ผู้จัดการรายวัน – กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม จัดงานไทยแลนด์เบสท์บาย 2008 ชี้ตลาดของขวัญยังเติบโตต่อเนื่อง สวนกระแสวิกฤตเศรษฐกิจ แนะผู้ประกอบการลดต้นทุนการผลิต เพื่อคงกำไรให้ได้เท่าเดิม เชื่อธุรกิจจะอยู่รอดได้ในอนาคต เผยเทรนด์ของขวัญในอนาคตต้องมีนวัตกรรม เน้นฟังก์ชั่นการใช้งานได้สูงสุด
นายปราโมทย์ วิทยาสุข อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยถึง การให้การสนับสนุนการจัดงานไทยแลนด์เบสท์บาย 2008 หรืองานมหกรรมของขวัญของที่ระลึก ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 12-21 ธันวาคม 2551 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ซึ่งการจัดงานในครั้งนี้ถือเป็นปีที่ 9 ที่ทางกระทรวงฯ ได้ร่วมกับ บริษัท เอ็น.ซี.ซี. เอ็กซิบิชั่น ออกาไนเซอร์ จำกัด ร่วมกันจัดขึ้น โดยถือว่าสินค้าของขวัญ และของตกแต่งบ้าน อยู่ในความดูแลและให้การสนับสนุนมาอย่างต่อเนื่อง
“ในฐานะที่กรมฯ มีหน้าที่ส่งเสริมผู้ประกอบการให้มีความแข็งแกร่ง และเติบโตในธุรกิจในตนเองได้ ดังนั้นงานไทยแลนด์เบสท์บาย 2008 จึงเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการได้นำสินค้าของตนออกสู่ตลาดให้ผู้บริโภครู้จัก และมีการต่อยอดในการสั่งซื้อสินค้าต่อไปได้ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ที่มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจไทย” อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าว
ทั้งนี้ปัจจุบันภาคธุรกิจเอสเอ็มอี มีแรงงานที่อยู่ในตลาดประมาณ 9 ล้านคน สร้างรายได้ให้ประเทศประมาณ 1.5 ล้านล้านบาท ซึ่งถือว่าสินค้าประเภทของขวัญ ของชำร่วย เครื่องใช้ไฟฟ้า และของขวัญ เป็นกลุ่มที่มีการเติบโตในทิศทางที่ดี ส่งผลให้ภาคอุตสาหกรรมนี้ ขยายตัวประมาณ 8% โดยสัดส่วนมูลค่าตลาดของขวัญปี 2551 อยู่ที่ 10,000 ล้านบาท และสินค้าตกแต่งบ้านอยู่ที่ 130,000 ล้านบาท เติบโต 15% เมื่อเทียบกับปี 2550
นายปราโมทย์ กล่าวต่อว่า ในยุคที่เศรษฐกิจของไทยยังไม่มั่นคง ผู้ประกอบการจะต้องพัฒนาสินค้าของตนเองอย่างต่อเนื่อง แม้ที่ผ่านมายอดขายจะลดลงก็ตาม แต่ผู้ประกอบการจะต้องทำให้ธุรกิจคงกำไรให้ได้เท่าเดิม เพื่อรักษาอัตราการจ้างงาน โดยจะต้องเน้นไปที่การลดต้นทุน ในเรื่องพลังงาน และการใช้วัตถุดิบในองค์กร เช่น การขนถ่ายสินค้าที่ซ้ำซ้อน หรือแม้แต่การกักตุนสต็อกสินค้าที่มากเกินไป ซึ่งเรื่องเหล่านี้จะช่วยให้ผู้ประกอบการดำเนินธุรกิจให้อยู่รอดได้ในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้
สำหรับแนวโน้มของตลาดของขวัญ และของตกแต่งบ้านในอนาคต นายปราโมทย์ มองว่า ควรที่จะเป็นสินค้าที่มีนวัตกรรมใหม่ ไม่ซ้ำใคร ใช้ประโยชน์ได้สูงสุด หรือ ใช้งานได้หลายอย่างในชิ้นเดียว เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในยุคนี้ ที่ต้องแข่งขันกับเวลา ดังนั้นความสะดวกรวดเร็ว จึงถือเป็นโจทย์สำคัญที่ผู้ประกอบการจะต้องนำไปขบคิด เพื่อพัฒนาสินค้าของตนเองให้ได้ตามความต้องการของตลาด
