xs
xsm
sm
md
lg

‘ชัยอนันต์’ ชี้แก้การเมืองใช้ยาแรงประหารคนโกง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

วงเสวนารัฐศาสตร์จุฬาฯ เน้นยาแรง "ชัยอนันต์-วสิษฐ" ประสานเสียงแนะประหารชีวิตและยึดทรัพย์นักการเมืองทุจริต โกงบ้านกินเมือง ห้ามลงเลือกตั้งหากพรรรคถูกศาลสั่งยุบ พรัอมเสนอชะลอระบบเศรษฐกิจ 3 ปี โดยเฉพาะเมกกะโปรเจกส์ เน้นเศรษฐกิจพอเพียงแทน โดยเอาเงินไปช่วยเหลือคนตกงาน ขณะเดียวกันยังเห็นว่าคนไทยควรถือศิลแปด ลดความรุนแรง

วานนี้ (29 ต.ค.) คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับมูลนิธิประชาการ และสถาบันนโยบายศึกษา ร่วมสัมมนาเชิงวิชาการเรื่อง "วิกฤต มุมมอง และทางออกของประเทศไทย" ดร.ชัยอนันต์ สมุทรวณิช นายกราชบัณฑิตยสถาน กล่าวว่า วิกฤติการณ์การเมืองไทยจะมีทางออกแต่วิกฤตินานมากกว่าปกติ เพราะที่ผ่านมา มีเพียงวิธีการแก้ปัญหาแบบเก่าๆ จะให้เป็นแบบยาทันใจแบบเดิมเป็นไปได้ยาก การเมืองสมัยก่อนแก้ปัญหาได้ง่ายไม่ยั่งรากลึก มีผู้เกี่ยวข้องน้อย เช่น สมัยก่อนทหารชั้นผู้ใหญ่ไม่ถูกกันก็แค่คนสองคนและทำรัฐประหาร นักศึกษาเรียกร้องให้มีรัฐธรรมนูญ มีการยิงกันจนทำให้มีการเปลี่ยนแปลง
ส่วนวิกฤติในคราวนี้ต่างจากในอดีตตรงที่ว่าไม่มีตัวละครหน้าเดิมเข้ามาแทรกแซงการเมือง แต่กลับมีความยืดเยื้อและมีผู้เกี่ยวข้องจำนวนมาก ไม่ใช่เฉพาะนักการเมืองระดับบน แต่กลับมีประชาชนมีคนระดับล่างที่ลงมาสนับสนุนแต่ละฝ่ายและที่สำคัญที่สุดในประวัติการเมืองไทย ที่การเมืองมีการยกระดับไปที่สถาบันสูงสุดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
ดร.ชัยอนันต์ กล่าวถึงมุมมองต่อวิกฤติว่า อาจจะมองว่าเป็นปัญหาปกติในประชาธิปไตย แต่ถ้าเทียบดูวิกฤติระยะเวลาอาจสั้นหรือจะคลี่คลายไปได้เอง ขณะเดียวกันยังเห็นว่า คำถามเพื่อต้องการความสมานฉันน์นั้น เป็นเหมือนคำสอนมากกว่าที่จะเป็นการแก้ปัญหาทางการเมือง ดังนั้น จะสร้างสะพานเชื่อมส่วนที่แยกกันของสองฝ่ายอย่างไร มิเช่นนั้นเราจะมีการเมืองสองส่วนตลอดเวลา และเข้าไปอยู่ในสภา
ขณะที่สถานการที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนคือ การกล่าวถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ที่มีเคลื่อนไหวค่อนข้างมาก ทั้งรูปแบบเวปไซด์ นิตยสาร วารสาร และทางวิทยุชุมชน ไม่ได้มีเพียงคนบ้าๆ บอๆที่ออกมาหมิ่น หรือคนปากกล้าอีกต่อไปแล้ว แต่มีลักษณะเป็นกระบวนการเคลื่อนไหวที่น่าสนใจ ขณะเดียวกันยังมีวิกฤติการณ์ที่น่าเรียนรู้อีกมาก

