การให้สัมภาษณ์แก่ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวรอยเตอร์ของคุณทักษิณ ชินวัตร เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2551 ได้แสดงออกถึงอารมณ์ความรู้สึกมากหลาย และเป็นอารมณ์ความรู้สึกคล้ายๆ กับคืนวันที่ 19 กันยายน 2549 คือเต็มไปด้วยความรุ่มร้อน ฉุนเฉียว คับแค้นและพยาบาท
เป็นเรื่องที่น่าเห็นใจและน่าสงสาร เพราะไม่ว่าใครที่ตกอยู่ในสภาพเช่นนั้นก็ย่อมเป็นเช่นนั้น ถึงจะต่างกันบ้างก็ไม่ต่างกันเท่าใดนัก
อารมณ์ความรู้สึกในคืนวันที่ 19 กันยายน 2549 เป็นความรู้สึกของการสูญเสียอำนาจและพลัดที่นาคาที่อยู่ ส่วนอารมณ์ความรู้สึกในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2551 หลังจากอังกฤษห้ามเข้าประเทศ ก็เป็นความรู้สึกของการพลัดที่นาคาที่อยู่ และต้องทิ้งทรัพย์สินที่ได้ลงทุนหรือเก็บรักษาไว้ในอังกฤษ โดยเฉพาะคือการสูญเสียฐานบัญชาการใหม่ในต่างประเทศ
จึงก่อเป็นความรู้สึกว่าถูกต้อนเข้ามุม และเป็นที่มาของวาทกรรมที่ว่า “มันมากไปแล้ว”
ย่อมเป็นธรรมดาของจิตใจที่กระเพื่อมไหวในสถานการณ์เช่นนั้นที่จะต้องระเบิดอารมณ์และความรู้สึกนึกคิด ซึ่งหลายอย่างหลายประการเป็นโทษภัยกับผู้กล่าว และจะกลายเป็นการสร้างกรรมใหม่ปิดหนทางรอดปลอดภัยเพิ่มขึ้นไปอีก
การกล่าวอาฆาตจองเวรและผูกเจ็บผูกจำดังที่ปรากฏในการให้สัมภาษณ์นั้นขอละไว้ไม่กล่าวถึง แต่จะกล่าวถึงเฉพาะในเรื่องซึ่งเห็นว่าจะเป็นอุทาหรณ์สอนใจในทางธรรม
นั่นคือถ้อยคำให้สัมภาษณ์ที่ว่า คุณทักษิณยังมีเวลาอีกนาน ยังสามารถต่อสู้ได้อีกหลายปี เช่นเดียวกับนายเนลสัน แมนเดล่า แห่งแอฟริกาใต้ ที่ต่อสู้กับรัฐบาลผิวขาวนับสิบปี และได้อำนาจรัฐในประเทศแอฟริกาใต้ โดยได้รับการยอมรับนับถือจากทั่วโลก
ความจริง กรณีของคุณทักษิณกับนายเนลสัน แมนเดล่า นั้นเป็นคนละเรื่องเทียบกันไม่ได้ เพราะนายเนลสัน แมนเดล่า ต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพและความเสมอภาคของประชาชาติส่วนใหญ่ของแอฟริกาใต้ซึ่งเป็นคนผิวดำ จากการกดขี่ข่มเหงของคนส่วนน้อยผิวขาว และต่อสู้ด้วยหลักการประชาธิปไตยและกฎหมายอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา ยอมติดคุกเป็นเวลานาน เพื่อพิสูจน์ถึงอุดมการณ์ของตนเอง จนได้รับการยอมรับอย่างจริงใจจากประชาชาติแอฟริกาใต้