นายปราโมทย์ วิทยาสุข อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยถึง การให้การสนับสนุนการจัดงานไทยแลนด์เบสท์บาย 2008 หรืองานมหกรรมของขวัญของที่ระลึก ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 12-21 ธันวาคม 2551 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ซึ่งการจัดงานในครั้งนี้ถือเป็นปีที่ 9 ที่ทางกระทรวงฯ ได้ร่วมกับ บริษัท เอ็น.ซี.ซี. เอ็กซิบิชั่น ออกาไนเซอร์ จำกัด ร่วมกันจัดขึ้น โดยถือว่าสินค้าของขวัญ และของตกแต่งบ้าน อยู่ในความดูแลและให้การสนับสนุนมาอย่างต่อเนื่อง
“ในฐานะที่กรมฯ มีหน้าที่ส่งเสริมผู้ประกอบการให้มีความแข็งแกร่ง และเติบโตในธุรกิจในตนเองได้ ดังนั้นงานไทยแลนด์เบสท์บาย 2008 จึงเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการได้นำสินค้าของตนออกสู่ตลาดให้ผู้บริโภครู้จัก และมีการต่อยอดในการสั่งซื้อสินค้าต่อไปได้ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ที่มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจไทย” อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าว
ทั้งนี้ปัจจุบันภาคธุรกิจเอสเอ็มอี มีแรงงานที่อยู่ในตลาดประมาณ 9 ล้านคน สร้างรายได้ให้ประเทศประมาณ 1.5 ล้านล้านบาท ซึ่งถือว่าสินค้าประเภทของขวัญ ของชำร่วย เครื่องใช้ไฟฟ้า และของขวัญ เป็นกลุ่มที่มีการเติบโตในทิศทางที่ดี ส่งผลให้ภาคอุตสาหกรรมนี้ ขยายตัวประมาณ 8% โดยสัดส่วนมูลค่าตลาดของขวัญปี 2551 อยู่ที่ 10,000 ล้านบาท และสินค้าตกแต่งบ้านอยู่ที่ 130,000 ล้านบาท เติบโต 15% เมื่อเทียบกับปี 2550
นายปราโมทย์ กล่าวต่อว่า ในยุคที่เศรษฐกิจของไทยยังไม่มั่นคง ผู้ประกอบการจะต้องพัฒนาสินค้าของตนเองอย่างต่อเนื่อง แม้ที่ผ่านมายอดขายจะลดลงก็ตาม แต่ผู้ประกอบการจะต้องทำให้ธุรกิจคงกำไรให้ได้เท่าเดิม เพื่อรักษาอัตราการจ้างงาน โดยจะต้องเน้นไปที่การลดต้นทุน ในเรื่องพลังงาน และการใช้วัตถุดิบในองค์กร เช่น การขนถ่ายสินค้าที่ซ้ำซ้อน หรือแม้แต่การกักตุนสต็อกสินค้าที่มากเกินไป ซึ่งเรื่องเหล่านี้จะช่วยให้ผู้ประกอบการดำเนินธุรกิจให้อยู่รอดได้ในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้
สำหรับแนวโน้มของตลาดของขวัญ และของตกแต่งบ้านในอนาคต นายปราโมทย์ มองว่า ควรที่จะเป็นสินค้าที่มีนวัตกรรมใหม่ ไม่ซ้ำใคร ใช้ประโยชน์ได้สูงสุด หรือ ใช้งานได้หลายอย่างในชิ้นเดียว เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในยุคนี้ ที่ต้องแข่งขันกับเวลา ดังนั้นความสะดวกรวดเร็ว จึงถือเป็นโจทย์สำคัญที่ผู้ประกอบการจะต้องนำไปขบคิด เพื่อพัฒนาสินค้าของตนเองให้ได้ตามความต้องการของตลาด
