เมื่อเวลา 12.00 น. วานนี้ (16พ.ย.) ที่บ้านพักภายในหมู่บ้านเบเวอร์ลี่ฮิลล์ ถนนแจ้งวัฒนะ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีท่าทีของฝ่ายไทย หลังจากที่ยังหาข้อตกลงไม่ได้เรื่องการถอนทหารออกจากพื้นที่ทับซ้อน บริเวณประสาทพระวิหาร ว่า ไม่ใช่เรื่องการตกลงว่าได้ หรือไม่ได้ สำหรับกรอบการเจรจาของเรานั้น เราเองก็มีข้อจำกัดตามกฎหมายรัฐธรรมนูญว่า การจะเจรจา หรือตกลงอะไร ต้องผ่านสภาฯก่อน ดังนั้นเมื่อทุกอย่างเข้าอยู่ภายในกรอบแล้ว การเจรจาไม่ว่าจะมีข้อตกลงใหม่ หรือไม่ ถ้าเป็นเรื่องนอกกรอบที่วางไว้ ก็ทำอะไรไม่ได้ จึงถือเป็นข้อจำกัดอย่างหนึ่ง อันนี้ตนไม่ได้พูดว่า รัฐธรรมนูญดี หรือไม่ดี แต่บอกว่ามันเป็นข้อจำกัดที่ลำบากนิดหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ถ้ามีความจำเป็น ก็ต้องนำเรื่องเข้าหารือในสภาฯ เพื่อให้เป็นเรื่องของสภาฯที่จะพิจารณา
เมื่อถามว่า ขณะนี้ได้รับหนังสือแจ้งข้อกล่าวหาจากคณะกรรมการ ป.ป.ช. กรณีการออกมติ ครม.สนับสนุนแถลงการณ์ร่วมไทย- กัมพูชา กรณีการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร แล้วหรือยัง นายสมชาย กล่าวตัดบทว่า วันนี้วันอาทิตย์ ไปพักผ่อนก่อน จากนั้นรีบหันหลังเดินเข้าบ้านพักทันที
**หนี้บัตรเครดิตส.ส.ยังไม่เข้าที่ประชุม
น.ส.สมลักษณ์จัดกระบวนพล กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ( ป.ป.ช.) กล่าวถึงกรณีที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา ยื่นเรื่องให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบส.ส.ร่วม 200 คน ที่มีบัตรเครดิต แต่ไม่แจ้งหนี้สินบัตรเครดิตในวันเข้ารับตำแหน่ง ซึ่งอาจถือว่าปกปิดบัญชีทรัพย์สินในเรื่องเงินเบิกเกินบัญชีหรือไม่ว่า หนังสือดังกล่าว ยังไม่เข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดใหญ่ เพียงแต่หยิบยกมาคุยกันบ้าง เพราะเป็นข่าวออกทางสื่อมวลชน คณะกรรมการจึงยังไม่มีข้อสรุปในเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม ในความเห็นส่วนตัว มองว่า กรณีนี้เป็นเรื่องหยุมหยิม ยกเว้นเสียแต่มีเจตนาใช้บัตรเครดิตในทางไม่ชอบ เช่น ให้คนอื่นนำไปซื้อสินค้าราคาแพง อย่างรถยนต์ เป็นการต่างตอบแทน หรือ มีเจตนาทุจริตในการใช้บัตร เพื่อให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งรับเงิน แต่ถ้าเป็น เรื่องหนี้บัตรเครดิต ต้องแจ้งทั้งหมด มันจะเดือดร้อนกันไปหมด เพราะใครๆ ก็มีบัตรเครดิต ใช้แล้วก็จ่ายคืนเป็นปกติ แม้แต่กรรมการป.ป.ช. ก็มี ถ้าเทียบกรณีใกล้ๆ กับเรื่องนี้ก็ คือ กรณีที่นายชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรี ไม่แจ้งว่า มีหุ้นส่วน ในสหกรณ์ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเรื่องนี้ นายชวน ไม่ได้มีเจตนาปกปิด แต่ลืม
