“เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ” ย้ำต้องการตรวจที่มาของเงิน “แก๊ง 3 กลม” ชี้สงสัยเมื่อขายหุ้นแล้วเงินไปไหน ยังไม่มีการชี้แจง ส่วนการขุดคุ้ยทรัพย์สิน “วรวัจน์ เอื้ออภิญญากุล” ก็แค่สงสัยเรื่องหนี้สินที่อ้างว่า เป็นของบริษัทที่ปิดกิจการ แต่ทำไมหนี้เป็นของบุคคล ไม่ใช่ของบริษัท ย้ำที่ตรวจสอบทั้งหมด แค่ต้องการข้อเท็จจริง
วันนี้ (9 ส.ค.) นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา ซึ่งออกมาเปิดเผยว่า ได้ตรวจสอบทรัพย์สินของอดีตแกนนำ นปก.พบว่า นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคพลังประชาชน และนายวีระ มุสิกพงศ์ ถือหุ้นในบริษัท เพื่อนพ้องน้องพี่ คนละ 10 ล้านบาท ยอมรับว่าข้อมูลที่ออกมาพูดเป็นข้อมูลเก่าตั้งแต่ปี 2550 ตามที่นายจตุพรออกมาระบุจริง
“แต่สิ่งที่ผมตรวจสอบ คือ ที่มาของเงินที่นำมาซื้อหุ้น และเมื่อขายหุ้นแล้ว เงินทั้งหมดไปไหน ซึ่งเรื่องนี้ยังไม่ได้รับการชี้แจง การตรวจบัญชีทรัพย์สินหนี้สินมากขึ้น หรือน้อยลงผิดปกติ ก็เป็นเหตุที่สงสัยได้ เหมือนนักการเมืองคนหนึ่งในอดีตที่แจ้งว่า มีหนี้สิน 45 ล้านบาท แต่พอตรวจสอบแล้วไม่พบ ก็ต้องถูกเว้นวรรคเป็นเวลา 5 ปี ดังนั้น ถ้าไม่ผิดก็ไม่ต้องกลัว ชี้แจงให้เต็มที่” นายเรืองไกร กล่าว
ส่วนกรณีที่มีการระบุว่า การตรวจสอบทรัพย์สินนายวรวัจน์ เอื้ออภิญญากุล ส.ส.แพร่ พรรคพลังประชาชน ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2552 เพราะนายวรวัจน์ตัดงบประมาณของวุฒิสภา นายเรืองไกร ยืนยันว่า การตรวจสอบไม่เกี่ยวกับเรื่องงบประมาณ เพียงแต่สงสัยว่า การอ้างว่าเป็นหนี้บริษัทที่ปิดกิจการแล้ว เป็นของเดิม ทำไมหนี้ถึงมาเป็นชื่อของบุคคล ไม่เป็นของบริษัท
“ถ้ามีข้อมูลที่อยากให้ประชาชนได้รับรู้ ก็เอามาชี้แจง ผมยินดีจะตรวจสอบให้ โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย แม้แต่บาทเดียว แต่ต้องให้ตรวจสอบแบบแสดงรายการเสียภาษีด้วย และขอย้ำว่า การตรวจสอบไม่ได้หมายความว่าทุกคนผิด แต่ต้องการตรวจสอบข้อเท็จจริง” นายเรืองไกร กล่าว
วันนี้ (9 ส.ค.) นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา ซึ่งออกมาเปิดเผยว่า ได้ตรวจสอบทรัพย์สินของอดีตแกนนำ นปก.พบว่า นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคพลังประชาชน และนายวีระ มุสิกพงศ์ ถือหุ้นในบริษัท เพื่อนพ้องน้องพี่ คนละ 10 ล้านบาท ยอมรับว่าข้อมูลที่ออกมาพูดเป็นข้อมูลเก่าตั้งแต่ปี 2550 ตามที่นายจตุพรออกมาระบุจริง
“แต่สิ่งที่ผมตรวจสอบ คือ ที่มาของเงินที่นำมาซื้อหุ้น และเมื่อขายหุ้นแล้ว เงินทั้งหมดไปไหน ซึ่งเรื่องนี้ยังไม่ได้รับการชี้แจง การตรวจบัญชีทรัพย์สินหนี้สินมากขึ้น หรือน้อยลงผิดปกติ ก็เป็นเหตุที่สงสัยได้ เหมือนนักการเมืองคนหนึ่งในอดีตที่แจ้งว่า มีหนี้สิน 45 ล้านบาท แต่พอตรวจสอบแล้วไม่พบ ก็ต้องถูกเว้นวรรคเป็นเวลา 5 ปี ดังนั้น ถ้าไม่ผิดก็ไม่ต้องกลัว ชี้แจงให้เต็มที่” นายเรืองไกร กล่าว
ส่วนกรณีที่มีการระบุว่า การตรวจสอบทรัพย์สินนายวรวัจน์ เอื้ออภิญญากุล ส.ส.แพร่ พรรคพลังประชาชน ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2552 เพราะนายวรวัจน์ตัดงบประมาณของวุฒิสภา นายเรืองไกร ยืนยันว่า การตรวจสอบไม่เกี่ยวกับเรื่องงบประมาณ เพียงแต่สงสัยว่า การอ้างว่าเป็นหนี้บริษัทที่ปิดกิจการแล้ว เป็นของเดิม ทำไมหนี้ถึงมาเป็นชื่อของบุคคล ไม่เป็นของบริษัท
“ถ้ามีข้อมูลที่อยากให้ประชาชนได้รับรู้ ก็เอามาชี้แจง ผมยินดีจะตรวจสอบให้ โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย แม้แต่บาทเดียว แต่ต้องให้ตรวจสอบแบบแสดงรายการเสียภาษีด้วย และขอย้ำว่า การตรวจสอบไม่ได้หมายความว่าทุกคนผิด แต่ต้องการตรวจสอบข้อเท็จจริง” นายเรืองไกร กล่าว