เสนอยาแรงประหารนักการเมืองโกง
ดร.ชัยอนันต์ ชี้ถึงทางออกต่อวิกฤติว่า ที่ผ่านมาเราไปมองถึงช่องทางของรัฐธรรมนูญและกฎหมายตลอดเวลา ทั้งการสังกัด วิธีการได้มาของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตนจึงขอเสนอเรื่องคุณสมบัติผู้มีสิทธิรับเลือกตั้งว่าจะต้องไม่เป็นสมาชิกพรรคที่ถูกศาลยุบมาก่อน การตัดสินทางการเมืองแบบนี้จะเหมาสมแล้วกับการแก้ปัญหาแบบไทย
ทั้งนี้ เห็นว่า ควรจะหยุดโครงการเมกกะโปรเจกส์ไว้ก่อน ถือว่ายังไม่จำเป็นที่จะต้องใช้จ่ายขณะนี้ แต่ควรกลับใช้จ่ายช่วยเหลือคนที่ตกงาน ว่างงาน เป็นต้น เป็นการชะลอระบบการเติบโตและเป็นการตัดผู้ที่เข้ามาใช้อำนาจ และเพิ่มอัตราส่วนของเศรษฐกิจพอเพียง
"ถ้าเราชะลอระบบเศรษฐกิจลง ชะลองบประมาณ 3 ปีข้างหน้า ไม่มีงบซื้อที่ดิน สิ่งก่อสร้าง มีแต่งบเงินเดือน ค่าใช้สอย งบไม่ต้องขาดดุล และเสริมเศรษฐกิจพอเพียง ไม่ต้องกลัวคนรวยเศรษฐีหยุดเอากำไรเพียง 3 ปี อีกอย่างก็ยึดทรัพย์ และประหารชีวิต นักการเมือง 4-5 คน ยึดทรัพย์นักการเมืองสักล้านล้านบาท เพื่อเอามาเป็นค่าใช้จ่าย เมื่ออาชญากรการเมืองถูกประหาร จะได้รู้หมู่รู้จ่า"

การเมืองไทยต้องผ่านการเจ็บปวดก่อน
ด้านดร.สมศักดิ์ ชูโต ประธานมูลนิธิประชาการ นักวิชาการอิสระด้านรัฐศาสตร์ กล่าวว่า การเมืองไทยยังไม่ได้รับความเจ็บปวด จะต้องผ่านความเจ็บปวดก่อน สังเกตได้จากประเทศอินโดนีเซีย ผู้นำกำลังเปลี่ยนแปลง ดังนั้นประเทศไทย ไม่มีอะไรที่ได้มาฟรี ต้องเสียมาก จ่ายมาก เมื่อเปรียบกับการเปลี่ยนแปลงของประเทศต่าง ๆ ขณะที่ประชาธิปไตยแบบเสรีนิยมกำลังเติบโต ซึ่งตนคิดว่ามนุษย์อยู่ได้ ถ้าไม่มีการเมือง ยื่นยันได้ว่าไม่ตาย
ดร.สมศักดิ์ กล่าวว่าคนไทยกล้าพูดกล้าคิด แต่ยังไว้ลาย เกรงใจไม่พูด แต่เดี๋ยวนี้ตรงข้าม พูดได้ตามใจ คือ ไทยแท้ ดังนั้นจะถอยหลังคงไม่ได้ จะต้องเผชิญกับมัน ประการแรกอย่าไปตื่นเต้น อดีตที่เอามาใช้กับปัจจุบันให้ระวังไว้บ้าง ง่าย ๆ คือ กลุ่มที่เผชิญหน้ากันอยู่จะต้อหาวิธีแยกไม่ให้เผชิญหน้า ใครอยู่ในทำเนียบฯอย่าไปจับ อย่าไปให้สองกลุ่มมาตีกัน
"ปัญหาอยู่ที่ คนกลุ่มใหญ่ที่ไม่ค่อยพูด และมีความสงสัย ไม่แน่ใจ แต่ถูกกลุ่มที่ยึดหลักไม่เห็นด้วย คือศัตรู ขณะนี้คนเหล่านี้จะต้องนั่งคิดให้ดี ขอให้มีการคุยกันให้มากขึ้น มีการสนทนา อย่างน้อยมาได้อะไร แต่เป็นการปล่อยความรู้สึก สร้างให้มากๆ ดังนั้นเงื่อนไขประชาธิปไตยทางออก คือคุยกันให้มากขึ้น สามารถไม่เห็นด้วย แต่ไม่ใช่เป็นศัตรู"

