นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา แถลงว่า ได้ยื่นเรื่องเพิ่มเติมให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)ให้ตรวจสอบการแจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของนายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ว่า กระทำขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 263 หรือไม่ เนื่องจากตรวจสอบพบ ในเอกสาร บมจ.5 ของกระทรวงพาณิชย์ว่า นายจักภพถือหุ้นในบริษัท เพื่อนพ้องน้องพี่ จำกัด รวมมูลค่า 10 ล้านบาทและใน บริษัท พีทีวี ทีวีเพื่อประชาชนอีก 1 ล้านบาท แต่ได้โอนหุ้นทั้งหมดไปเมื่อวันที่15 ม.ค. 2551 นายจักรภพน่าจะมีทรัพย์สินจาก การโอนหุ้นรวมประมาณ 11 ล้านบาท แต่จากการตรวจสอบการยื่นบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช.เมื่อวันที่ 6 ก.พ. 2551 กลับระบุว่า มีทรัพย์สินรวมสุทธิ 8.46 ล้านบาท ซึ่งเห็นว่าตัวเลขทรัพย์สินดังกล่าวแตกต่างกันสมควร จึงได้ส่งเรื่องให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบและ ถ้ามีมูลให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยต่อไป ถึงแม้นายจักรภพจะพ้นตำแหน่งไปแล้วก็ต้องยื่นทรัพย์สินหลังพ้นตำแหน่ง
นายเรืองไกร กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ยังส่งเรื่องให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)ตรวจสอบกรณีสมาชิกภาพของ ส.ส.สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 106 (6) หรือไม่เนื่องจากคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่แต่งตั้งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฏร (วิปรัฐบาล) จำนวน 56 คน มีอำนาจหน้าที่ตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมายและสามารถเบิกเลี้ยงหรือเบี้ยประชุมได้ เพราะศาลรัฐธรรมนูญ เคยมีคำวินิจฉัยที่ 10/2551 ว่า ส.ส.ในฐานะฝ่ายนิติบัญญัติจะไปมีตำแหน่ง ในฝ่ายบริหารและฝ่ายตุลาการไม่ได้ ซึ่งวิปรัฐบาลจะเข้าข่ายลักษณะนี้หรือไม่ เพราะดูคำสั่งสำนักนายกฯก็ได้ให้อำนาจหน้าที่ตาม ครม.มอบหมาย โดยให้เบิกจ่ายเบี้ยประชุมและเบี้ยเลี้ยงจากสำนักนายกฯจึงน่าจะขัดรัฐธรรมนูญฯมาตรา 265 วรรค 2 แต่ความเห็นของตนและนายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เห็นไม่ตรงกันจึงส่งให้ กกต.พิจารณาเพื่อหาข้อยุติ ถือเป็นประเด็นที่มีความขัดแย้ง ส.สงสามารถเข้าชื่อจำนวน 1 ใน 10 ยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย
ผู้สื่อข่าวถามว่าที่ผ่านมามีระเบียบปฏิบัติตั้งวิปรัฐบาลแบบนี้ก็มีปัญหาใช่ หรือไม่ นายเรืองไกร กล่าวว่า การทำงานของวิปรัฐบาลก็ทำได้เพียงการประสานงานกันเท่านั้นต้องไม่รับเบี้ยประชุม ซึ่งถ้า กกต.วินิจฉัยว่า ผิดก็จะทำให้ ส.ส.56 คนสิ้นสมาชิกสภาพตามรัฐธรรมนูญมาตรา 106(6)
ผู้สื่อข่าวถามว่าตอนนี้ยังถูกคุกคามหรือไม่ นายเรืองไกร กล่าวว่า ก็ระวังตัวมากขึ้น จะเปิดตู้จดหมายก็ต้องระวัง ขึ้นรถต้องหันซ้ายหันขวา และไม่ไปในที่อโคจร กลางค่ำกลางคืนก็ไม่เดินทางไปไหน
นายเรืองไกร กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ยังส่งเรื่องให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)ตรวจสอบกรณีสมาชิกภาพของ ส.ส.สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 106 (6) หรือไม่เนื่องจากคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่แต่งตั้งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฏร (วิปรัฐบาล) จำนวน 56 คน มีอำนาจหน้าที่ตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมายและสามารถเบิกเลี้ยงหรือเบี้ยประชุมได้ เพราะศาลรัฐธรรมนูญ เคยมีคำวินิจฉัยที่ 10/2551 ว่า ส.ส.ในฐานะฝ่ายนิติบัญญัติจะไปมีตำแหน่ง ในฝ่ายบริหารและฝ่ายตุลาการไม่ได้ ซึ่งวิปรัฐบาลจะเข้าข่ายลักษณะนี้หรือไม่ เพราะดูคำสั่งสำนักนายกฯก็ได้ให้อำนาจหน้าที่ตาม ครม.มอบหมาย โดยให้เบิกจ่ายเบี้ยประชุมและเบี้ยเลี้ยงจากสำนักนายกฯจึงน่าจะขัดรัฐธรรมนูญฯมาตรา 265 วรรค 2 แต่ความเห็นของตนและนายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เห็นไม่ตรงกันจึงส่งให้ กกต.พิจารณาเพื่อหาข้อยุติ ถือเป็นประเด็นที่มีความขัดแย้ง ส.สงสามารถเข้าชื่อจำนวน 1 ใน 10 ยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย
ผู้สื่อข่าวถามว่าที่ผ่านมามีระเบียบปฏิบัติตั้งวิปรัฐบาลแบบนี้ก็มีปัญหาใช่ หรือไม่ นายเรืองไกร กล่าวว่า การทำงานของวิปรัฐบาลก็ทำได้เพียงการประสานงานกันเท่านั้นต้องไม่รับเบี้ยประชุม ซึ่งถ้า กกต.วินิจฉัยว่า ผิดก็จะทำให้ ส.ส.56 คนสิ้นสมาชิกสภาพตามรัฐธรรมนูญมาตรา 106(6)
ผู้สื่อข่าวถามว่าตอนนี้ยังถูกคุกคามหรือไม่ นายเรืองไกร กล่าวว่า ก็ระวังตัวมากขึ้น จะเปิดตู้จดหมายก็ต้องระวัง ขึ้นรถต้องหันซ้ายหันขวา และไม่ไปในที่อโคจร กลางค่ำกลางคืนก็ไม่เดินทางไปไหน