xs
xsm
sm
md
lg

ศก.ไทยทรุดปีหน้าต่ำสุดในรอบ 10 ปี

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ผู้จัดการรายวัน-หอการค้าโพลล์ ชี้ชัดธุรกิจไทยอาการหนัก เหตุได้รับผลกระทบจากปัญหาการเมืองในประเทศ โดยเฉพาะภาคท่องเที่ยวส่อแววเจ๊งระนาว ส่วนวิกฤตการเงินโลก กระทบแค่ปานกลาง แต่ปีหน้าต้องระวัง อาการหนักแน่ จี้รัฐเริ่มหามาตรการรับมือตั้งแต่ไตรมาส 4 ปีนี้ ไม่เช่นนั้นคนจ่อตกงานไม่ต่ำกว่า 1 ล้านคน ส่งสัญญาณเศรษฐกิจปีหน้ามีโอกาสโตต่ำสุดในรอบ 10 ปี หรือโตต่ำกว่า 4%

นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลสำรวจการประเมินสถานการณ์ธุรกิจไทยในไตรมาส 4/51 ซึ่งสำรวจจากภาคเกษตร ภาคการค้า ภาคบริการ และภาคการผลิต จำนวน 800 ราย ระหว่างวันที่ 20-24 ต.ค.2551 ว่า ภาคธุรกิจเห็นว่าความวุ่นวายทางการเมือง และเศรษฐกิจภายในประเทศที่ชะลอตัว มีผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจโดยตรง โดยเฉพาะต่อภาคการท่องเที่ยว ดังนั้น ภาครัฐต้องเร่งแก้ไขโดยเร็ว มากกว่าผลกระทบจากวิกฤตการเงินและเศรษฐกิจโลก ที่ขณะนี้กระทบเฉพาะการส่งออก และทุกประเทศกำลังเร่งแก้ไข แต่ปัญหาการเมืองไทยที่ยืดเยื้อขณะนี้กระทบต่อความเชื่อมั่น ทำให้ประชาชนและนักลงทุนชะลอการใช้จ่าย และการลงทุน จนทำให้เศรษฐกิจขยายตัวต่ำลงได้อีก

“เศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัวขณะนี้ ได้รับผลกระทบหนักสุดจากปัญหาการเมืองในประเทศ ซึ่งภาคการท่องเที่ยวกระทบชัดเจน เพราะทำให้นักท่องเที่ยว ยอดขาย ยอดจองห้องพัก สภาพคล่อง และผลประกอลการลดลง แต่ภาคธุรกิจ 49.2% กลับมองว่า ได้รับผลกระทบจากวิกฤตการเงินโลกในระดับปานกลาง และเฉพาะภาคการส่งออกเท่านั้น ส่วนอีก 33.9% ระบุว่าได้รับผลกระทบมาก และมากที่สุดเพียง 1.3% เท่านั้น ซึ่งต้องปรับตัวรองรับผลกระทบ โดยขอสินเชื่อล่วงหน้า รักษาเงินสดให้เพียงพอ และควบคุมต้นทุน” นายธนวรรธน์กล่าว

นายธนวรรธน์กล่าวว่า สำหรับปัญหาหนักของภาคธุรกิจในขณะนี้ คือ การขาดสภาพคล่อง โดยผู้ตอบแบบสอบถาม 36.7% ระบุว่า มีสภาพคล่องลดลง ขณะที่อีก 15.8% ระบุความสามารถในการชำระหนี้ลดลง เพราะอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูง และธนาคารเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น จึงต้องการให้ธนาคารพาณิชย์ และธนาคารรัฐ ลดดอกเบี้ยลงอีก 1-2%

ส่วนค่าเงินบาทนั้น ภาคธุรกิจต้องการให้ค่าเงินบาทในปีหน้าเฉลี่ยอยู่ที่ 35-37 บาท/เหรียญสหรัฐ เพราะจะเป็นประโยชน์ต่อภาคการส่งออก ภาคการเกษตร และการท่องเที่ยว