ผู้ปกครองไรธรรมภิบาลจึงเกิดวิกฤต
ดร.วิชัย ตันศิริ ที่ปรึกษาอธิการบดี มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวว่า ที่ผ่านมา การปกครองไทยจะต้องมีธรรมาภิบาล แต่เมื่อไม่มีก็ทำให้เกิดความขัดแย้งที่ฝังตัวอยู่ในวิกฤติการณ์ หรือความชั่วร้ายในจังหวะที่ทุนนิยมขยายตัวในโลกาภิวัฒน์มากขึ้น เช่นเมื่อก่อนไม่มีทุนขยายตัวผูกขาด จนมีแนวคิดรัฐสภาแปลก ๆ ระบบการเมืองที่พรรคเดียวเป็นใหญ่ เป็นการทำลายระบบรัฐสภาเบื้องต้น ทำให้เสียงท้วมท้น เพื่อให้มีฝ่ายค้านเพิ่มจนเกิดการทะลักนอกสภา เพราะการคัดค้านในสภาไม่มีประสิทธิภาพ เป็นธรรมชาติของระบบผิดพลาดหรือโง่เขลา หรือขาดแนวคิดที่ลึกซึ้ง ซึ่งตนเคย พยากรณ์กับนักศึกษาว่า 15 ปี จากปี 2535 จะเกิดปัญหาการเดินขบวนครั้งใหญ่ แต่ 5-6 ปีนี้กลับเกิดเป็นมหากาพย์การเมือง ที่ต้องพยายามสั่งสมความคิดให้มากขึ้น แต่หากตกลงไม่ได้ก็ไม่อยากให้เกิดการ นองเลือด

ติงรัฐบาลควบคุมได้แต่ไม่ควบคุม
ดร.วิชัย เห็นว่า การเอาสถาบันมาเกี่ยวข้อง จะเป็นสัญญาณที่อันตราย แต่การเปิดฉากแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐบาลเห็นว่าไม่ฉลาด เพราะถ้ารัฐบาลทำให้ไฟเบาบางหรือไปถอนฟืนออกจากเตาไฟ แต่กลับไม่ทำ ยังคงเดินหน้า ตั้ง ส.ส.ร. 3 ซึ่งเสียงส่วนใหญ่ต้องฟังเสียงส่วนน้อยด้วย ต้องแสดงหลักการว่าควรจะเป็นอย่างไร ไม่ใช่เข้าข้าง ต้องยึดหลักความจริงเป็นหลัก แต่เมื่อมีความรับผิดชอบ ที่แตกต่างกัน ทั้งพันธมิตรและรัฐบาล ที่จะต้องการรักษาสันติภาพของพระราชา มีอย่างที่ไหนผู้นำจะให้คนตีกัน แต่ควรมีบทบาทเพื่อลดความรุนแรงแน่นอนเมื่อรัฐบาลควบคุมพันธมิตรฯไม่ได้ แต่สิ่งที่ควบคุมได้กลับไม่ควบคุม
"ขณะที่การสานเสวนา เมื่อฝ่ายหนึ่งโกหกจะไม่สามารถเจรจาหรือสานเสวนากันได้ ตามหลักศีลธรรมถือว่าชัดแจ้ง โดยเฉพาะกฎหมายที่จะตัดสินวิกฤติ ไม่ใช่เรื่องที่ยัดเยียด แต่เป็นกลไกลที่ปกครอง ตุลาการภิวัฒน์ เป็นหลักที่เข้าสู่กระบวนการลดทอน และแก้ปัญหาการเมือง เช่นเดียวกันกรณี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรรัฐบาลควรแสดงจุดยืน แยกแยะเรื่องส่วนตัวกับส่วนรวม ตรงนี้ถือว่านายกฯ จะเดินสู่กระบวนการขัดแย้งที่ควมคุมได้"
ดร.วิชัย เชื่อว่า เรื่องกฎหมายและการเมืองใหม่ เป็นช่องทางของการ สานเสวนากันได้ ดังนั้นรัฐบาลจึงต้องมีบาบาทที่สามารถยืดหยัด นำคนผิดเข้าสู่กระบวนการ และห้ามคนดูหมิ่น ถ้ารัฐบาลทำได้ จะลดความรุนแรง ความขัดแย้ง และหยุดการรัฐประหาร ทำให้พันธมิตรฯ ก็ต้องมาคิดว่า จะออกจากทำเนียบฯหรือไม่ ตรงนี้คือการการเจรจา แต่หากผู้นำไม่ห้ามปรามก็จะกลายเป็นโศกนาฏกรรมของผู้นำ

