xs
xsm
sm
md
lg

โอฬารลุย5หมื่นล.พยุงหุ้น

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ผู้จัดการรายวัน - รองนายกฯ เผยกองทุนพยุงหุ้นวงเงิน 4-5 หมื่นล้านได้ข้อยุติจัดตั้งเสร็จและเริ่มมีเม็ดเงินเข้าซื้อแล้ว เชื่อวงเงินใกล้เคียงกับเม็ดเงินต่างชาติที่เทขายหุ้นจนถึงสิ้นปี หลังจากนี้สถานการณ์ตลาดหุ้นไม่ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงอีก หม่อมอุ๋ยแนะแบงก์พาณิชย์ตั้งกองทุนซื้อหุ้น ลดการพึ่งเม็ดเงินต่างชาติ ส่วน รมว.คลังต้านกองทุนพยุงหุ้น ชี้สิ้นเปลืองงบประมาณ คาดไม่เกิน 3 ปีตลาดหุ้นดีดกลับ

นายโอฬาร ไชยประวัติ รองนายก-รัฐมนตรี เปิดเผยว่า ขณะนี้หน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุนมีข้อยุติร่วมกันในการจัดตั้งกองทุนพยุงหุ้นอยู่แล้ว 3 กองทุน ที่มีวงเงินรวม 4-5 หมื่นล้านบาท ซึ่งน่าจะเพียงพอรองรับการปรับตัวลดลงของตลาดหุ้นไทยได้ รวมถึงสามารถรองรับต่อกรณีที่นักลงทุนต่างชาติจะเทขายหุ้นได้จนถึงสิ้นปีนี้ ทำให้สถานการณ์ตลาดหุ้นไทยดีขึ้น ไม่ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง

'หากตลาดหุ้นไทยไม่ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงต่ำกว่า 10% ติดต่อกัน 2 เดือน วงเงินดังกล่าวก็น่าจะเพียงพอ' นายโอฬารกล่าว

สำหรับ 3 กองทุนที่มีการจัดตั้งอยู่แล้ว ประกอบด้วย กองทุนที่จัดตั้งโดยความร่วมมือของ บลจ.และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) วงเงิน 3 พันล้านบาท รองนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า เริ่มเข้าไปลงทุน ในตลาดหุ้นบ้างแล้ว ขณะที่กองทุนที่จัดตั้งโดยธนาคารพาณิชย์ของรัฐ ได้แก่ ธนาคารออมสินกับตลาดหลักทรัพย์วงเงิน 7 พันล้านบาท อยู่ระหว่างรอการอนุมัติจากธนาคาร แห่งประเทศไทย (ธปท.) และกองทุนที่จัดตั้งโดยการรวมตัวกันของ บริษัทจดทะเบียน 25 แห่ง วงเงิน 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งได้เริ่มเข้าไปซื้อหุ้นบ้างแล้วประมาณ 2 พันล้านบาท นายโอฬารยืนยันว่า กระทรวงการคลัง ไม่ได้ คัดค้านการจัดตั้งกองทุนพยุงหุ้น

นอกจากนี้ ยังกล่าวถึงการพิจารณาอัตราดอกเบี้ยของคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. ว่า หากเห็นว่ามีความเคลื่อนไหวของอัตราดอกเบี้ยช้าไป คงต้องถามเหตุผลจาก กนง. แต่โดยส่วนตัวเห็นว่า กนง.ได้พิจารณาอย่างเหมาะสมตามวาระแล้ว

เลขาฯสมาคมนักวิเคราะห์ฯ หนุน

นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์แห่ง ประเทศไทย กล่าวว่า กองทุนพยุงหุ้นมูลค่า 4-5 หมื่นล้านบาท ที่ นายโอฬาร ไชยประวัติ รองนายกรัฐมนตรีเสนอนั้น ถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะขณะนี้ตลาดหุ้นไทยไม่มีความต้องการ ซื้อรายใหม่เข้ามา ทำให้หุ้นตกลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในระยะยาว หากตลาดทุนอ่อนแอจะกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ทำให้ภาคธุรกิจขาดช่องทางการระดมทุน ส่งผลต่อการผลิตและการส่งออก ทั้งนี้ แม้กองทุนพยุงหุ้น จะสามารถทำให้กองทุนฟื้นคืนได้ แต่ต้องมีความพร้อมของเงินลงทุน และควรลงทุนหุ้นที่ราคาแท้จริงต่ำกว่ามูลค่า ตลาด อีกทั้ง ฐานะทางการเงินของบริษัท ต้องแข็งแกร่ง นอกจากนี้ ภาครัฐจะต้องคิดแผน รองรับผลกระทบ ในอีก 3-6 เดือน ข้างหน้า กับวิกฤตเศรษฐกิจโลก ที่อาจทำให้อัตราการว่างงานเพิ่มสูงขึ้น

อุ๋ยแนะแบงก์ตั้งกองทุนซื้อหุ้น

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีต รมว. คลังและผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ธนาคารพาณิชย์ควรจะรวมตัวกันตั้งกองทุนเพื่อลงทุนหุ้นขนาดใหญ่ที่ไม่มีความเสี่ยงและให้ผลตอบแทนที่ดี เพื่อทำให้ตลาดหุ้นไทยไม่พึ่งพาเม็ดเงินจากต่างชาติเป็นหลัก