ส่วนกรณีของคุณทักษิณดูเหมือนว่าจะตรงกันข้ามกับกรณีของนายเนลสัน แมนเดล่า แต่เอาล่ะในเรื่องของความมุ่งมั่นที่จะใช้การต่อสู้อย่างยาวนานนั้นอาจจะตรงกัน
มันมีช่องว่างระหว่างบรรทัด ที่แม้จะไม่ได้พูดจาตรงๆ แต่ก็พอเข้าใจได้ว่าการพูดในเรื่องนี้หมายให้กระทบถึงคนอื่นที่มีอายุอานามมากกว่า ในทางที่จะเข้าใจต่อไปได้ว่าระยะเวลาที่ยาวนานจะทำให้คู่ต่อสู้ที่มีอายุมากกว่าล้มหายตายจากไปก่อน
ดังนั้นคุณทักษิณจึงย้ำตรงนี้ว่า ได้ออกกำลังกายและพยายามนั่งสมาธิเพื่อให้มีร่างกายและสุขภาพจิตที่ดี ที่จะสามารถยืนหยัดต่อสู้อย่างยาวนานได้
สำหรับเรื่องการนั่งสมาธินั้น ก็อยากจะเตือนด้วยความปรารถนาดีว่าขอให้ทำจริงๆ เถิด และขอให้ทำโดยถูกต้องตามแนวทางที่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสสอนไว้ ก็จะได้รับผลดีของการทำสมาธินั้นอย่างแน่นอน
ขออย่างเดียว อย่านั่งสมาธิเพื่อหวังสวรรค์วิมาน หรือเพ่งลูกแก้ว เพื่อหมายเอาอำนาจแห่งสมาธิเป็นเครื่องมือในการล้างแค้นหรือการพยาบาทจองเวรเลย จะทำให้กลายเป็นมิจฉาสมาธิ แล้วจะเกิดวิบากกรรมใหม่ ทำให้จิตใจฟุ้งซ่าน อับเฉา ย้ำคิดย้ำทำ กระทั่งอาจทำให้สติวิปริตวิปลาสไปได้
จะนั่งสมาธิแบบไหนให้ถูกต้อง? ถ้าจะเอาอย่างง่ายๆ ก็ใช้แบบอานาปานสติที่พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญเป็นอันมาก หรือถ้ารู้ตัวว่าเป็นผู้มากด้วยความโกรธหรือความอาฆาตพยาบาท ก็ใช้แนวทางเจโตวิมุติ ฝึกสมาธิในแบบอัปปมัญญาสี่ เลือกเอาในข้อเมตตาก็จะตรงกับอัธยาศัยที่เป็นอยู่และจะได้ผลโดยเร็ว
จะดูหรือตรวจสอบอย่างไรว่าได้ผลหรือไม่ได้ผล? ท่านสอนว่าให้พิจารณาดูจากอารมณ์ตนว่าสงบเย็น มีความตั้งมั่น มีความบริสุทธิ์ผ่องใสเกิดขึ้นกับใจหรือไม่? และเมื่อเกิดขึ้นแล้วทำให้เห็นความจริงในสรรพสิ่งว่าล้วนไม่เที่ยง ล้วนเสื่อมสลาย ดับสิ้นไปและไม่ใช่ตัวตนใดๆ เลย แล้วน้อมนำจิตให้คิดปล่อยปละละวางความยึดมั่นถือมั่นได้หรือไม่? หากเป็นดังนี้ก็นับว่าถูกตรงตามแนวทางที่พระตถาคตเจ้าทรงตรัสสอนไว้
แต่หากอารมณ์ความรู้สึกตนยังเต็มไปด้วยความรุ่มร้อนเจ็บแค้น กระสับกระส่าย วุ่นวาย หรือเห็นศัตรูตัวเล็กตัวใหญ่ลอยไปลอยมา ก็แสดงว่าผิดหลักวิธีและกำลังนำพาชีวิตไปสู่ความคลุ้มคลั่งหรือวิปลาส พึงปรับและกลับเสียให้ทันท่วงที
เมื่อได้แสดงถึงเรื่องสมาธิแล้ว ก็จำต้องกล่าวต่อไปถึงเรื่องอันเป็นช่องว่างระหว่างบรรทัด คือความคิดที่จะใช้เวลานานในการต่อสู้กับคู่ปรปักษ์ โดยหวังว่าคู่ปรปักษ์ที่มีอายุมากกว่าจะล้มหายตายจากไปก่อน