"วิสิษฐ"ยืนยันครม.ที่ผ่านมาโคตรโกง
พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร อดีตผู้ช่วยอธิบดีกรมตำรวจ กล่าวว่า วิกฤติการณ์ การเมืองเป็นเรื่องธรรมชาติ ตนปฏิบัติหลักธรรมทางพุทธศาสนาจึงต้องปล่อยวาง แต่หากทำอะไรได้ก็จะต้องทำ ขณะเดียวกันสิ่งที่เกิดขึ้นในทำเนียบญและสนามหลวง จะเห็นได้ว่า แกนนำ 2 ฝ่ายไม่ใช่ลักษณะรากหญ้า กลับเป็นผู้มีการศึกษา เป็นคนระดับกลาง แต่เวลาขึ้นเวทีกลับควบคุมตัวเองไม่ได้ หลุดคำผรุสวาส ด่ากัน เป็นปรากฏการณ์ที่ไม่นึกว่าจะเห็นและได้เห็นเรื่อยๆ ซึ่งต่างจากการศึกษาที่ระดมให้อนุชนปัจจุบัน ดังนั้นเปรียบกับคุณวุฒิการศึกษา ส.ส. , ส.ว. ก็อาจจะไม่มีประโยชน์
ดังนั้นการสานเสวนาถ้ามีแต่คนมีการศึกษา แต่ไม่มีมารยาทมาสานเสวนาจะกลายเป็นเวทีมวย และใช้กำลังเข้าต่อสู้กัน หากให้ตนคิดการแก้วิกฤตแบบไม่ใช่นักรัฐศาสตร์ ความแตกต่างที่มีอุดมการณ์แต่กลับไปลงที่บุคคล ตัวการ ปัญหาส่วนตัว ไม่ใช่ระบบระหว่างฝ่ายที่เอาหรือไม่เอา พ.ต.ท.ทักษิณ ข้อเสนอ ของคนก็จะให้ พ.ต.ต.ทักษิณ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นายสนธิ ลิ้มทองกุล ต่อยมวยกัน ให้คนมาดูเก็บเงินอาจจะแก้ไขเร็วที่สุด หรือ ให้ดวลปืนกันแบบวัฒนธรรมฝรั่ง
"แต่หากคิดแบบรัฐศาสตร์ ไม่คิดว่าจะเห็นการเมืองเชิงพาณิชย์ โดยรวมเกือบ ๆ จะแยกไม่ออก และยังสามารถส่งนายหน้าไปหากลุ่มธุรกิจ ผสมกลมกลืนกัน เรามีรัฐบาลที่อยู่ในทุจริตอันดับสูง เช่น ผมมีพยายานว่าคนที่มีผลประโยชน์ทางฝ่ายการเมือง ระบุกันว่า หากมีตัวเงินก็มาเอางานได้เลยรับรองได้ หากไม่ให้เงินก็ไม่รับรองว่าสัญญาจะไปตลอดรอดฝั่ง"
พล.ต.อ.วสิษฐ กล่าวว่า ครม.ที่ผ่านมาที่ไม่ใช่สมัยพล.อ.สุรยุทธิ์ จุลานนท์ มีลักษณะพิเศษ คือ ไม่ยอมรับการตรวจสอบโดยใครทั้งสิ้น และป้องกันเต็มที่ไม่มีให้มีการ ตรวจสอบ นอกเหลือจากนั้นยังพบว่า การฟ้องหมิ่นประมาทกลับมีมากที่สุด ในรัฐบาลและนักการเมืองชุดนั้น สังเกตได้ว่า เป็นรัฐบาลประชาธิปไตย แต่กลับไม่ยอมให้ตรวจสอบ แต่กลับทำตรงกันข้าม โดยเฉพาะมีการปิดปากสื่อ

ยืนยันมีกระบวนการปิดปากสื่อจริง
"ผมขอยืนยันว่า สื่อถูกกระบวนการปิดปากไม่ให้เสนอข่าวข้อเท็จริงต่อประชาชน โดยวิธีการนั้น คือ อย่าไปลงโฆษณา เป็นวิธีบังคับ หากขืนไม่ฟังจะไม่ถอนโฆษณา ตรงนี้ให้ไปถามสื่อได้ทุกแห่ง"
พล.ต.อ.วสิษฐ กล่าวว่า หากรัฐบาลยังคงเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ เชื่อว่าจะเป็นการซื้อเวลามากกว่า เพราะตนเคยมีส่วนร่างและรับ และเห็นว่ารัฐธรรมนูญ ของไทยไม่มีวันที่จะสมบูรณ์ อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาสมัยรัฐบาลม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช คณะผู้ร่างฯสมัยนั้นได้เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ โดยมีพระราชกระแสฯ แนะนำว่า "อย่าแก้ร่างยาว ให้แก้ง่าย ๆ" เพียง 2-3 หน้า แบบประเทศอิสราเอล แต่การแก้ที่ผ่านมี 200-300 มาตราและแก้ได้ยาก ดังนั้นการร่างใหม่ จึงไม่เชื่อจะเกิดความหน้าเปลี่ยนแปลงหรือตื่นเต้น
พล.ต.อ.วิสิษฐ เห็นว่า หากพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ทำการปฏิวัติยึดอำนาจ คิดว่า คงจะมองออกว่าจะเกิดอะไรขึ้น เชื่อว่าคดีของ พ.ต.ท.ทักษิณจะยุติ อย่างน้อยก็ชั่วขณะ โอกาสที่ พ.ต.ท.ทักษิณจะพิสูจน์ หรือ อัยการจะทำงานต่อก็จะยุติ ดังนั้นหากพันธมิตรฯประสบผลสำเร็จตรงนี้ นปช.ก็จะได้ประโยชน์ แต่สิ่งที่กลับไม่ได้ประโยชน์ คือบ้านเมือง แต่ทหารคงต้องการให้ทั้งสองฝ่ายแก้ปัญหากันเอง ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า บ้านเมืองยังอึมครึม

