xs
xsm
sm
md
lg

วิกฤติสถาบันการเงินสหรัฐฯ อันตราย หรือ โอกาส

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ธีรนาถ รุจิเมธาภาส
รองกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าธุรกิจกองทุนรวมและกองทุนส่วนบุคคล บลจ. ทิสโก้

สุภาษิตโบราณกล่าวว่า “วิกฤติสร้างวีรบุรุษ” แต่วิกฤตการณ์ทางการเงินที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกาในขณะนี้ กำลังสร้างความวิตกกังวลให้กับนักลงทุนเพราะกลัวกันว่าจะขยายตัวลุกลามอย่างถาวรไปยังประเทศต่างๆ ในภูมิภาคอื่นหรือไม่ โดยเฉพาะประเทศในแถบเอเชีย ดังจะเห็นได้จากการที่ราคาสินทรัพย์ทุกชนิดโดยเฉพาะหุ้นของทุกประเทศทั่วโลกออกอาการทรุดลงมาอย่างมากเมื่อไม่นานมานี้

คำถามที่หลายท่านต้องการคำตอบก็คือ ราคาหุ้นปรับตัวมามากพอแล้วหรือยัง และ เมื่อไรราคาหุ้นจะปรับตัวสูงขึ้น

ก่อนอื่น ผมก็ต้องขอออกตัวก่อนว่า โดยส่วนตัวแล้ว ตัวเองก็เคยคิดมานานหลายปีแล้วว่าวิกฤติสถาบันการเงินของสหรัฐฯ น่าจะเกิดและจะทำให้เศรษฐกิจของอเมริกาเข้าสู่สภาวะถดถอยได้ (ซึ่งก็ได้เกิดไปแล้ว) แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดมาก่อนก็คือ การถดถอยนี้จะมีความรุนแรงมากขนาดทำให้สถาบันการเงินขนาดใหญ่ล้มได้ขนาดนี้ เนื่องจากเชื่อว่าปัญหา Sub-prime Loans นั้นน่าจะเป็นที่รับรู้และได้รับการจัดการอย่างทันท่วงทีโดยทางการสหรัฐฯ นอกจากนี้ ก็ยังมองว่าการที่สภาวะเศรษฐกิจในแถบเอเชียที่ยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง (แม้ว่าจะสะดุดบ้างจากปัญหาราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นจนทำให้อัตราเงินเฟ้อปรับตัวอย่างน่าตกใจ) ก็น่าจะประคองตัวรอดไปได้

แต่สถานการณ์กลับรุนแรงกว่าที่คาด แถมราคาหุ้นทางฝั่งเอเชีย ตกกระหน่ำอย่างแรงกว่าโดยเฉพาะเมื่อเทียบกับการปรับตัวลดลงของตลาดหุ้นของสหรัฐอเมริกาเอง คาดว่าโดยเฉลี่ยราคาหุ้นของตลาดในเอเชียโดยประเมินจากค่า PE ratio น่าจะอยู่แถวๆ 11 เท่า เมื่อเทียบกับราคาในอดีตที่จะอยู่แถวๆ 15-16 เท่า ในขณะที่อัตราการเติบโตของกำไรของบริษัทต่างๆ จะลดลงบ้างจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจโลกก็ตามแต่ถ้าเราติดตามข่าวการประกาศผลการดำเนินงานของบริษัทในแถบเอเชีย โดยเฉพาะจีน หรืออินเดีย ก็ยังคงกำไรในระดับที่ใช้ได้ดีทีเดียว

ดังนั้นจะเห็นได้ว่าการปรับตัวลดลงของราคาหุ้นในแถบเอเชียในครั้งนี้ไม่ใช่เกิดจากปัญหาทางเศรษฐกิจของประเทศในภูมิภาคนี้ หรือเกิดจากการที่ผลประกอบการของบริษัทต่างในแถบนี้เปลี่ยนเป็นขาลงแต่อย่างไร แต่ที่ราคาหุ้นในแถบนี้ลดลงนั้นมีสาเหตุหลักอยู่เพียงประการเดียว นั่นก็คือ นักลงทุนต่างชาติซึ่งรวมถึงสถาบันการเงินที่มีปัญหามีความจำเป็นต้องสำรองสภาพคล่องเป็นการด่วนจึงต้องขายหุ้นออกมาโดยไม่สนราคาและปัจจัยพื้นฐานแต่ประการใด และข้อเสียของประเทศในแถบนี้ก็คือการออมหรือการลงทุนในตลาดหุ้นมีน้อยและไม่เพียงพอที่จะรองรับแรงขายของนักลงทุนต่างชาติซึ่งมักจะเป็นนักลงทุนที่มีทุนหนากว่านั่นเอง