นี่คือการตั้งอยู่ในความประมาท ทำให้ตกอยู่ในอุ้งหัตถ์แห่งมัจจุราชในทันทีที่ความประมาทเกิดขึ้น ดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนไว้ว่า ความประมาทคือบ่อเกิดแห่งความตาย มัจจุราชจะมองไม่เห็นบุคคลที่ไม่ตั้งอยู่ในความประมาท ผู้ที่ไม่ตั้งอยู่ในความประมาทก็คือผู้ที่มีสติอยู่กับตัว สติในที่นี้หมายถึงสัมมาสติ คือเป็นสติที่ไกลจากกิเลส อันเป็นปฐมมรรคแห่งอริยมรรคนั้น
ทำไมจึงกล่าวว่าเป็นการตั้งอยู่ในความประมาทเล่า? ก็เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสอนว่าอย่าประมาทกับกาลเวลาว่ามีเวลากว่า 7 ปีจึงจะตาย หรือ 7 ปีจึงจะตาย หรือ 7 เดือนจึงจะตาย หรือแม้ 7 วันจึงจะตาย หรือแม้ 7 ชั่วโมงจึงจะตาย หรือแม้ 7 นาทีจึงจะตาย หรือแม้ช่วงแค่ตักข้าวเข้าปาก 7 คำจึงจะตาย
ทรงตรัสว่าจะประมาทกับความตายนั้นไม่ได้ แม้ชั่วตักข้าวเข้าปากก็อาจจะตายเมื่อใดก็ได้
เวลาปกติของคนเราแม้มีอยู่ถึง 1 กัป หรือเกินกว่ากัปเล็กน้อย คือ 120 ปี หรือกว่า 120 ปีเล็กน้อยก็ตามที แต่มนุษย์ก็ลดอายุขัยของตนเองลงด้วยวิธีการมากหลาย ไม่ว่าด้วยการกินอาหาร การดื่มน้ำหรือเครื่องดื่มอย่างอื่น หรือการพักผ่อนหรือการประพฤติปฏิบัติตนที่ไม่ถูกวิธี โดยเฉพาะการปล่อยให้จิตผูกคิดพยาบาท คุมแค้น กังวลจนเป็นความเครียด ล้วนทำให้อายุขัยลดน้อยถอยลงทั้งนั้น
แต่ทว่าอายุของคนเราจะน้อยหรือจะมากไม่ได้หมายความว่าเวลาจะเหลือมากหรือเหลือน้อยตามไปด้วย ดังที่ปรากฏในคำพังเพยจีนบทหนึ่งว่า โลงไม่ได้มีไว้เพื่อใส่คนแก่อย่างเดียว
ซึ่งหมายความว่าคนเราไม่ว่าเด็ก ว่าหนุ่ม กลางคน หรือว่าแก่หรือว่าชรา ก็อาจตายเมื่อใดก็ได้ ใบไม้อ่อนๆ หรือใบไม้ยังเขียวเข้มอยู่ บางทีก็หล่นร่วงก่อนใบไม้ที่เหี่ยวเฉาเป็นสีเหลืองด้วยซ้ำไป
ดังนั้นความเข้าใจที่ว่าตัวเองยังหนุ่ม ยังแข็งแรง ยังมีเวลาอีกนานกว่าพวกคนแก่คนชราที่จะต้องล้มหายตายจากไปก่อน จึงเป็นการตั้งอยู่ในความประมาท และเป็นการตั้งอยู่ในความประมาทที่ประกอบด้วยความอาฆาตพยาบาท จึงทำให้ตกอยู่ในอุ้งหัตถ์แห่งมัจจุราช และมีความรุ่มร้อนเป็นที่สุด นี่คือสภาพที่คุณทักษิณกำลังเป็น