วอนศาลประหารชีวิตคนโกงเป็นกุศล
อดีตผู้ช่วยอธิบดีกรมตำรวจ ยังสนับสนุนแนวคิดของ ดร.ชัยอนันต์ ว่า นักการเมืองที่ทำทุจริต ควรถูกประหารชีวิต หรือนักการเมืองที่ใช้หน้าที่อิทธิพล กระทบกระเทือนกับประชาชนโดยตรง ซึ่งตนอยากจะเห็นคนนึงก่อนมากกว่า 4-5 คน เพราะเชื่อว่ากฎหมายยุติธรรม โดยจะอ้อนวอนกระบวนการยุติธรรมให้ทำเรื่องใหญ่ ๆ ประหารชีวิตเป็นกุศลกับบ้านเมือง
ทั้งนี้ ยังสนับสนุนแนวคิดลดการชะลอการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศลง โดยเชื่อว่าจะสามารถลดปัญหาจากคนกลุ่มใหม่ที่เกิดขึ้น หยุดการขยายตัวระบบทุนนิยมสักระยะหนึ่ง ซึ่งตนไม่เข้าใจรัฐบาลที่ขึ้นมา ต้องพยายามที่จะทำโครงการเมกกะโปรเจกส์ อย่างไรก็ตามคิดว่า รัฐบาลเพียงต้องการความพร้อม เพื่อให้ได้งบประมาณในการเลือกตั้งเท่านั้น กลายเป็นว่าทำเศรษฐกิจเพลินเพลิน มากกว่าเพียงพอ
"เราเป็นชาวพุทธ ผมเสนอว่าเราลองมาถือศีลแปดทั้งประเทศ วันนั้นหากคนไทยถือศีลแปดจริง ๆ เช่นเดียวกับทฤษฎีความพอเพียง เราไม่รู้ความหมายของสันโดษ เอามาใช้กับชีวิตจริง ไม่ใช้อดมื้อกินมื้อ ทำเท่าที่อัตภาพอำนวย คือ เรากลับไม่เข้าใจ ไม่ทำ แต่กลับทำตรงกันข้ามในอีกพวกหนึ่ง”
พล.ต.อ.วสิษฐ กล่าวว่า ที่ผ่านมาตนใช้วิธีไทยเดิมคือ จับสาระการโจมตีของทั้งสองฝ่าย โดยเฉพาะประโยชน์ที่จะได้รับ ดังนั้นคนไทยที่ฉลาดต้องไม่รีบปรุงแต่ง เนื่องจากความฟุ้งซ่าน ต้องคุมสติ และทำประโยชน์ที่สนับสนุนได้ และซึ่งตรงนี้ตนก็เห็นด้วยกับทั้งสองฝ่าย ที่เอาประโยชน์มาชี้แจงให้ข้อมูลกับประชาชน
ขณะเดียวกันเหตุการณ์รุนแรง ถ้าเกิดก็คงเกิด เราจะทำอะไรได้ก็จะทำ ถ้าทำอะไรไม่ได้ก็ไม่มีประโยชน์ เพราะบ้าไปแล้วหลายคน อย่างไรก็ตามผู้ที่เกี่ยวข้องจะต้องดำเนินการ เนื่องจากกำลังถูกทำให้แคบ ดังนั้นควรเปิดกว้างทั้งตาและใจ โดยดูด้วยสติอย่าให้ใครมาชักจูงให้บ้าตาม เราจะสามารถได้ข้อยุติ แต่เรากลับลืมสูตรการปกครองของปฐมบรมราชโองการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่ว่า "เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขของมหาชนชาวสยาม" แต่รัฐบาลกลับปกครองเพื่อประโยชน์สุขของพรรคพวก สุดท้ายประเทศไทยจะไปไม่รอด
กำลังโหลดความคิดเห็น