ผู้จัดการรายวัน – ตลาดหุ้นไทยผันผวนสุดๆ เช้าเด้งแรกกว่า 21 จุด ก่อนรูดช่วงบ่าย ปิดที่ 457.35 จุด ติดลบ 0.26 จุด จากแรงเทขายทำกำไรลดความเสี่ยงหลังดัชนีบวกติดต่อกันหลายวัน บวกกับซึมซับผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ ขณะที่นักลงทุนต่างชาติ ทยอยเก็บหุ้น ยอดซื้อสุทธิติดต่อ 5 วันทำการกว่า 6 พันล้านบาท ด้านตลาดหลักทรัพย์ฯ เตรียมระดมระดมผู้เชี่ยวชาญตลาดทุนทั้งต่างประเทศ-ในประเทศวางกรอบแผนพัฒนาตลาดทุนไทยใหม่ หลังเจอวิกฤตสถาบันการเงินบานปลาย
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (5 พ.ย.) ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวค่อนข้างผันผวน โดยเปิดตลาดภาคเช้าได้ปรับตัวอยู่เหนือราคาปิดครั้งก่อน สอดรับกับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวลดลงจะช่วยกระตุ้นภาวะเศรษฐกิจโลก รวมถึงข่าวนายบารัก โอบามา ชนะการเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ แต่ในช่วงบ่ายนักลงทุนเริ่มทยอยขายหุ้นเพื่อเก็งกำไรระยะสั้น และลดความเสียง จึงเป็นปัจจัยให้ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลดลง
โดยในช่วงเช้านั้น ดัชนีตลาดหุ้นไทยได้ปรับตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดที่ 478.68 จุด บวกกว่า 21 จุด และต่ำสุดที่ 453.94 จุด ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ระดับ 457.36 จุด ลดลงจากวันก่อน 0.26 จุด คิดเป็น 0.06% มูลค่าการซื้อขายรวม 19,131.37 ล้านบาท
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างประเทศมียอดซื้อสุทธิ 1,481.13 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 39.24 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 1,441.89 ล้านบาท ซึ่งนักลงทุนต่างชาติได้กลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง คือมียอดซื้อสุทธิติดต่อกัน 5 วันทำการ (ตั้งแต่ 30 ต.ค. 51) รวมทั้งสิ้น 6,031.50 ล้านบาท
สำหรับหลักทรัพย์ที่มีการซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก ประกอบด้วย บมจ.ปตท. (PTT) ราคาปิดที่ 183 บาท ไม่เปลี่ยนแปลงจากวันก่อน มูลค่าการซื้อขาย 2,310.78 ล้านบาท บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ปิดที่ 99 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง มูลค่า 2,138.74 ล้านบาท และบมจ.บ้านปู (BANPU) ปิดที่ 206 บาท เพิ่มขึ้น 8 บาท คิดเป็น 4.04% มูลค่า 1,738.40 ล้านบาท
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเชียพลัส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า วานนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นลงตลอดทั้งวัน โดยช่วงเช้าปรับเพิ่มตามตลาดต่างประเทศ และราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นมากว่า 1 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรย แต่ช่วงบ่ายกลับมีแรงเทขายทำกำไรระยะสั้นของนักลงทุน หลังจากรับข่าวดีมาแล้วก่อนหน้านี้เรื่องนายบารัก โอบามา ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ
ส่วนแนวโน้มดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ คาดว่าจะยังคงปรับตัวขึ้นลงตามกตลาดหุ้นต่างประเทศ โดยนักลงทุนต้องติดตามนโยบายการแก้ไขวิกฤตเศรษฐกิจของประธานาธิบดีคนใหม่ รวมถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับภาคธุรกิจที่แท้จริง ขณะที่ปัจจัยในประเทศยังต้องติดตามปัญหาทางการเมือง ดั้งนั้นหากต้องการระยะสั้นควรชะลอการลงออกไปก่อน เพื่อรอดูสถานการณ์ แต่ถ้าต้องการลงทุนระยะยาวให้ทยอยซื้อหุ้นหากดัชนีลงมาอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 450 จุด
นางสาวจิตตา อมรธรรม ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. ไซรัส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยค่อนข้างผันผวนเกิดจากการเทขายทำกำไรของนักลงทุน หลังจากช่วงที่ผ่านมาดัชนีตลาดหุ้นได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาต่อเนื่องประมาณ 20-30% แล้ว ที่นักลงทุนได้ทยอยซื้อเพื่อเก็งกำไรข่าวการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้นักลงทุนจึงได้ทยอยขายหุ้นออกมา
สำหรับดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ยังเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบๆ ตามดัชนีดาวโจนสหรัฐฯ และเอเชีย ราคาน้ำมัน รวมถึงให้จับตามาตรการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ภายหลังนายบารัก โอบามา ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ ส่วนหุ้นที่น่าลงทุนจะเป็นกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ SCB,KBANK กลุ่มสื่อสารADVAVNC และกลุ่มค้าปลีกCPALL เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานดีและให้ผลตอบแทนสูง โดยมีแนวรับที่ 420 จุด และแนวต้านที่ 460 จุด
นางสาวจิตติมา อังสุวรังษี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. ฟาร์อีสท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า วานนี้ตลาดหลักทรัพย์ ยังคงแกว่งตัวทั้งในแดนบวกและลบ จากแรงเทขายทำกำไรระยะสั้น และการSale on Face ของนักลงทุน ส่วนดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ ยังคงแกว่งตัวอยู่ในกรอบแคบๆ โดยควรจับการประกาศตัวเลขการว่างงานของสหรัฐฯ แนะนักลงทุนชะลอการลงทุนออกไปก่อนเพื่อรอดูสถานการณ์ ซึ่งประเมินแนวรับอยู่ที่ 444-450 จุด และแนวต้านอยู่ที่ 460 จุด
ระดมกึ๋นทำแผนตลาดทุนใหม่
ด้านนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้บริหารสถาบันวิจัยเพื่อตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดเผยว่า ในวันที่ 10 พ.ย. 51 ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะจัดสัมมนาหัวข้อ “ก้าวใหม่ตลาดทุนไทย หลังวิกฤตการเงินโลก” โดยเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านตลาดทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศเข้ามาให้มุมมองในการพัฒนาตลาดทุนไทยในระบบการเงินยุคใหม่ หลังเกิดจากวิกฤตสถาบันการเงินที่สหรัฐฯ และยุโรป
โดยผู้เชี่ยวชาญ ประกอบด้วย นายชองปิแยร์ เวอบิเยส์ ผู้อำนวยการธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) สำนักงานผู้แทนประจำประเทศไทย นายรูเบน ลี ผู้ก่อตั้งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ออกฟอร์ดไปแนนซ์กรุ๊ป นายโรเบอร์ด บานส์ กรรมการผู้จัดการฝ่ายตราสารทุน UBS Investment Bank นายอลัน คาเมรอน อดีตประธานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และการลงทุนประเทศออสเตรเลีย นายสุทัด ชิว รองกรรมการผู้จัดการ และหัวหน้าฝ่ายพัฒนาตลาด ตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์
ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญต่างๆ จะให้มุมมองและแนวคิดใหม่ๆ ของตลาดทุนโลก แนวทางการปรับตัวของธุรกิจหลักทรัพย์ ความเปลี่ยนแปลงที่ท้าทาย การกำกับดูแลที่เหมาะสมสำรับตลาดทุนในศตวรรคที่ 21 ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆสำหรับตลาดทุน และการปฏิรูปโครงสร้างภาษี เพื่อพัฒนาตลาดทุน และจากกที่เกิดภาวะตลาดทุนโลกในปัจจุบันที่มีปัญหานั้น ก็จะมีการสอบถามในเรื่องการเปิดเสรีในเรื่องค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์ และเสรีทางการเงินต่างๆเหมาะสมหรือไม่ และหากเปิดเสรีแล้วจะทำอย่างไรเพื่อที่จะไม่เกิดปัญหาเหมือนกับตลาดหุ้นต่างประเทศในปัจจุบัน
“ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะนำมุมมองต่างๆ ที่เป็นประโยชน์มาประกอบในการจัดทำแผนพัฒนาตลาดทุนฉบับใหม่ ซึ่งคาดว่าจะเสร็จเรียบร้อยและประกาศใช้ภายในต้นปีนี้ แม้ว่าการเปลี่ยนตัวรมว.คลังคนใหม่ ทำให้ต้องมีการแต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาตลาดทุนชุดใหม่ ซึ่งขณะนี้ได้รับการยืนยันที่จะสานต่อในการทำแผนพัฒนาตลาดทุนไทย และได้เสนอให้นายกรัฐมนตรีพิจารณาแล้ว แต่ต้องรอให้มีการประกาศของสำนักนายกเท่านั้น โดยเชื่อว่าคณะกรรมการจะเป็นชุดเดิม”
ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านตลาดทุนไทย ประกอบด้วย นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ประธานตลาดหลักทรัพย์ฯ นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ นายพิภพ วีรพงษ์ พาร์ทเนอร์ บริษัท LawAlliance นายบรรยง พงษ์พานิช ประธานกรรมการ บล. ภัทร นายภานุ เศวตรุนทร์ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) นายระพี สุจริตกุล ประธานกรรมการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย นางทิพยสุดา ถาวรามร ผู้ช่วยเลขาธิการ สายงานกลยุทธ์องค์กร สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และนายวิสิฐ ตันติสุนทร เลขาธิการ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.)
