กพช.เคาะหลักการขึ้นแอลพีจีภาคขนส่งและอุตสาหกรรมเว้นปิโตรเคมีด้วยการรีดเงินผ่านกองทุนน้ำมัน 6 บาทต่อ กก.หรือ 3.20 บาทต่อลิตร หวังหยุดการนำเข้า ชี้ทยอยขึ้นทีละ 2 บาทต่อ กก.หรือ 1 บาทต่อลิตร ติดต่อกัน 3 เดือน ลดผลกระทบแอลพีจีภาคครัวเรือนและปิโตรฯ ไม่เปลี่ยนแปลงถึงสิ้น ม.ค. ก่อนให้ กบง.เคาะอีกครั้ง แย้มถกสัปดาห์หน้า พร้อมดึงเงินกองทุนน้ำมันฯ อุ้มนำเข้ารถอี85
น.พ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รมว.พลังงาน เปิดเผยหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่มีนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ต่างประเทศ เป็นประธานวานนี้ (13 พ.ย.) ว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบในหลักการแนวทางปรับราคาก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) สำหรับภาคขนส่งและอุตสาหกรรมยกเว้นปิโตรเคมีผ่านการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเพื่อชดเชยภาระการนำเข้าจำนวน 6 บาทต่อกิโลกรัม (กก.) หรือ 3.20 บาทต่อลิตร แต่เพื่อลดผลกระทบให้พิจารณาทยอยจัดเก็บเดือนละ 2 บาทต่อ กก. หรือ 1 บาทต่อลิตรติดต่อเป็นเวลา 3 เดือน โดยราคาแอลพีจีครัวเรือนไม่เปลี่ยนแปลงจนถึงสิ้น ม.ค.52 ดังนั้นคาดว่า กบง.จะเรียกประชุมให้เร็วที่สุดเพื่ออนุมัติปรับขึ้นซึ่งน่าจะเป็นช่วงสัปดาห์หน้า
ทั้งนี้ การกำหนดราคาที่ปรับขึ้น 6 บาทต่อ กก.มาจากฐานประเมินว่าราคาแอลพีจี ปีหน้า จะอยู่ที่ประมาณ 700 ดอลลาร์ฯ ต่อตัน และราคาสมมติฐานน้ำมันดิบประมาณ 70-80 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน จึงทำให้ส่วนต่างดังกล่าวที่ต้องชดเชยคือ 6 บาทต่อ กก.จึงเป็นเหตุผลที่จะต้องปรับขึ้นในอัตรานี้เพราะตั้งแต่ เม.ย.มา ปตท.ต้องนำเข้ามาเพราะการใช้เกินกว่าการผลิตซึ่ง ต.ค. ปตท.นำเข้าแล้ว 7,422 ล้านบาท ซึ่งเงินที่ขึ้นเดือนละ 2 บาทต่อ กก. จะนำไปจ่าย ปตท.ในการนำเข้าล็อต พ.ย.เป็นต้นไปและคาดว่า เม.ย.52 กองทุนฯก็ไม่มีภาระจะสามารนำเงินที่ขึ้นมาทยอยจ่ายหนี้ปตท.ตั้งแต่พ.ค.52 จนหมดในพ.ย. 53
นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้กำหนดมาตรการดูแลช่วยเหลือผู้ขับขี่รถแท็กซี่ที่ใช้แอลพีจีหันมาเปลี่ยน NGV จำนวน 2 หมื่นคันในระยะเวลา 4 เดือน โดยแท็กซี่ใหม่จะได้รับการสนับสนุนเงิน 4 หมื่นบาทต่อคันในการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ ขณะที่แท็กซี่เก่าจะได้รับสนับสนุนเช่นเดียวกันพร้อมทั้งกองทุนน้ำมันจะรับซื้ออุปกรณ์แอลพีจีเก่าคืนในราคาชุดละ 3,000 บาท พร้อมทั้งตั้งคณะทำงานขึ้นมา 5 ชุดในการดูแลและกำกับไม่ให้ใช้แอลพีจีผิดประเภท การลักลอบไปประเทศเพื่อนบ้าน เป็นต้น
กพช.ครั้งนี้ยังอนุมัติแผนการส่งเสริมแก๊สโซฮอล์อี 85 เพื่อส่งเสริมการใช้เอทานอลเป็นวาระแห่งชาติ โดยเห็นชอบหลักการที่จะให้มีการนำเข้าและประกอบรถที่จะใช้อี 85 ได้คือ FFV (Flex Fuel Vehicle) ดังนี้ ระยะที่ 1. (2551-2552 ) รถยนต์เล็กกว่า 2,000 ซีซี ลดภาษีอากรนำเข้าจากอัตราปกติ 80% เหลือ 60% ภาษีสรรพสามิตเก็บปกติ 25% แต่กพช.อนุมัติให้กองทุนน้ำมันฯ ช่วยสนับสนุนลดหย่อนภาษีสรรพสามิต 3% หรือเท่ากับการจ่ายภาษีสรรพสามิตจริง 22% ส่วนรถยนต์ขนาด 2,000-2,500 ซีซี ภาษีนำเข้าจาก 80% เหลือ 60% ภาษีสรรพสามิตปกติ 30% ใช้เงินกองทุนฯมาช่วยสนับสนุน3% เท่ากับจะทำให้ภาษีสรรพสามิตลดเหลือ 27% แต่ทั้งหมดคลังไม่ได้เสียรายได้แต่อย่างใด