น.ส.สมลักษณ์ กล่าวว่า ถ้ามีการนำคำร้องเข้าที่ประชุม ป.ป.ช.ก็ต้องนำมาตีความกันว่าเข้าลักษณะการปกปิดหนี้สินเบิกเกินบัญชีหรือไม่ แต่ส่วนตัวแล้ว เห็นว่าต้องมองเจตนา ว่ามีความทุจริตหรือไม่เท่านั้น และเมื่อได้ผลการพิจารณา จึงจะแจ้งให้ผู้ร้อง คือ นายเรืองไกร ทราบอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งที่สำคัญคือ เราต้องพิจารณาประเด็นที่ว่า ในคำร้องมีข้อมูลอะไรเป็นพิเศษ เกี่ยวกับการใช้บัตรเครดิตในทางไม่ชอบหรือไม่ ถ้ามีการตีความว่า การไม่แจ้งหนี้บัตรเครดิต ถือเป็นการปกปิดบัญชีทรัพย์สินในส่วนของหนี้เบิกเกินบัญชี แล้วเกิดมาตรฐานใหม่ มันก็ต้องเป็นไปตามมติที่ประชุม
เมื่อถามว่า ขณะนี้ได้รับหนังสือแจ้งข้อกล่าวหาจากคณะกรรมการ ป.ป.ช. กรณีการออกมติ ครม.สนับสนุนแถลงการณ์ร่วมไทย- กัมพูชา กรณีการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร แล้วหรือยัง นายสมชาย กล่าวตัดบทว่า วันนี้วันอาทิตย์ ไปพักผ่อนก่อน จากนั้นรีบหันหลังเดินเข้าบ้านพักทันที
**หนี้บัตรเครดิตส.ส.ยังไม่เข้าที่ประชุม
น.ส.สมลักษณ์จัดกระบวนพล กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ( ป.ป.ช.) กล่าวถึงกรณีที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา ยื่นเรื่องให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบส.ส.ร่วม 200 คน ที่มีบัตรเครดิต แต่ไม่แจ้งหนี้สินบัตรเครดิตในวันเข้ารับตำแหน่ง ซึ่งอาจถือว่าปกปิดบัญชีทรัพย์สินในเรื่องเงินเบิกเกินบัญชีหรือไม่ว่า หนังสือดังกล่าว ยังไม่เข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดใหญ่ เพียงแต่หยิบยกมาคุยกันบ้าง เพราะเป็นข่าวออกทางสื่อมวลชน คณะกรรมการจึงยังไม่มีข้อสรุปในเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม ในความเห็นส่วนตัว มองว่า กรณีนี้เป็นเรื่องหยุมหยิม ยกเว้นเสียแต่มีเจตนาใช้บัตรเครดิตในทางไม่ชอบ เช่น ให้คนอื่นนำไปซื้อสินค้าราคาแพง อย่างรถยนต์ เป็นการต่างตอบแทน หรือ มีเจตนาทุจริตในการใช้บัตร เพื่อให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งรับเงิน แต่ถ้าเป็น เรื่องหนี้บัตรเครดิต ต้องแจ้งทั้งหมด มันจะเดือดร้อนกันไปหมด เพราะใครๆ ก็มีบัตรเครดิต ใช้แล้วก็จ่ายคืนเป็นปกติ แม้แต่กรรมการป.ป.ช. ก็มี ถ้าเทียบกรณีใกล้ๆ กับเรื่องนี้ก็ คือ กรณีที่นายชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรี ไม่แจ้งว่า มีหุ้นส่วน ในสหกรณ์ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเรื่องนี้ นายชวน ไม่ได้มีเจตนาปกปิด แต่ลืม
น.ส.สมลักษณ์ กล่าวว่า ถ้ามีการนำคำร้องเข้าที่ประชุม ป.ป.ช.ก็ต้องนำมาตีความกันว่าเข้าลักษณะการปกปิดหนี้สินเบิกเกินบัญชีหรือไม่ แต่ส่วนตัวแล้ว เห็นว่าต้องมองเจตนา ว่ามีความทุจริตหรือไม่เท่านั้น และเมื่อได้ผลการพิจารณา จึงจะแจ้งให้ผู้ร้อง คือ นายเรืองไกร ทราบอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งที่สำคัญคือ เราต้องพิจารณาประเด็นที่ว่า ในคำร้องมีข้อมูลอะไรเป็นพิเศษ เกี่ยวกับการใช้บัตรเครดิตในทางไม่ชอบหรือไม่ ถ้ามีการตีความว่า การไม่แจ้งหนี้บัตรเครดิต ถือเป็นการปกปิดบัญชีทรัพย์สินในส่วนของหนี้เบิกเกินบัญชี แล้วเกิดมาตรฐานใหม่ มันก็ต้องเป็นไปตามมติที่ประชุม