กลุ่มผู้ถือหุ้นรายย่อย บมจ.อสมท เตรียมประชุมด่วน กรณี บอร์ด อสมท ปลดวสันต์ อ้างสร้างความเสียหายต่อผู้ถือหุ้น ผิดจริยธรรม ขาดธรรมาภิบาล พร้อมเตรียมยื่นหนังสือถึงประธานบอร์ด เพื่อคัดค้านมติดังกล่าว เผยบอร์ดกำลังฟื้น อสมท กลับสู่แดนสนธยา อีกครั้ง
นายพิเชียร อำนาจวรประเสริฐ ตัวแทนกลุ่มผู้ถือหุ้นรายย่อย บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) จำกัด เปิดเผยกับ “ผู้จัดการรายวัน” เกี่ยวกับกรณีที่ บอร์ด อสมท มีมติให้ปลดนายวสันต์ ภัยหลีกลี้ ออกจากกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ อสมท โดยใช้แนวทางที่เรียกว่า “ยุติบทบาท” ภายใน 30 วันนับตั้งแต่วันที่ 13 พ.ย. 2551 ว่า การปลดนายวสันต์ ครั้งนี้ไม่ถูกต้องและไม่เหมาะสมก่อให้เกิดความเสียหายต่อ อสมท อย่างมาก รวมทั้งเป็นการบีบนายวสันต์อย่างชัดเจนที่ไม่สามารถทนต่อแรงเสียดทานทางการเมืองได้
โดยเร็วๆนี้ จะมีการประชุมของกลุ่มผู้ถือหุ้นรายย่อยเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพื่อเตรียมทำหนังสือยื่นถึงประธานบอร์ด อสมท ขอคัดค้านการกระทำผ่านมติดังกล่าว
“ มันก็เร็วมาก เพราะนายวสันต์เพิ่งบริหารงานได้แค่ปีเศษ ยังเหลือเวลาอีกเกือบ 2 ปีกว่าจึงจะครบเทอม ผลงานก็มีให้เห็น มองว่าบอร์ดชุดนี้เข้ามา เหมือนกับได้รับคำสั่งจาก การเมืองเพื่อให้มาเล่นงานหรือปลดนายวสันต์ อยู่แล้ว สังเกตได้จากว่า ตั้งแต่บอร์ดชุดนี้เข้ามา หรือตั้งแต่ยุคที่นายจักรภพ เพ็ญแข เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายก
รัฐมนตรีที่กำกับดูแล อสมท ก็หาทางเล่นงานนายวสันต์มาโดยตลอด ซึ่งพวกเราก็ไม่เห็นด้วยตั้งแต่แรกแล้วที่บอร์ดชุดนี้เข้ามากำกับดูแล เพราะมีปัญหามาตลอด” นายพิเชียรกล่าว
เหตุผลของบอร์ดที่ระบุว่า การทำงานของนายวสันต์กับบอร์ดมีความแตกต่างกันทั้งสไตล์การทำงานและแนวทาง ซึ่งเหตุผลแค่นี้ฟังไม่ขึ้น จริงๆคนที่ควรถูกตำหนิน่าจะเป็นบอร์ด อสมท มากกว่าแล้ว ถ้าหากจะเปลี่ยน อสมท ให้ดีขึ้น ผมว่าต้องเปลี่ยนบอร์ดน่าจะดีกว่า เพราะว่าช่วงเวลาปีเศษที่นายวสันต์ทำงานมาถือได้ว่าทำหน้าที่ได้ดีแล้ว พยายามป้องกันไม่ให้การเมืองเข้ามาแทรกแซง มีหลักการชัดเจน ไม่เหมือน กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ในอดีตบางคนที่เป็นคนมาจากฟากการเมือง สนองงานจนได้อยู่ครบเทอม 4 ปี
ทั้งนี้บอร์ด อสมท ชุดนี้ กำลังทำผิดหน้าที่และจริยธรรม รวมทั้งขาดธรรมาภิบาลอย่างยิ่งเพราะว่า บอร์ด อสมท ต้องดูแลผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้น และสาธารณะ และตอบสนองต่อผู้บริโภคประชาชน แต่กลับกระทำเหมือนขัดต่อผลประโยชน์ผู้ถือหุ้น ซึ่งบอร์ดชุดนี้ต้องรับผิดชอบการกระทำที่เกิดขึ้นด้วย
