ผู้จัดการรายวัน - กรรมการผู้จัดการคนใหม่ บลจ.นครหลวงไทยเครื่องร้อน รุกปรับองค์กรขนานใหญ่ ผนึกบริษัทในเครือสานต่อนโยบาย “SCIB FAMILY” เบื้องต้นรับพอร์ตบริษัทประกันชีวิตมาบริหาร แถมร่วมมือบล.นครหลวงในด้านข้อมูล พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพมาร์เกตติ้งและฝ่ายขาย ตั้งเป้าภายใน 3ปีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารโต 1 แสนล้านบาท จากปัจจุบัน 4.1 หมื่นล้าน
นายธีรพันธุ์ จิตตาลาน กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) นครหลวงไทย จำกัด กล่าวว่าจากภาพรวมธุรกิจที่เป็นอยู่ ขั้นแรกที่จะดำเนินการ นั่นคือการคงระดับสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (AUM) ภายในปีนี้ให้อยู่ที่ประมาณ 4.1 หมื่นล้านบาท โดยจะพยายามไม่ให้ปรับตัวลดลง และเป้าหมายต่อไปคือต้องเพิ่มAUM.shเป็น 1 แสนล้านบาทภายในระยะเวลา 3 ปีข้างหน้า แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอกอย่างภาวะเศรษฐกิจเป็นสำคัญ โดยหากดีขึ้นเรื่องดังกล่าวอาจสามารถทำได้ภายในเพียง 2ปีกว่าเท่านั้น
ปัจจุบัน บลจ.นครหลวงไทย อยู่ในขั้นตอนการจัดระเบียบองค์กรใหม่ เพื่อให้มีความละเอียดถี่ถ้วนในการทำงานมากขึ้น และให้เป็นมาตรฐานที่สามารถเดินหน้าต่อไปได้ และในปี 2552ทางบริษัทจะเน้นการประชาสัมพันธ์ และวางรากฐานข้อมูล รวมถึงระบบการให้บริการลูกค้าที่สะดวกยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการร่วมมือกับบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) นครหลวงไทย จำกัด ในส่วนของสถาบันวิจัยนครหลวงไทย เพื่อนำข้อมูลทางด้านนี้ใช้กับการตลาดและธุรกิจ รวมถึงนำไปใช้ในเรื่องของการลงทุน โดยเชื่อว่าจากความร่วมมือนี้จะช่วยให้ต้นทุนทางธุรกิจของบริษัทลดลงไปได้ในระดับหนึ่ง
ขณะเดียวกัน บริษัทจะร่วมกับบริษัทในเครือ เช่น บริษัทประกันภัย บริษัทประกันชีวิต โดยเบื้องต้นบริษัทได้นำเอาพอร์ตลงทุนของบริษัทประกันชีวิตมาดูแล และเตรียมนำเทคโนโลยีใหม่ๆมาใช้ในการลงทุน และให้ความช่วยเหลือในด้านยูนิตลิงก์
"สิ่งที่จะทำคือสร้างความเป็น Scib Familly ให้กับบริษัทและอุปมาธนาคารพาณิชย์เปรียบเสมือนซูเปอร์มาร์เก็ต หากนักลงทุนเข้ามาแล้วจะมีสินค้าที่ต้องการครบครันทุกสิ่งนั่นเอง อีกทั้งและจะเน้นสร้างภาพลักษณ์ขององค์กร (Brand Image) เป็นหลักด้วย "
นายธีรพันธุ์ กล่าวว่า กล่าวถึงบลจ.นครไทย ซึ่งได้เข้ามารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการว่า เป็นบลจ.ที่ศักยภาพ แม้จะเพิ่งให้บริการได้ไม่นาน แต่ก็มีผลิตภัณฑ์ที่นำเสนอลูกค้าได้ครบรูปแบบ โดยในส่วนของธุรกิจกองทุนรวมบริษัทจะไม่นำผลิตภัณฑ์ที่มีความเสี่ยงมากมาออกกองทุน แต่จะเน้นออกเสนอขายผลิตภัณฑ์ที่มีความเข้าใจง่าย และปลอดภัยให้กับลูกค้าเพื่อให้เหมาะสมกับภาวะในช่วงนี้
