามว่า ถ้าสังคมมันมืดมิด สื่อจะเป็นกระจกส่องสังคมได้อย่างไร
ก่อนมาที่นี่ ผมไม่ได้สัมผัสหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวันมากนัก แม้น้องสาวของผมจะเป็นผู้สื่อข่าวในเครือผู้จัดการอยู่ก่อนแล้ว จะอ่านอยู่บ้างก็คือ "ผู้จัดการปริทรรศน์"ที่สอดอยู่ในผู้จัดการรายสัปดาห์ ที่ตอนนั้นใครๆก็ต้องอ่าน เพราะมีเรื่องราวที่หลากหลายกว่าสื่อทั่วไปในยุคนั้น
จนกระทั่งเหตุการณ์พฤษภา 2535 ที่ผมทิ้งงานมาเป็นมวลชนบนท้องถนน ผมจึงเห็นความกล้าหาญของ “ผู้จัดการ” ซึ่งแท้จริงแล้วก็คือตัวตนของสนธิ ลิ้มทองกุล นั่นเอง
ผู้จัดการไม่ใช่สื่อที่จำกัดบทบาทอยู่กับความเป็นกลาง โดยไม่กล้าแสดงตนเลือกข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่เป็นสื่อที่เลือกข้างตลอดเวลา เพราะเชื่อว่า ถ้าเราไม่กล้าเลือกข้างที่เราเชื่อว่า คือความถูกต้อง เมื่อเราได้แยกแยะจากหลักของความผิดถูกชั่วดีแล้ว เราก็คงเป็นเพียงกระดาษเปื้อนหมึก เป็นเพียงคนรับส่งข่าวสาร ไม่ใช่สื่อมวลชนที่ต้องรับใช้มวลชนส่วนใหญ่
การมองเข้าสู่หัวใจของข่าว สนธิ ลิ้มทองกุล บอกเสมอว่า ต้องมองแบบป่าทั้งป่า อย่ามองที่ต้นไม้ต้นเดียว แล้วเราจะสามารถวิเคราะห์ได้แม่นยำขึ้น สิ่งที่สนธิสอนจะบอกว่า ยากก็ยาก คนข่าวผู้จัดการรุ่นหลังๆ อาจทำได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ความเป็นผู้จัดการก็สะท้อนเอกลักษณ์ของตัวตนต่างออกมาจากสื่อทั่วไปไม่มากก็น้อย
ไม่ว่าการเลือกข้างของผู้จัดการจะเป็นการเลือกข้างที่ผิดหรือถูก แต่เป็นการแสดงบทบาทจากสื่อที่ออกมาจากตำราสื่อสารมวลชน การแสดงบทบาทของผู้จัดการถูกสื่อในมาตรฐานปกติกล่าวหาว่า ทำหน้าที่เกินความเป็นสื่อที่ต้องเป็นกลางเพียงอย่างเดียว
เป็นกลางระหว่างความผิดกับถูก เป็นกลางระหว่างความดีกับความเลว เป็นกลางระหว่างขาวกับดำ
สื่อบางพวกจึงรายงานข่าวว่า นายทหารคนหนึ่งจะเอาอาวุธสงครามมาถล่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดยไม่ตั้งคำถามว่า สิ่งที่นายทหารคนนั้นพูดเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่ เขารายงานเพียงว่า ใครพูดอะไร ทำอะไร ที่ไหนเพียงเท่านั้น ผิดถูกชั่วดีช่างมัน ซึ่งไม่ใช่สื่อแบบผู้จัดการ
บุคลิกแบบผู้จัดการกลายเป็นบุคลิกที่น่าหมั่นใส้ในสายตาของสื่อมวลชนทั่วไป
แต่จริงๆแล้ว สิ่งเหล่านั้นเกิดจากความเป็นตัวของตัวเองเท่านั้น ไม่ใช่เกิดจากบุคลิกที่ไประรานหาเรื่องหาราวกับใคร แน่นอนว่า สิ่งที่ผู้จัดการทำอาจจะมีทั้งผิดและถูก สิ่งที่สนธิ คิดอาจจะมีทั้งผิดและถูก เพราะเราก็เป็นเช่นมนุษย์ปุถุชนทั่วไป
เมื่อเกิดวิกฤตเศรษฐกิจเมื่อปี 2540 นาวาของสนธิที่กำลังท่องไปในโลกโลกานุวัตรก็ล่มสลายลงด้วย เขากลายเป็นบุคคลล้มละลาย แต่นามของผู้จัดการก็ยังคงอยู่ แม้เขาจะปลีกตัวไปเป็นเพียงที่ปรึกษา แต่ก็ไม่สามารถแยกแยะความเป็น "ผู้จัดการ" ออกจากความเป็น "สนธิ ลิ้มทองกุล"ได้
คนส่วนใหญ่ซื้อผู้จัดการ เพราะสนธิ ลิ้มทองกุล ต่อให้เปลี่ยนชื่อหนังสือพิมพ์ผู้จัดการเป็นอย่างอื่น แฟนจ๋าของสนธิ ลิ้มทองกุลก็ยังคงเป็นแฟนจ๋าของหนังสือพิมพ์เล่มนั้นเหมือนเดิม
เช่นเดียวกันเมื่อสนธิ บุกเบิกโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมในนาม ASTV สนธิจึงเอาบุคลิกของเขาไปใส่ในโทรทัศน์ ASTV ก็เหมือนกับสื่อเครือผู้จัดการที่กลายเป็นสื่อที่น่าหมั่นใส้ เพราะถูกใส่บุคลิกกล้าได้กล้าเสียของสนธิลงไปด้วยเช่นเดียวกัน