“เราไม่ต้องการให้ อสมท เป็นเหมือนกับ ช่อง 11 ที่วันนี้เปลี่ยนมาเป็นเอ็นบีทีแล้ว เป็นกระบอกเสียงของภาครัฐ เป็นสื่อที่โฆษณาชวนเชื่อของรัฐและพรรคการเมืองอย่างไม่ชอบธรรม อสมท วันนี้กำลังจะกลับคืนไปสู่สภาพเดิมเป็นแดนสนธยา อีกครั้ง ด้วยฝีมือของบอร์ดชุดนี้ ทั้งๆที่ได้ข้ามจุดนั้นไปแล้ว” นายพิเชียรกล่าว
อย่างไรก็ตาม ภาระกิจที่สำคัญของบอร์ดมีมากหว่านี้ ไม่ใช่แค่จะมานั่งจ้องปลดนายวสันต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องของสัมปทานกับภาคเอกชน คือ ยูบีซีและช่อง 3 ซึ่งก่อนหน้านี้ บอร์ด อสมท ก็ออกมาให้ข่าวใหญ่โตว่าจะจัดการทุกอย่าง แต่เรื่องก็เงียบหายไป
โดยในส่วนของช่อง 3 ที่เตรียมแผนงานจะเปิดช่องใหม่ขยายอีก 2-3 ช่อง ปีหน้านั้น ทำได้หรือไม่ได้อย่างไรและต้องให้ผลตอบแทน อสมท เพิ่มขึ้นมากน้อยอย่างไร หรือกรณีของ ทรูวิชั่นส์ยูบีซี ที่มีการโฆษณาหารายได้เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ก่อนหน้านี้ไม่สามารถโฆษณาได้ มีการเจรจาคืบหน้าอย่างไรบ้าง เพราะ อสมท เสียประโยชน์อย่าง
มาก
ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ล่าสุดทางทรูวิชั่นส์ออกมายืนยันหนักแน่นว่า จะไม่ให้ผลตอบแทนรายได้สัมปทานเพิ่มกับ อสมท เพราะถือว่าผลประโยชน์เดิมก็เป็นเงินจำนวนมากแล้ว
นายพิเชียร อำนาจวรประเสริฐ ตัวแทนกลุ่มผู้ถือหุ้นรายย่อย บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) จำกัด เปิดเผยกับ “ผู้จัดการรายวัน” เกี่ยวกับกรณีที่ บอร์ด อสมท มีมติให้ปลดนายวสันต์ ภัยหลีกลี้ ออกจากกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ อสมท โดยใช้แนวทางที่เรียกว่า “ยุติบทบาท” ภายใน 30 วันนับตั้งแต่วันที่ 13 พ.ย. 2551 ว่า การปลดนายวสันต์ ครั้งนี้ไม่ถูกต้องและไม่เหมาะสมก่อให้เกิดความเสียหายต่อ อสมท อย่างมาก รวมทั้งเป็นการบีบนายวสันต์อย่างชัดเจนที่ไม่สามารถทนต่อแรงเสียดทานทางการเมืองได้
โดยเร็วๆนี้ จะมีการประชุมของกลุ่มผู้ถือหุ้นรายย่อยเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพื่อเตรียมทำหนังสือยื่นถึงประธานบอร์ด อสมท ขอคัดค้านการกระทำผ่านมติดังกล่าว
“ มันก็เร็วมาก เพราะนายวสันต์เพิ่งบริหารงานได้แค่ปีเศษ ยังเหลือเวลาอีกเกือบ 2 ปีกว่าจึงจะครบเทอม ผลงานก็มีให้เห็น มองว่าบอร์ดชุดนี้เข้ามา เหมือนกับได้รับคำสั่งจาก การเมืองเพื่อให้มาเล่นงานหรือปลดนายวสันต์ อยู่แล้ว สังเกตได้จากว่า ตั้งแต่บอร์ดชุดนี้เข้ามา หรือตั้งแต่ยุคที่นายจักรภพ เพ็ญแข เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายก
รัฐมนตรีที่กำกับดูแล อสมท ก็หาทางเล่นงานนายวสันต์มาโดยตลอด ซึ่งพวกเราก็ไม่เห็นด้วยตั้งแต่แรกแล้วที่บอร์ดชุดนี้เข้ามากำกับดูแล เพราะมีปัญหามาตลอด” นายพิเชียรกล่าว
เหตุผลของบอร์ดที่ระบุว่า การทำงานของนายวสันต์กับบอร์ดมีความแตกต่างกันทั้งสไตล์การทำงานและแนวทาง ซึ่งเหตุผลแค่นี้ฟังไม่ขึ้น จริงๆคนที่ควรถูกตำหนิน่าจะเป็นบอร์ด อสมท มากกว่าแล้ว ถ้าหากจะเปลี่ยน อสมท ให้ดีขึ้น ผมว่าต้องเปลี่ยนบอร์ดน่าจะดีกว่า เพราะว่าช่วงเวลาปีเศษที่นายวสันต์ทำงานมาถือได้ว่าทำหน้าที่ได้ดีแล้ว พยายามป้องกันไม่ให้การเมืองเข้ามาแทรกแซง มีหลักการชัดเจน ไม่เหมือน กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ในอดีตบางคนที่เป็นคนมาจากฟากการเมือง สนองงานจนได้อยู่ครบเทอม 4 ปี
ทั้งนี้บอร์ด อสมท ชุดนี้ กำลังทำผิดหน้าที่และจริยธรรม รวมทั้งขาดธรรมาภิบาลอย่างยิ่งเพราะว่า บอร์ด อสมท ต้องดูแลผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้น และสาธารณะ และตอบสนองต่อผู้บริโภคประชาชน แต่กลับกระทำเหมือนขัดต่อผลประโยชน์ผู้ถือหุ้น ซึ่งบอร์ดชุดนี้ต้องรับผิดชอบการกระทำที่เกิดขึ้นด้วย
“เราไม่ต้องการให้ อสมท เป็นเหมือนกับ ช่อง 11 ที่วันนี้เปลี่ยนมาเป็นเอ็นบีทีแล้ว เป็นกระบอกเสียงของภาครัฐ เป็นสื่อที่โฆษณาชวนเชื่อของรัฐและพรรคการเมืองอย่างไม่ชอบธรรม อสมท วันนี้กำลังจะกลับคืนไปสู่สภาพเดิมเป็นแดนสนธยา อีกครั้ง ด้วยฝีมือของบอร์ดชุดนี้ ทั้งๆที่ได้ข้ามจุดนั้นไปแล้ว” นายพิเชียรกล่าว
อย่างไรก็ตาม ภาระกิจที่สำคัญของบอร์ดมีมากหว่านี้ ไม่ใช่แค่จะมานั่งจ้องปลดนายวสันต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องของสัมปทานกับภาคเอกชน คือ ยูบีซีและช่อง 3 ซึ่งก่อนหน้านี้ บอร์ด อสมท ก็ออกมาให้ข่าวใหญ่โตว่าจะจัดการทุกอย่าง แต่เรื่องก็เงียบหายไป
โดยในส่วนของช่อง 3 ที่เตรียมแผนงานจะเปิดช่องใหม่ขยายอีก 2-3 ช่อง ปีหน้านั้น ทำได้หรือไม่ได้อย่างไรและต้องให้ผลตอบแทน อสมท เพิ่มขึ้นมากน้อยอย่างไร หรือกรณีของ ทรูวิชั่นส์ยูบีซี ที่มีการโฆษณาหารายได้เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ก่อนหน้านี้ไม่สามารถโฆษณาได้ มีการเจรจาคืบหน้าอย่างไรบ้าง เพราะ อสมท เสียประโยชน์อย่าง
มาก
ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ล่าสุดทางทรูวิชั่นส์ออกมายืนยันหนักแน่นว่า จะไม่ให้ผลตอบแทนรายได้สัมปทานเพิ่มกับ อสมท เพราะถือว่าผลประโยชน์เดิมก็เป็นเงินจำนวนมากแล้ว