เมื่อเป็นเช่นนี้จึงต้องดิ้นรนเร่าๆ ไปด้วยอำนาจของกฎแห่งกรรม เพราะตราบใดที่ยังไม่เห็นและไม่ปฏิบัติธรรม ตราบนั้นก็ไม่อาจถึงซึ่งความสงบเย็นและความรอดปลอดภัยได้เลย ดังที่จะขอยกคำรำพึงรำพันของเทพแห่งกาลเวลามาแสดงอีกครั้งหนึ่งว่า
“ข้าพเจ้าชูแขนขึ้นป่าวประกาศธรรม แต่หามีใครเชื่อฟังข้าพเจ้าไม่
ธรรมนำมาซึ่งความสงบสุข แต่ไฉนเล่าจึงไม่มีผู้ใดปฏิบัติธรรม”
ที่ผ่านมาคุณทักษิณอยู่ในดงของคนกินเงิน คือไม่ว่าใครที่ไปแวดล้อมเข้าหาล้วนปรารถนาที่จะได้จากคุณทักษิณ 2 สิ่งเท่านั้น คือวาสนากับเงินทอง ดังนั้นบรรดาโครงการและกิจกรรมมากหลายเพื่อให้ได้มาซึ่ง 2 สิ่งนี้จึงมากล้นพ้นสุดจะพรรณนา ก่อเกิดเป็นมายาว่า โอ้! คนไทยทั้งประเทศเขารักภักดีต่อตัวเราเสียนี่กระไร จึงก่อเหตุเภทภัยขึ้นดังที่เห็นๆ กันอยู่
เมื่อตั้งอยู่ในความประมาทดังพรรณนามาแล้วและต้องดิ้นเร่าๆ ไป และกำลังพลัดตกลงไปอยู่ในแดนคนกินคน คือกินทั้งเงินและกินทั้งคน ยิ่งไปอยู่แถบตะวันออกกลางด้วยแล้วก็ยิ่งน่าวิตกกังวล
เพราะมีคำพังเพยไทยบทหนึ่งที่ว่า “เจองูกับเจอแขก” ให้ตีอะไรก่อน? จึงสุ่มเสี่ยงมากที่สุดก็คือการถูกคนร้ายจับตัวไปเรียกค่าไถ่
เพราะนั่นดูไปแล้วก็คล้ายๆ กับจะเป็นวิบากกรรมของการอุ้มฆ่าประชาชนที่ยืนทะมึนอยู่ข้างหน้า หรือว่าคำเตือนของหลวงตามหาบัวข้อสุดท้ายกำลังจะ ปรากฏเป็นจริงขึ้นแล้ว!
นี่ไง! ศัตรูตัวจริงที่คุณทักษิณมองไม่เห็นและไม่มีวันเอาชนะได้ ทั้งจะหลีกหนีไปไหนก็ไม่มีวันพ้น.
เป็นเรื่องที่น่าเห็นใจและน่าสงสาร เพราะไม่ว่าใครที่ตกอยู่ในสภาพเช่นนั้นก็ย่อมเป็นเช่นนั้น ถึงจะต่างกันบ้างก็ไม่ต่างกันเท่าใดนัก
อารมณ์ความรู้สึกในคืนวันที่ 19 กันยายน 2549 เป็นความรู้สึกของการสูญเสียอำนาจและพลัดที่นาคาที่อยู่ ส่วนอารมณ์ความรู้สึกในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2551 หลังจากอังกฤษห้ามเข้าประเทศ ก็เป็นความรู้สึกของการพลัดที่นาคาที่อยู่ และต้องทิ้งทรัพย์สินที่ได้ลงทุนหรือเก็บรักษาไว้ในอังกฤษ โดยเฉพาะคือการสูญเสียฐานบัญชาการใหม่ในต่างประเทศ
จึงก่อเป็นความรู้สึกว่าถูกต้อนเข้ามุม และเป็นที่มาของวาทกรรมที่ว่า “มันมากไปแล้ว”
ย่อมเป็นธรรมดาของจิตใจที่กระเพื่อมไหวในสถานการณ์เช่นนั้นที่จะต้องระเบิดอารมณ์และความรู้สึกนึกคิด ซึ่งหลายอย่างหลายประการเป็นโทษภัยกับผู้กล่าว และจะกลายเป็นการสร้างกรรมใหม่ปิดหนทางรอดปลอดภัยเพิ่มขึ้นไปอีก