'คนไทยมีเงินออมจากการฝากเงินมาก ทำให้ไม่ยากที่จะทำ และกระจายไปยังนักลงทุนทั่วประเทศได้ เพราะว่าหากไม่ช่วยกันก็จะไม่ทำให้ตลาดหุ้นฟื้นตัวได้ เพราะปัจจุบันต่างชาติเทขายอย่างต่อเนื่อง และคง จะเห็นการขายต่อไปเรื่อยๆ' ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าวและว่า ไทยมีทุนสำรองมากพอ หากกรณีต่างชาติขายสุทธิหุ้นที่ถืออยู่หมดทั้งก้อน ก็ยังเหลือเม็ดเงินช่วยประเทศที่จะรองรับฟื้นตัวได้ แต่การที่ฟื้นตัวได้ช้า เป็นโอกาสใน การกระตุ้นการลงทุนของคนในประเทศ อยู่ที่ว่าจะลำเลียงเงินทุนจากที่ไหนมามากพอ สิ่งที่ดีที่สุดตอนนี้ คือ การดึงเม็ดเงินจากเงิน ฝากในประเทศที่มีอยู่จำนวนมากเข้ามาลงทุน

'การที่ธนาคารจะตั้งกองทุน นอกเหนือ จากทำให้มีสภาพคล่องผู้ฝากเงินแล้ว ยังทำให้ขนาดของตลาดหุ้นมีความสำคัญมากขึ้นอีกด้วย ตรงนี้อยากฝากให้ ธปท. และ ตลท.เป็นผู้ให้ความสำคัญ' ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าว

สุชาติค้านตั้งกองทุนพยุงหุ้น

นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รมว.คลัง เปิดเผยว่าตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงมาก ซึ่งถือว่าเป็นการลดลงตามตลาดต่างประเทศ ซึ่งวิกฤตในปีนี้มีขนาดใหญ่กว่าปี 2540 จะทำให้ไม่สามารถประเมินได้ว่า ปัญหาวิกฤตทั้งหมดจะแก้ไขได้ครบถ้วนหรือไม่ หากตลาดหุ้นต่างประเทศตกลงไปอีก จะทำให้ตลาดหุ้นไทยตกลงไปด้วย ทั้งนี้ จากสถาน-การณ์ดังกล่าว ในส่วนภาคเอกชนอาจจะมองว่าหุ้นมีราคาถูก น่าจะเข้าไปลงทุน ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลได้ลดภาษีการลงทุนในกองทุน รวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ไปแล้ว ซึ่งถือว่ารัฐบาลดูแลได้

ส่วนการเข้าไปพยุงตลาดหุ้นโดยกระทรวงการคลังโดยตรง เห็นว่าเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ เพราะได้มีการประเมินแล้วว่าหาก จะแบกดัชนีหุ้นไว้ 100 จุด จะต้องใช้เงิน 5-6 แสนล้านบาท และหากตลาดหุ้นต่างประเทศปรับตัวลดลง ตลาดหุ้นไทยก็จะลดลงตาม ก็จะกลายเป็นว่านักลงทุนต่างชาติขาย ของให้คลังในราคาที่แพง ขณะที่ในสหรัฐฯ ตลาดหุ้นก็ตกหนัก แต่สหรัฐฯแก้ไขปัญหาที่ ภาคเศรษฐกิจที่แท้จริงมีการดูแลสภาพคล่อง ที่จะปล่อยในภาคธุรกิจ สถาบันการเงิน

'สิ่งที่ผมกังวลเราเอาเงินจำนวนหนึ่งไป ค้ำประกันหรือไปดูแลตลาดหุ้นก็ดี วันหนึ่งเงินก็หมดไป แล้วฝรั่งก็ได้สตางค์ไป และนำเงินออกจากประเทศไป คนไทยก็ยังตกงานในอนาคตอยู่ เงินที่จะให้เอสเอ็มแอล กองทุนหมู่บ้านก็จะไม่มี การบริหารประเทศ ต้องดูที่ชีวิตจริงว่าประชาชนจะมีเงินใช้หรือไม่ เราจะไม่ไปเสี่ยงเรื่องการลงทุน'

นายสุชาติกล่าวและเชื่อว่าภายใน 2-3 ปี ตลาดหุ้นไทย จะปรับตัวดีขึ้น แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไร่ ซึ่งเรื่องนี้เป็นข้อเท็จจริงของตลาดหลักทรัพย์ฯ มีการ วิเคราะห์กันอย่างละเอียด สำหรับกองทุนเดิม ที่มีอยู่ ต้องบอกว่าการลงทุนมีความเสี่ยง หากลงทุนในจังหวะที่ดีก็จะมีกำไรเป็นเท่าตัว หากลงทุนไม่ดีก็จะขาดทุน

'รัฐบาลไม่สามารถเอาเงินภาษีอากร ของประเทศไปเสี่ยงในการลงทุนในตลาดหุ้นได้ เงินภาษีต้องเอาไว้เพื่อเป็นรายจ่ายของ ประเทศ ในเรื่องของรายจ่ายประจำและรายจ่ายลงทุน เพื่อดูแลคุณภาพชีวิตของประชาชน'

ส่วนการลงทุนของธนาคารออมสินที่เข้าไปร่วมตั้งกองทุนพยุงหุ้น เป็นการตัดสินใจของธนาคารเอง ไม่เกี่ยวกับคลัง ซึ่งได้เรียนกับผู้อำนวยการธนาคารไป แล้วว่า หากเกิดความเสียหายจากการลงทุนคณะกรรมการธนาคารต้องรับผิดชอบ
กำลังโหลดความคิดเห็น