ขณะที่ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ภาคธุรกิจต้องการให้ราคาน้ำมันดีเซลลดลงเหลือลิตรละ 22 บาท เพราะจะทำให้ธุรกิจมีกำไรจากการที่ต้นทุนการผลิตลดลง แต่หาก 6 มาตรการ 6 เดือนของรัฐสิ้นสุดลงในสิ้นเดือนธ.ค.นี้ ต้องการให้ราคาน้ำมันดีเซลไม่เกินลิตรละ 26 บาท โดยภาคธุรกิจยืนยันว่าพร้อมที่จะลดราคาสินค้าลงในเร็วๆ นี้ หากต้นทุนน้ำมันลดลง ซึ่งจะลดแรงกดดันเงินเฟ้อ และคาดว่า เงินเฟ้อปีหน้าอาจขยายตัวที่ 3-4% ตามที่กระทรวงพาณิชย์คาดการณ์ และจะทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยสามารถใช้นโยบายดอกเบี้ยต่ำดูแลเศรษฐกิจได้ โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) น่าจะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงได้อีก 0.5-1% ในเดือนธ.ค.นี้เพื่อพยุงเศรษฐกิจ และเป็นไปตามทิศทางอัตราดอกเบี้ยโลกที่อยู่ในช่วงขาลง หลังจากที่เฟดได้ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.5%

“ในเรื่องการจ้างงาน จากผลสำรวจในภาพรวมของภาคธุรกิจขณะนี้ การปลดคนงาน หรือการเลิกจ้างงานยังมีไม่มากนัก เพราะผู้ประกอบการตัดค่าทำงานล่วงเวลา (โอที) ลดโบนัส ลดเงินเดือน และลดสวัสดิการต่างๆ รัฐบาลจึงต้องเร่งแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจให้เห็นเป็นรูปธรรมโดยเร็วในไตรมาส 4 ก็จะทำให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจในไตรมาส 4 เกิน 4% และทั้งปีจะโตได้ที่ 4.5-5% ด้วยการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ ลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ เพราะภาคการก่อสร้างมีการจ้างงานมากที่สุด ส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ โดยขอความร่วมมือจากองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น ใช้งบดูงาน ที่มีถึง 100,000 ล้านบาทในไทย รวมถึงส่งเสริมให้ใช้สินค้า และวัตถุดิบของไทย น่าจะทำให้การว่างงานในปีหน้าไม่เพิ่มขึ้น แต่หากทำไม่ได้ ปีหน้าอัตราการว่างงานจะเพิ่มเป็น 2.6% จากปีนี้ที่ 1.7% หรือมีการปลดคนงานประมาณ 1 ล้านคน” นายธนวรรธน์กล่าว

สำหรับสิ่งที่ภาคธุรกิจต้องการให้รัฐบาลแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วนอันดับแรก คือ ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว รองลงมาคือ ความไม่แน่นอนทางการเมือง ราคาวัตถุดิบที่สูง อัตราดอกเบี้ย สถานการณ์การเงินโลก ราคาน้ำมัน ความเชื่อมั่น และอัตราแลกเปลี่ยน

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ศูนย์ฯ กำลังสำรวจผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับภาคธุรกิจ และเศรษฐกิจไทยในปีหน้า รวมถึงมาตรการแก้ปัญหา ซึ่งยังระบุไม่ได้ว่า เศรษฐกิจไทยปีหน้าจะขยายตัวในอัตราต่ำกว่า 4% หรือติดลบเหมือนวิกฤตปี 2540 หรือไม่ โดยในปี 2540 ติดลบ 1.4% ส่วนปี 2541 ติดลบ 10.5% และมีอัตราว่างงาน 4.4% ซึ่งจะแถลงข่าววันที่ 13 พ.ย.นี้ จากนั้นจะจัดทำเป็นสมุดปกขาวเสนอรัฐบาล
กำลังโหลดความคิดเห็น