การกล่าวอาฆาตจองเวรและผูกเจ็บผูกจำดังที่ปรากฏในการให้สัมภาษณ์นั้นขอละไว้ไม่กล่าวถึง แต่จะกล่าวถึงเฉพาะในเรื่องซึ่งเห็นว่าจะเป็นอุทาหรณ์สอนใจในทางธรรม
นั่นคือถ้อยคำให้สัมภาษณ์ที่ว่า คุณทักษิณยังมีเวลาอีกนาน ยังสามารถต่อสู้ได้อีกหลายปี เช่นเดียวกับนายเนลสัน แมนเดล่า แห่งแอฟริกาใต้ ที่ต่อสู้กับรัฐบาลผิวขาวนับสิบปี และได้อำนาจรัฐในประเทศแอฟริกาใต้ โดยได้รับการยอมรับนับถือจากทั่วโลก
ความจริง กรณีของคุณทักษิณกับนายเนลสัน แมนเดล่า นั้นเป็นคนละเรื่องเทียบกันไม่ได้ เพราะนายเนลสัน แมนเดล่า ต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพและความเสมอภาคของประชาชาติส่วนใหญ่ของแอฟริกาใต้ซึ่งเป็นคนผิวดำ จากการกดขี่ข่มเหงของคนส่วนน้อยผิวขาว และต่อสู้ด้วยหลักการประชาธิปไตยและกฎหมายอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา ยอมติดคุกเป็นเวลานาน เพื่อพิสูจน์ถึงอุดมการณ์ของตนเอง จนได้รับการยอมรับอย่างจริงใจจากประชาชาติแอฟริกาใต้
ส่วนกรณีของคุณทักษิณดูเหมือนว่าจะตรงกันข้ามกับกรณีของนายเนลสัน แมนเดล่า แต่เอาล่ะในเรื่องของความมุ่งมั่นที่จะใช้การต่อสู้อย่างยาวนานนั้นอาจจะตรงกัน
มันมีช่องว่างระหว่างบรรทัด ที่แม้จะไม่ได้พูดจาตรงๆ แต่ก็พอเข้าใจได้ว่าการพูดในเรื่องนี้หมายให้กระทบถึงคนอื่นที่มีอายุอานามมากกว่า ในทางที่จะเข้าใจต่อไปได้ว่าระยะเวลาที่ยาวนานจะทำให้คู่ต่อสู้ที่มีอายุมากกว่าล้มหายตายจากไปก่อน
ดังนั้นคุณทักษิณจึงย้ำตรงนี้ว่า ได้ออกกำลังกายและพยายามนั่งสมาธิเพื่อให้มีร่างกายและสุขภาพจิตที่ดี ที่จะสามารถยืนหยัดต่อสู้อย่างยาวนานได้
สำหรับเรื่องการนั่งสมาธินั้น ก็อยากจะเตือนด้วยความปรารถนาดีว่าขอให้ทำจริงๆ เถิด และขอให้ทำโดยถูกต้องตามแนวทางที่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสสอนไว้ ก็จะได้รับผลดีของการทำสมาธินั้นอย่างแน่นอน
ขออย่างเดียว อย่านั่งสมาธิเพื่อหวังสวรรค์วิมาน หรือเพ่งลูกแก้ว เพื่อหมายเอาอำนาจแห่งสมาธิเป็นเครื่องมือในการล้างแค้นหรือการพยาบาทจองเวรเลย จะทำให้กลายเป็นมิจฉาสมาธิ แล้วจะเกิดวิบากกรรมใหม่ ทำให้จิตใจฟุ้งซ่าน อับเฉา ย้ำคิดย้ำทำ กระทั่งอาจทำให้สติวิปริตวิปลาสไปได้
จะนั่งสมาธิแบบไหนให้ถูกต้อง? ถ้าจะเอาอย่างง่ายๆ ก็ใช้แบบอานาปานสติที่พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญเป็นอันมาก หรือถ้ารู้ตัวว่าเป็นผู้มากด้วยความโกรธหรือความอาฆาตพยาบาท ก็ใช้แนวทางเจโตวิมุติ ฝึกสมาธิในแบบอัปปมัญญาสี่ เลือกเอาในข้อเมตตาก็จะตรงกับอัธยาศัยที่เป็นอยู่และจะได้ผลโดยเร็ว