ในวิกฤติย่อมเป็นโอกาส สำหรับผู้ที่มองและประเมินสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ด้วยเหตุและผล โดยไม่ใช้อารมณ์ เป็นที่ตั้ง ที่จะลองเลือกลงทุนในภูมิภาคหรือประเทศที่น่าจะได้รับผลกระทบจากวิกฤติการณ์ในครั้งนี้ ซึ่งส่วนใหญ่ประเทศเหล่านี้ก็อยู่ในแถบเอเชียแปซิฟิกของเรานั่นเอง อย่าลืมว่าโดยความเป็นจริงแล้วแม้ประเทศในแถบนี้อาจจะส่งออกไปสหรัฐได้น้อยลง แต่หากนับ Net Export Value คือมูลค่าการส่งออกที่หักมูลค่าการนำเข้าแล้วบางประเทศยังถือว่าน้อยมากนั่นคือการขยายตัวทางเศรษฐกิจนั้นพึ่งพิงการค้าต่างประเทศไม่มากเท่าไร เนื่องจากประเทศเป็นเพียงฐานการผลิตที่บริษัทข้ามชาติเข้ามาใช้แรงงานเท่านั้น ตัวอย่างเช่นประเทศจีนนั้นที่เราเห็นว่าเขาเน้นการส่งออกเป็นหลัก เคยมีการประเมินกันว่าหากนับแบบ Net Export แล้ว จีนมีการพึ่งพิงการค้าต่างประเทศคิดเป็นมูลค่าเพียงร้อยละ 4 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ และจากการที่ประเทศในแถบนี้เจอประสบการณ์ที่เลวร้ายจากวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 หรือที่เราเรียกว่า วิกฤติต้มยำกุ้ง นั้นทำให้ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนของประเทศในแถบนี้มีการก่อหนี้ไม่ว่าจะเป็นหนี้ในหรือต่างประเทศนั้นน้อยลงมาก

ดังนั้นด้วยฐานะการเงินและการคลังของประเทศและของภาคเอกชนที่แข็งแรงประกอบกับจำนวนประชากรของประเทศในแถบนี้มีเป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังต้องมีการพัฒนาสาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ จึงเป็นไปได้สูงที่การขยายตัวของประเทศในแถบนี้จะยังเกิดขึ้นได้จากการบริโภคภายในประเทศ และการลงทุน

จริงอยู่แม้มีการประเมินกันว่ากว่าเศรษฐกิจของอเมริกาจะกลับมาฟื้นใหม่อาจจะใช้เวลาอย่างช้าเป็นปี แต่หากผลประกอบการของบริษัทในแถบนี้ยังออกมาดีทุกๆ ไตรมาส ในขณะที่ราคาปรับตัวลดลงมาอย่างมาก ก็เชื่อได้เลยว่าการลงทุนในตลาดแถบเอเชียน่าจะยังเป็นที่น่าสนใจของผู้ลงทุนทั้งในและนอกภูมิภาคนี้อย่างไม่ต้องสงสัย โดยเฉพาะตอนนี้ยังไม่เห็นภูมิภาคอื่นใดจะมีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแรงเท่าเอเชีย

ดังนั้นหากผู้ลงทุนเข้าใจสถานการณ์ ไม่ตื่นตระหนกจนเกินไป และเริ่มหาจังหวะเหมาะๆ เพื่อลงทุนไป จริงอยู่แม้ในระยะสั้นอาจจะมีความผันผวนอยู่บ้างแต่เชื่อว่าหากความกังวลเริ่มคลี่คลาย การลงทุนในหุ้นแถบเอเชียนี้น่าจะสร้างผลกำไรที่ดีให้กับผู้กล้าได้ไม่มากก็น้อย

บอกแล้วยังไงครับว่าทุกครั้งที่มีวิกฤติ มักจะมีเศรษฐีเกิดขึ้นได้เช่นกัน ถ้าหาจังหวะในการลงทุนให้ดี

กำลังโหลดความคิดเห็น