ระยะที่ 2 (ช่วงปี 2553 เป็นต้นไป) ให้เก็บอากรนำเข้าปกติและหลังจากนั้นให้ทบทวนภาษีสรรพสามิตรถยนต์อี 85 ใหม่อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งมาตรการดังกล่าวจะลดการนำเข้าน้ำมันถึง 3.8 แสนล้านบาท สามารถมูลค่าเพิ่มภาคอุตสาหกรรม อีกกว่า 6 หมื่นล้านบาทรวมผลตอบแทนเชิงเศรษฐกิจถึง 4.4 แสนล้านบาท ขณะเดียวกันยังสามารถรักษาเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตรและการลดภาวะเรือนกระจก
“กพช.ยังได้พิจารณาจัดเก็บเงินกองทุนส่งเสริมเพื่อการอนุรักษ์พลังงานจากไบโอดีเซลบี 2 เพิ่มอีก 50 สตางค์/ลิตร เพื่อให้ส่วนต่างของบี 2 และบี 5 เพิ่มเป็น 1.50 บาท ทำให้เกิดแรงจูงใจใช้ บี 5 เพิ่มขึ้น แก้ปัญหาปาล์มล้นตลาดได้ส่วนหนึ่ง”รมว.พลังงานกล่าว
นายเมตตา บันเทิงสุข อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน กล่าวว่า กรณีการใช้แอลพีจีผิดประเภท คือ ลักลอบนำก๊าซครัวเรือนไปใช้ในขนส่งหรืออุตสาหกรรม ในปัจจุบันถือเป็นการดำเนินที่ผิดกฎหมายว่าด้วยคำสั่งนายกรัฐมนตรี ฉบับที่ 4/2547 เรื่องการแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนปิโตรเลียมที่มีโทษจำคุก 10 ปี หรือปรับ 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่ปัจจุบันไม่ได้มีการเข้มงวดการดำเนินการดังกล่าว แต่หลังจากเกิดโครงสร้าง 2 ราคา เพื่อป้องกันการลักลอบทางเจ้าหน้าที่จะดำเนินการตามกฎหมาย เริ่มแรกจะประชาสัมพันธ์และตักเตือน หากพบทำผิดจะมีการจับกุม กรอบระยะเวลาจะเป็นเมื่อใดทาง กบง.จะเป็นผู้กำหนด.
น.พ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รมว.พลังงาน เปิดเผยหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่มีนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ต่างประเทศ เป็นประธานวานนี้ (13 พ.ย.) ว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบในหลักการแนวทางปรับราคาก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) สำหรับภาคขนส่งและอุตสาหกรรมยกเว้นปิโตรเคมีผ่านการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเพื่อชดเชยภาระการนำเข้าจำนวน 6 บาทต่อกิโลกรัม (กก.) หรือ 3.20 บาทต่อลิตร แต่เพื่อลดผลกระทบให้พิจารณาทยอยจัดเก็บเดือนละ 2 บาทต่อ กก. หรือ 1 บาทต่อลิตรติดต่อเป็นเวลา 3 เดือน โดยราคาแอลพีจีครัวเรือนไม่เปลี่ยนแปลงจนถึงสิ้น ม.ค.52 ดังนั้นคาดว่า กบง.จะเรียกประชุมให้เร็วที่สุดเพื่ออนุมัติปรับขึ้นซึ่งน่าจะเป็นช่วงสัปดาห์หน้า
ทั้งนี้ การกำหนดราคาที่ปรับขึ้น 6 บาทต่อ กก.มาจากฐานประเมินว่าราคาแอลพีจี ปีหน้า จะอยู่ที่ประมาณ 700 ดอลลาร์ฯ ต่อตัน และราคาสมมติฐานน้ำมันดิบประมาณ 70-80 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน จึงทำให้ส่วนต่างดังกล่าวที่ต้องชดเชยคือ 6 บาทต่อ กก.จึงเป็นเหตุผลที่จะต้องปรับขึ้นในอัตรานี้เพราะตั้งแต่ เม.ย.มา ปตท.ต้องนำเข้ามาเพราะการใช้เกินกว่าการผลิตซึ่ง ต.ค. ปตท.นำเข้าแล้ว 7,422 ล้านบาท ซึ่งเงินที่ขึ้นเดือนละ 2 บาทต่อ กก. จะนำไปจ่าย ปตท.ในการนำเข้าล็อต พ.ย.เป็นต้นไปและคาดว่า เม.ย.52 กองทุนฯก็ไม่มีภาระจะสามารนำเงินที่ขึ้นมาทยอยจ่ายหนี้ปตท.ตั้งแต่พ.ค.52 จนหมดในพ.ย. 53
นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้กำหนดมาตรการดูแลช่วยเหลือผู้ขับขี่รถแท็กซี่ที่ใช้แอลพีจีหันมาเปลี่ยน NGV จำนวน 2 หมื่นคันในระยะเวลา 4 เดือน โดยแท็กซี่ใหม่จะได้รับการสนับสนุนเงิน 4 หมื่นบาทต่อคันในการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ ขณะที่แท็กซี่เก่าจะได้รับสนับสนุนเช่นเดียวกันพร้อมทั้งกองทุนน้ำมันจะรับซื้ออุปกรณ์แอลพีจีเก่าคืนในราคาชุดละ 3,000 บาท พร้อมทั้งตั้งคณะทำงานขึ้นมา 5 ชุดในการดูแลและกำกับไม่ให้ใช้แอลพีจีผิดประเภท การลักลอบไปประเทศเพื่อนบ้าน เป็นต้น
กพช.ครั้งนี้ยังอนุมัติแผนการส่งเสริมแก๊สโซฮอล์อี 85 เพื่อส่งเสริมการใช้เอทานอลเป็นวาระแห่งชาติ โดยเห็นชอบหลักการที่จะให้มีการนำเข้าและประกอบรถที่จะใช้อี 85 ได้คือ FFV (Flex Fuel Vehicle) ดังนี้ ระยะที่ 1. (2551-2552 ) รถยนต์เล็กกว่า 2,000 ซีซี ลดภาษีอากรนำเข้าจากอัตราปกติ 80% เหลือ 60% ภาษีสรรพสามิตเก็บปกติ 25% แต่กพช.อนุมัติให้กองทุนน้ำมันฯ ช่วยสนับสนุนลดหย่อนภาษีสรรพสามิต 3% หรือเท่ากับการจ่ายภาษีสรรพสามิตจริง 22% ส่วนรถยนต์ขนาด 2,000-2,500 ซีซี ภาษีนำเข้าจาก 80% เหลือ 60% ภาษีสรรพสามิตปกติ 30% ใช้เงินกองทุนฯมาช่วยสนับสนุน3% เท่ากับจะทำให้ภาษีสรรพสามิตลดเหลือ 27% แต่ทั้งหมดคลังไม่ได้เสียรายได้แต่อย่างใด
ระยะที่ 2 (ช่วงปี 2553 เป็นต้นไป) ให้เก็บอากรนำเข้าปกติและหลังจากนั้นให้ทบทวนภาษีสรรพสามิตรถยนต์อี 85 ใหม่อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งมาตรการดังกล่าวจะลดการนำเข้าน้ำมันถึง 3.8 แสนล้านบาท สามารถมูลค่าเพิ่มภาคอุตสาหกรรม อีกกว่า 6 หมื่นล้านบาทรวมผลตอบแทนเชิงเศรษฐกิจถึง 4.4 แสนล้านบาท ขณะเดียวกันยังสามารถรักษาเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตรและการลดภาวะเรือนกระจก
“กพช.ยังได้พิจารณาจัดเก็บเงินกองทุนส่งเสริมเพื่อการอนุรักษ์พลังงานจากไบโอดีเซลบี 2 เพิ่มอีก 50 สตางค์/ลิตร เพื่อให้ส่วนต่างของบี 2 และบี 5 เพิ่มเป็น 1.50 บาท ทำให้เกิดแรงจูงใจใช้ บี 5 เพิ่มขึ้น แก้ปัญหาปาล์มล้นตลาดได้ส่วนหนึ่ง”รมว.พลังงานกล่าว
นายเมตตา บันเทิงสุข อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน กล่าวว่า กรณีการใช้แอลพีจีผิดประเภท คือ ลักลอบนำก๊าซครัวเรือนไปใช้ในขนส่งหรืออุตสาหกรรม ในปัจจุบันถือเป็นการดำเนินที่ผิดกฎหมายว่าด้วยคำสั่งนายกรัฐมนตรี ฉบับที่ 4/2547 เรื่องการแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนปิโตรเลียมที่มีโทษจำคุก 10 ปี หรือปรับ 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่ปัจจุบันไม่ได้มีการเข้มงวดการดำเนินการดังกล่าว แต่หลังจากเกิดโครงสร้าง 2 ราคา เพื่อป้องกันการลักลอบทางเจ้าหน้าที่จะดำเนินการตามกฎหมาย เริ่มแรกจะประชาสัมพันธ์และตักเตือน หากพบทำผิดจะมีการจับกุม กรอบระยะเวลาจะเป็นเมื่อใดทาง กบง.จะเป็นผู้กำหนด.