ส่วนผลิตภัณฑ์ที่มีความเสี่ยงสูงจะมีความเหมาะสมกับกองทุนส่วนบุคคลมากกว่า ซึ่งได้แก่นักลงทุนประเภทองค์กรที่มีความรู้มาก และไม่ใช่การเข้าไปขายของตัวแทนขายหน่วยลงทุน (Selling Agent) แต่เป็นการขายผ่านบริษัทโดยตรง ทำให้สามารถอธิบายให้นักลงทุนดังกล่าวเข้าใจได้ ส่วนการไปลงทุนในต่างประเทศจะอาศัยสายสัมพันธ์ที่มีอยู่แล้วด้วย
นอกจากนี้ บริษัทมีแผนจะแยกฝ่ายการตลาด (Marketing) ออกจากฝ่ายขาย (Sell) โดยฝ่ายการตลาดจะทำการเก็บข้อมูลวิจัย สร้างกลยุทธ์และแผนการตลาดสำหรับลูกค้าแต่ละกลุ่มโดยตรง และปล่อยให้ฝ่ายขายทำหน้าที่ติดต่อประสานงานกับลูกค้าทั้งกลุ่มลูกค้าเก่า และกลุ่มลูกค้าใหม่ที่จะเพิ่มเข้ามาจากแผนการตลาดใหม่ที่กำลังศึกษาอยู่ ณ ขณะนี้
"บริษัทจะเน้นเพิ่มฐานลูกค้ารายย่อย หลังจากที่ผ่านมาฐานลุกค้าเหล่านี้ในธุรกิจกองทุนรวม โดนธนาคารพษณิชย์ดึงเม็ดเงินออกไปจากการระดมเงินฝากอย่างรุนแรง รองรับพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สถาบันประกันเงินและต้องการรักษาฐานลูกค้ารายย่อย แต่พอมีการประกาศคุ้มครองเงินฝากไปอีก 3 ปี ทำให้ธนาคารพาณิชย์ไม่ต้องแข่งขันกันระดมเงินฝากอีกต่อไป โดยในปี 2552 เชื่อว่าธนาคารพาณิชย์จะไม่มีการขยายสินเชื่อ ทำให้เงินฝากเป็นต้นทุนของธนาคารพาณิชย์เอง ดังนั้นเชื่อว่าเม็ดในส่วนนี้จะกลับเข้าสู่อุตสาหกรรมกองทุนอีกส่วนหนึ่ง"
นายธีรพันธุ์ จิตตาลาน กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) นครหลวงไทย จำกัด กล่าวว่าจากภาพรวมธุรกิจที่เป็นอยู่ ขั้นแรกที่จะดำเนินการ นั่นคือการคงระดับสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (AUM) ภายในปีนี้ให้อยู่ที่ประมาณ 4.1 หมื่นล้านบาท โดยจะพยายามไม่ให้ปรับตัวลดลง และเป้าหมายต่อไปคือต้องเพิ่มAUM.shเป็น 1 แสนล้านบาทภายในระยะเวลา 3 ปีข้างหน้า แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอกอย่างภาวะเศรษฐกิจเป็นสำคัญ โดยหากดีขึ้นเรื่องดังกล่าวอาจสามารถทำได้ภายในเพียง 2ปีกว่าเท่านั้น
ปัจจุบัน บลจ.นครหลวงไทย อยู่ในขั้นตอนการจัดระเบียบองค์กรใหม่ เพื่อให้มีความละเอียดถี่ถ้วนในการทำงานมากขึ้น และให้เป็นมาตรฐานที่สามารถเดินหน้าต่อไปได้ และในปี 2552ทางบริษัทจะเน้นการประชาสัมพันธ์ และวางรากฐานข้อมูล รวมถึงระบบการให้บริการลูกค้าที่สะดวกยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการร่วมมือกับบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) นครหลวงไทย จำกัด ในส่วนของสถาบันวิจัยนครหลวงไทย เพื่อนำข้อมูลทางด้านนี้ใช้กับการตลาดและธุรกิจ รวมถึงนำไปใช้ในเรื่องของการลงทุน โดยเชื่อว่าจากความร่วมมือนี้จะช่วยให้ต้นทุนทางธุรกิจของบริษัทลดลงไปได้ในระดับหนึ่ง