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (5 พ.ย.) ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวค่อนข้างผันผวน โดยเปิดตลาดภาคเช้าได้ปรับตัวอยู่เหนือราคาปิดครั้งก่อน สอดรับกับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวลดลงจะช่วยกระตุ้นภาวะเศรษฐกิจโลก รวมถึงข่าวนายบารัก โอบามา ชนะการเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ แต่ในช่วงบ่ายนักลงทุนเริ่มทยอยขายหุ้นเพื่อเก็งกำไรระยะสั้น และลดความเสียง จึงเป็นปัจจัยให้ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลดลง
โดยในช่วงเช้านั้น ดัชนีตลาดหุ้นไทยได้ปรับตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดที่ 478.68 จุด บวกกว่า 21 จุด และต่ำสุดที่ 453.94 จุด ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ระดับ 457.36 จุด ลดลงจากวันก่อน 0.26 จุด คิดเป็น 0.06% มูลค่าการซื้อขายรวม 19,131.37 ล้านบาท
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างประเทศมียอดซื้อสุทธิ 1,481.13 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 39.24 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 1,441.89 ล้านบาท ซึ่งนักลงทุนต่างชาติได้กลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง คือมียอดซื้อสุทธิติดต่อกัน 5 วันทำการ (ตั้งแต่ 30 ต.ค. 51) รวมทั้งสิ้น 6,031.50 ล้านบาท
สำหรับหลักทรัพย์ที่มีการซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก ประกอบด้วย บมจ.ปตท. (PTT) ราคาปิดที่ 183 บาท ไม่เปลี่ยนแปลงจากวันก่อน มูลค่าการซื้อขาย 2,310.78 ล้านบาท บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ปิดที่ 99 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง มูลค่า 2,138.74 ล้านบาท และบมจ.บ้านปู (BANPU) ปิดที่ 206 บาท เพิ่มขึ้น 8 บาท คิดเป็น 4.04% มูลค่า 1,738.40 ล้านบาท
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเชียพลัส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า วานนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นลงตลอดทั้งวัน โดยช่วงเช้าปรับเพิ่มตามตลาดต่างประเทศ และราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นมากว่า 1 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรย แต่ช่วงบ่ายกลับมีแรงเทขายทำกำไรระยะสั้นของนักลงทุน หลังจากรับข่าวดีมาแล้วก่อนหน้านี้เรื่องนายบารัก โอบามา ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ
ส่วนแนวโน้มดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ คาดว่าจะยังคงปรับตัวขึ้นลงตามกตลาดหุ้นต่างประเทศ โดยนักลงทุนต้องติดตามนโยบายการแก้ไขวิกฤตเศรษฐกิจของประธานาธิบดีคนใหม่ รวมถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับภาคธุรกิจที่แท้จริง ขณะที่ปัจจัยในประเทศยังต้องติดตามปัญหาทางการเมือง ดั้งนั้นหากต้องการระยะสั้นควรชะลอการลงออกไปก่อน เพื่อรอดูสถานการณ์ แต่ถ้าต้องการลงทุนระยะยาวให้ทยอยซื้อหุ้นหากดัชนีลงมาอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 450 จุด
นางสาวจิตตา อมรธรรม ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. ไซรัส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยค่อนข้างผันผวนเกิดจากการเทขายทำกำไรของนักลงทุน หลังจากช่วงที่ผ่านมาดัชนีตลาดหุ้นได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาต่อเนื่องประมาณ 20-30% แล้ว ที่นักลงทุนได้ทยอยซื้อเพื่อเก็งกำไรข่าวการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้นักลงทุนจึงได้ทยอยขายหุ้นออกมา
สำหรับดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ยังเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบๆ ตามดัชนีดาวโจนสหรัฐฯ และเอเชีย ราคาน้ำมัน รวมถึงให้จับตามาตรการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ภายหลังนายบารัก โอบามา ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ ส่วนหุ้นที่น่าลงทุนจะเป็นกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ SCB,KBANK กลุ่มสื่อสารADVAVNC และกลุ่มค้าปลีกCPALL เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานดีและให้ผลตอบแทนสูง โดยมีแนวรับที่ 420 จุด และแนวต้านที่ 460 จุด