เจ๊งเป็นเจ๊ง ตายเป็นตาย ก็มาจากบุคลิกกล้าได้กล้าเสียของสนธินี่แหละครับ
บทบาทของเครือผู้จัดการที่นับรวมสู่การขยายฐานสู่ ASTV จึงไม่ใช่แค่เป็นเครื่องมือในการรายงานข่าวว่า เกิดอะไรขึ้นในโลกใบนี้ ในประเทศแห่งนี้ แต่เป็นอาวุธที่ประหัตประหารกับความไม่ถูกต้องด้วย
สนธิ ลิ้มทองกุล นับเป็นคนประหลาดประเภทหนึ่ง เขาสามารถยืนหยัดท่ามกลางเศษหิน เศษปูนได้ เขาไม่สนใจเสียงวิพากษ์วิจารณ์ค่อนแคะดูหมิ่นดูแคลนมากไปกว่าสิ่งที่เขาทำ เขายิ้มสู้ในวันที่วิกฤตที่สุด และนอนหลับในวันที่ทุกข์ทรมานที่สุด
ตอนที่สนธิ เริ่มรู้ว่า ทักษิณไม่ใช่รวยแล้วไม่โกง และเขาเริ่มรู้ตัวว่า หลงผิดที่ไปสนับสนุนและค้ำบังลังก์ให้ทักษิณ สนธิเคยบอกว่า เขาแทบไม่อยากไปจัดรายการที่ช่อง 9 เลย และแล้วสิ่งที่เขากล้ำกลืนฝืนทนก็ถูกสลัดทิ้งไป เขาออกมาวิพากษ์วิจารณ์ทักษิณ กระทั่งสัมพันธ์ทั้งสองคนสะบั้นลง
ทักษิณคิดผิดที่เชื่อว่า อำนาจและเงินจะทำให้สนธิสยบยอม และคิดผิดต่อมาว่า จะใช้อำนาจรัฐจัดการกับสนธิได้ น่าเสียดายที่ทหารหน่อมแน้มเข้ามายึดอำนาจเสียก่อน ไม่เช่นนั้นทักษิณก็คงถูกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยโค่นล้มจากอำนาจไปนานแล้ว
เมื่อสนธิก้าวออกจากความเป็นสื่อมาสู่ผู้นำภาคประชาชน เป้าหมายของสนธิจึงไม่ได้แตกต่างกับบทบาทของเครือผู้จัดการที่สนธิพร่ำสอนมากนัก คือ กล้าแสดงจุดยืนของตัวเอง ผิดเพียงว่า ก่อนหน้านี้ เราเป็นสื่อที่กล้าจะเลือกข้างใดข้างหนึ่ง แต่วันนี้เราออกมาเป็นตัวละครในโลกของความเป็นจริงด้วย
ไม่ว่าจะผิดหรือถูก เมื่อสนธิออกมาสู้ พวกเราทุกคนในเครือผู้จัดการและ ASTV ก็ออกมาสู้รบและทำงานบนท้องถนนร่วมกันหมด ไม่มีใครถอย ไม่มีใครกลัวกับความไม่ถูกต้อง และเชื่อมั่นในเป้าหมายที่เราจะต่อสู้ร่วมกัน
ASTV ย้ายห้องส่งมาอยู่บนท้องถนนในทำเนียบรัฐบาล หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ และเว็บไซต์ กลายเป็นสื่อที่รายงานการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย พนักงานมีห้องทำงานอยู่บนรถเคลื่อนที่สิบล้อ ใต้ถุนเวที เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย อย่างที่ไม่มีสื่อชนิดไหนในโลกเคยทำมาก่อน
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จัดการชุมนุมอย่างต่อเนื่องยาวนานกว่า 180 วัน และเป็นการชุมนุมที่ถ่ายทอดสดไปทั่วโลกตลอด 24 ชั่วโมง ผ่านทาง ASTV เว็บไซต์ www.manager.co.th โดยทีมงานผู้จัดการ กลายเป็นตัวขับเคลื่อนอันทรงพลังในโลกไซเบอร์ ให้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเป็นขบวนการภาคประชาชนที่เข้มแข็งที่สุดในโลกและประวัติศาสตร์ของการเมืองไทย
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย สะสมชัยชนะมากขึ้นเรื่อยๆด้วยหลักการสันติ อหิงสา แต่บาดแผลจากเหตุการณ์ต้มยำกุ้งที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจทั่วโลกก็กลายเป็นตัวเหนี่ยวรั้งให้เครือผู้จัดการต้องปิดฉากตัวเองลง
เหลือแต่วันนี้กับบทบาทเดิมในนามใหม่ "ASTV-ผู้จัดการ"การผนึกกำลังของสื่อในลีลาและบุคลิกแบบสนธิ ลิ้มทองกุลเหมือนเดิม