ขณะเดียวกัน บริษัทจะร่วมกับบริษัทในเครือ เช่น บริษัทประกันภัย บริษัทประกันชีวิต โดยเบื้องต้นบริษัทได้นำเอาพอร์ตลงทุนของบริษัทประกันชีวิตมาดูแล และเตรียมนำเทคโนโลยีใหม่ๆมาใช้ในการลงทุน และให้ความช่วยเหลือในด้านยูนิตลิงก์
"สิ่งที่จะทำคือสร้างความเป็น Scib Familly ให้กับบริษัทและอุปมาธนาคารพาณิชย์เปรียบเสมือนซูเปอร์มาร์เก็ต หากนักลงทุนเข้ามาแล้วจะมีสินค้าที่ต้องการครบครันทุกสิ่งนั่นเอง อีกทั้งและจะเน้นสร้างภาพลักษณ์ขององค์กร (Brand Image) เป็นหลักด้วย "
นายธีรพันธุ์ กล่าวว่า กล่าวถึงบลจ.นครไทย ซึ่งได้เข้ามารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการว่า เป็นบลจ.ที่ศักยภาพ แม้จะเพิ่งให้บริการได้ไม่นาน แต่ก็มีผลิตภัณฑ์ที่นำเสนอลูกค้าได้ครบรูปแบบ โดยในส่วนของธุรกิจกองทุนรวมบริษัทจะไม่นำผลิตภัณฑ์ที่มีความเสี่ยงมากมาออกกองทุน แต่จะเน้นออกเสนอขายผลิตภัณฑ์ที่มีความเข้าใจง่าย และปลอดภัยให้กับลูกค้าเพื่อให้เหมาะสมกับภาวะในช่วงนี้
ส่วนผลิตภัณฑ์ที่มีความเสี่ยงสูงจะมีความเหมาะสมกับกองทุนส่วนบุคคลมากกว่า ซึ่งได้แก่นักลงทุนประเภทองค์กรที่มีความรู้มาก และไม่ใช่การเข้าไปขายของตัวแทนขายหน่วยลงทุน (Selling Agent) แต่เป็นการขายผ่านบริษัทโดยตรง ทำให้สามารถอธิบายให้นักลงทุนดังกล่าวเข้าใจได้ ส่วนการไปลงทุนในต่างประเทศจะอาศัยสายสัมพันธ์ที่มีอยู่แล้วด้วย
นอกจากนี้ บริษัทมีแผนจะแยกฝ่ายการตลาด (Marketing) ออกจากฝ่ายขาย (Sell) โดยฝ่ายการตลาดจะทำการเก็บข้อมูลวิจัย สร้างกลยุทธ์และแผนการตลาดสำหรับลูกค้าแต่ละกลุ่มโดยตรง และปล่อยให้ฝ่ายขายทำหน้าที่ติดต่อประสานงานกับลูกค้าทั้งกลุ่มลูกค้าเก่า และกลุ่มลูกค้าใหม่ที่จะเพิ่มเข้ามาจากแผนการตลาดใหม่ที่กำลังศึกษาอยู่ ณ ขณะนี้
"บริษัทจะเน้นเพิ่มฐานลูกค้ารายย่อย หลังจากที่ผ่านมาฐานลุกค้าเหล่านี้ในธุรกิจกองทุนรวม โดนธนาคารพษณิชย์ดึงเม็ดเงินออกไปจากการระดมเงินฝากอย่างรุนแรง รองรับพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สถาบันประกันเงินและต้องการรักษาฐานลูกค้ารายย่อย แต่พอมีการประกาศคุ้มครองเงินฝากไปอีก 3 ปี ทำให้ธนาคารพาณิชย์ไม่ต้องแข่งขันกันระดมเงินฝากอีกต่อไป โดยในปี 2552 เชื่อว่าธนาคารพาณิชย์จะไม่มีการขยายสินเชื่อ ทำให้เงินฝากเป็นต้นทุนของธนาคารพาณิชย์เอง ดังนั้นเชื่อว่าเม็ดในส่วนนี้จะกลับเข้าสู่อุตสาหกรรมกองทุนอีกส่วนหนึ่ง"