นางสาวจิตติมา อังสุวรังษี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. ฟาร์อีสท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า วานนี้ตลาดหลักทรัพย์ ยังคงแกว่งตัวทั้งในแดนบวกและลบ จากแรงเทขายทำกำไรระยะสั้น และการSale on Face ของนักลงทุน ส่วนดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ ยังคงแกว่งตัวอยู่ในกรอบแคบๆ โดยควรจับการประกาศตัวเลขการว่างงานของสหรัฐฯ แนะนักลงทุนชะลอการลงทุนออกไปก่อนเพื่อรอดูสถานการณ์ ซึ่งประเมินแนวรับอยู่ที่ 444-450 จุด และแนวต้านอยู่ที่ 460 จุด
ระดมกึ๋นทำแผนตลาดทุนใหม่
ด้านนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้บริหารสถาบันวิจัยเพื่อตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดเผยว่า ในวันที่ 10 พ.ย. 51 ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะจัดสัมมนาหัวข้อ “ก้าวใหม่ตลาดทุนไทย หลังวิกฤตการเงินโลก” โดยเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านตลาดทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศเข้ามาให้มุมมองในการพัฒนาตลาดทุนไทยในระบบการเงินยุคใหม่ หลังเกิดจากวิกฤตสถาบันการเงินที่สหรัฐฯ และยุโรป
โดยผู้เชี่ยวชาญ ประกอบด้วย นายชองปิแยร์ เวอบิเยส์ ผู้อำนวยการธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) สำนักงานผู้แทนประจำประเทศไทย นายรูเบน ลี ผู้ก่อตั้งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ออกฟอร์ดไปแนนซ์กรุ๊ป นายโรเบอร์ด บานส์ กรรมการผู้จัดการฝ่ายตราสารทุน UBS Investment Bank นายอลัน คาเมรอน อดีตประธานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และการลงทุนประเทศออสเตรเลีย นายสุทัด ชิว รองกรรมการผู้จัดการ และหัวหน้าฝ่ายพัฒนาตลาด ตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์
ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญต่างๆ จะให้มุมมองและแนวคิดใหม่ๆ ของตลาดทุนโลก แนวทางการปรับตัวของธุรกิจหลักทรัพย์ ความเปลี่ยนแปลงที่ท้าทาย การกำกับดูแลที่เหมาะสมสำรับตลาดทุนในศตวรรคที่ 21 ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆสำหรับตลาดทุน และการปฏิรูปโครงสร้างภาษี เพื่อพัฒนาตลาดทุน และจากกที่เกิดภาวะตลาดทุนโลกในปัจจุบันที่มีปัญหานั้น ก็จะมีการสอบถามในเรื่องการเปิดเสรีในเรื่องค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์ และเสรีทางการเงินต่างๆเหมาะสมหรือไม่ และหากเปิดเสรีแล้วจะทำอย่างไรเพื่อที่จะไม่เกิดปัญหาเหมือนกับตลาดหุ้นต่างประเทศในปัจจุบัน
“ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะนำมุมมองต่างๆ ที่เป็นประโยชน์มาประกอบในการจัดทำแผนพัฒนาตลาดทุนฉบับใหม่ ซึ่งคาดว่าจะเสร็จเรียบร้อยและประกาศใช้ภายในต้นปีนี้ แม้ว่าการเปลี่ยนตัวรมว.คลังคนใหม่ ทำให้ต้องมีการแต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาตลาดทุนชุดใหม่ ซึ่งขณะนี้ได้รับการยืนยันที่จะสานต่อในการทำแผนพัฒนาตลาดทุนไทย และได้เสนอให้นายกรัฐมนตรีพิจารณาแล้ว แต่ต้องรอให้มีการประกาศของสำนักนายกเท่านั้น โดยเชื่อว่าคณะกรรมการจะเป็นชุดเดิม”
ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านตลาดทุนไทย ประกอบด้วย นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ประธานตลาดหลักทรัพย์ฯ นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ นายพิภพ วีรพงษ์ พาร์ทเนอร์ บริษัท LawAlliance นายบรรยง พงษ์พานิช ประธานกรรมการ บล. ภัทร นายภานุ เศวตรุนทร์ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) นายระพี สุจริตกุล ประธานกรรมการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย นางทิพยสุดา ถาวรามร ผู้ช่วยเลขาธิการ สายงานกลยุทธ์องค์กร สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และนายวิสิฐ ตันติสุนทร เลขาธิการ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.)