จะดูหรือตรวจสอบอย่างไรว่าได้ผลหรือไม่ได้ผล? ท่านสอนว่าให้พิจารณาดูจากอารมณ์ตนว่าสงบเย็น มีความตั้งมั่น มีความบริสุทธิ์ผ่องใสเกิดขึ้นกับใจหรือไม่? และเมื่อเกิดขึ้นแล้วทำให้เห็นความจริงในสรรพสิ่งว่าล้วนไม่เที่ยง ล้วนเสื่อมสลาย ดับสิ้นไปและไม่ใช่ตัวตนใดๆ เลย แล้วน้อมนำจิตให้คิดปล่อยปละละวางความยึดมั่นถือมั่นได้หรือไม่? หากเป็นดังนี้ก็นับว่าถูกตรงตามแนวทางที่พระตถาคตเจ้าทรงตรัสสอนไว้
แต่หากอารมณ์ความรู้สึกตนยังเต็มไปด้วยความรุ่มร้อนเจ็บแค้น กระสับกระส่าย วุ่นวาย หรือเห็นศัตรูตัวเล็กตัวใหญ่ลอยไปลอยมา ก็แสดงว่าผิดหลักวิธีและกำลังนำพาชีวิตไปสู่ความคลุ้มคลั่งหรือวิปลาส พึงปรับและกลับเสียให้ทันท่วงที
เมื่อได้แสดงถึงเรื่องสมาธิแล้ว ก็จำต้องกล่าวต่อไปถึงเรื่องอันเป็นช่องว่างระหว่างบรรทัด คือความคิดที่จะใช้เวลานานในการต่อสู้กับคู่ปรปักษ์ โดยหวังว่าคู่ปรปักษ์ที่มีอายุมากกว่าจะล้มหายตายจากไปก่อน
นี่คือการตั้งอยู่ในความประมาท ทำให้ตกอยู่ในอุ้งหัตถ์แห่งมัจจุราชในทันทีที่ความประมาทเกิดขึ้น ดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนไว้ว่า ความประมาทคือบ่อเกิดแห่งความตาย มัจจุราชจะมองไม่เห็นบุคคลที่ไม่ตั้งอยู่ในความประมาท ผู้ที่ไม่ตั้งอยู่ในความประมาทก็คือผู้ที่มีสติอยู่กับตัว สติในที่นี้หมายถึงสัมมาสติ คือเป็นสติที่ไกลจากกิเลส อันเป็นปฐมมรรคแห่งอริยมรรคนั้น
ทำไมจึงกล่าวว่าเป็นการตั้งอยู่ในความประมาทเล่า? ก็เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสอนว่าอย่าประมาทกับกาลเวลาว่ามีเวลากว่า 7 ปีจึงจะตาย หรือ 7 ปีจึงจะตาย หรือ 7 เดือนจึงจะตาย หรือแม้ 7 วันจึงจะตาย หรือแม้ 7 ชั่วโมงจึงจะตาย หรือแม้ 7 นาทีจึงจะตาย หรือแม้ช่วงแค่ตักข้าวเข้าปาก 7 คำจึงจะตาย
ทรงตรัสว่าจะประมาทกับความตายนั้นไม่ได้ แม้ชั่วตักข้าวเข้าปากก็อาจจะตายเมื่อใดก็ได้
เวลาปกติของคนเราแม้มีอยู่ถึง 1 กัป หรือเกินกว่ากัปเล็กน้อย คือ 120 ปี หรือกว่า 120 ปีเล็กน้อยก็ตามที แต่มนุษย์ก็ลดอายุขัยของตนเองลงด้วยวิธีการมากหลาย ไม่ว่าด้วยการกินอาหาร การดื่มน้ำหรือเครื่องดื่มอย่างอื่น หรือการพักผ่อนหรือการประพฤติปฏิบัติตนที่ไม่ถูกวิธี โดยเฉพาะการปล่อยให้จิตผูกคิดพยาบาท คุมแค้น กังวลจนเป็นความเครียด ล้วนทำให้อายุขัยลดน้อยถอยลงทั้งนั้น
แต่ทว่าอายุของคนเราจะน้อยหรือจะมากไม่ได้หมายความว่าเวลาจะเหลือมากหรือเหลือน้อยตามไปด้วย ดังที่ปรากฏในคำพังเพยจีนบทหนึ่งว่า โลงไม่ได้มีไว้เพื่อใส่คนแก่อย่างเดียว
ซึ่งหมายความว่าคนเราไม่ว่าเด็ก ว่าหนุ่ม กลางคน หรือว่าแก่หรือว่าชรา ก็อาจตายเมื่อใดก็ได้ ใบไม้อ่อนๆ หรือใบไม้ยังเขียวเข้มอยู่ บางทีก็หล่นร่วงก่อนใบไม้ที่เหี่ยวเฉาเป็นสีเหลืองด้วยซ้ำไป
ดังนั้นความเข้าใจที่ว่าตัวเองยังหนุ่ม ยังแข็งแรง ยังมีเวลาอีกนานกว่าพวกคนแก่คนชราที่จะต้องล้มหายตายจากไปก่อน จึงเป็นการตั้งอยู่ในความประมาท และเป็นการตั้งอยู่ในความประมาทที่ประกอบด้วยความอาฆาตพยาบาท จึงทำให้ตกอยู่ในอุ้งหัตถ์แห่งมัจจุราช และมีความรุ่มร้อนเป็นที่สุด นี่คือสภาพที่คุณทักษิณกำลังเป็น
เมื่อเป็นเช่นนี้จึงต้องดิ้นรนเร่าๆ ไปด้วยอำนาจของกฎแห่งกรรม เพราะตราบใดที่ยังไม่เห็นและไม่ปฏิบัติธรรม ตราบนั้นก็ไม่อาจถึงซึ่งความสงบเย็นและความรอดปลอดภัยได้เลย ดังที่จะขอยกคำรำพึงรำพันของเทพแห่งกาลเวลามาแสดงอีกครั้งหนึ่งว่า
“ข้าพเจ้าชูแขนขึ้นป่าวประกาศธรรม แต่หามีใครเชื่อฟังข้าพเจ้าไม่
ธรรมนำมาซึ่งความสงบสุข แต่ไฉนเล่าจึงไม่มีผู้ใดปฏิบัติธรรม”
ที่ผ่านมาคุณทักษิณอยู่ในดงของคนกินเงิน คือไม่ว่าใครที่ไปแวดล้อมเข้าหาล้วนปรารถนาที่จะได้จากคุณทักษิณ 2 สิ่งเท่านั้น คือวาสนากับเงินทอง ดังนั้นบรรดาโครงการและกิจกรรมมากหลายเพื่อให้ได้มาซึ่ง 2 สิ่งนี้จึงมากล้นพ้นสุดจะพรรณนา ก่อเกิดเป็นมายาว่า โอ้! คนไทยทั้งประเทศเขารักภักดีต่อตัวเราเสียนี่กระไร จึงก่อเหตุเภทภัยขึ้นดังที่เห็นๆ กันอยู่
เมื่อตั้งอยู่ในความประมาทดังพรรณนามาแล้วและต้องดิ้นเร่าๆ ไป และกำลังพลัดตกลงไปอยู่ในแดนคนกินคน คือกินทั้งเงินและกินทั้งคน ยิ่งไปอยู่แถบตะวันออกกลางด้วยแล้วก็ยิ่งน่าวิตกกังวล
เพราะมีคำพังเพยไทยบทหนึ่งที่ว่า “เจองูกับเจอแขก” ให้ตีอะไรก่อน? จึงสุ่มเสี่ยงมากที่สุดก็คือการถูกคนร้ายจับตัวไปเรียกค่าไถ่
เพราะนั่นดูไปแล้วก็คล้ายๆ กับจะเป็นวิบากกรรมของการอุ้มฆ่าประชาชนที่ยืนทะมึนอยู่ข้างหน้า หรือว่าคำเตือนของหลวงตามหาบัวข้อสุดท้ายกำลังจะ ปรากฏเป็นจริงขึ้นแล้ว!
นี่ไง! ศัตรูตัวจริงที่คุณทักษิณมองไม่เห็นและไม่มีวันเอาชนะได้ ทั้งจะหลีกหนีไปไหนก็ไม่มีวันพ้น.