เป็นอะไรไปหรือ จึงบ่นบ้าว้าวุ่นกลัวแต่ว่าบ้านเมืองจะนองเลือด กลัวทำไม เมืองไทยนองเลือดมาหลายครั้งแล้ว หากเมืองไทยมีบาปร่วมมาแต่ปางหลังมากกว่าบุญ หรือปัจจุบันสังคมเรามีบุญร่วมน้อยกว่าบาป ก็สมควรแล้วมิใช่หรือที่เราจะต้องนองเลือด เพื่อใช้กรรม
แต่ฉันว่า ไม่หรอก หลังจากตำรวจบ้าคลั่งเข่นฆ่าประชาชนตั้งแต่เช้าจนมืดในวันที่ 7 ที่ผ่านมา มิไยที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ จะทรงเมตตาส่งเงินบริจาคและทหารเสนารักษ์มาช่วยแต่เช้า ทั้งตำรวจ ทหาร และรัฐบาลพากันหูหนวกตาบอดและใจมืด จนป่านนี้คำว่าขอโทษก็ยังไม่ได้ยินสักคำ จึงมีเสียงก่นด่าสะท้อนฟ้าสะเทือนดินไม่จบ พวกผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายไปไหนก็ต้องซ่อนหน้าซุกหัวกลัวมือตบและการฮาป่าของประชาชน
แต่ในที่สุด กองทัพก็ออกมาขู่ฟ่อว่ารัฐบาลมือเปื้อนเลือดต้องรับผิดชอบ แต่รัฐบาลโคตรหน้าด้านเบอร์หนึ่งของโลกในรอบหนึ่งพันปี คนชื่อสมชายหรือนายสมัครก็เหมือนกัน มันจงรักภักดีต่อทักษิณยิ่งกว่าชาติ ศาสน์ กษัตริย์
เรื่องอะไรกูจะออก มึงอยากพูดอะไรก็ช่างหัวมึงสิ เล่นเอา 5 ทหารเสือของจอมทัพไทยในเครื่องแบบแสนสง่าเหรียญตราเต็มอกที่ออกมานั่งเรียงแถววันนั้น ถูกตอกหน้าแงแหยเงียบไปตลอดเวลาที่ผ่านมา
เธอถามฉันว่า จะป้องกันนองเลือดได้อย่างไร และต้องระวังอันตรายวันไหน ฉันขอตอบว่าวันประชุมรัฐสภาก่อนสิ้นเดือนนี้ ตุลาคมเป็นเดือนอาถรรพณ์ ส่วนวันที่ 1 พฤศจิกายน ที่รัฐบาลปากว่าตาขยิบให้ นปช.กับ ส.ส.รัฐบาลระดมพลคนเสื้อแดงรักทักษิณจากทั่วประเทศมาชุมนุมที่สนามกีฬารัชมังคลาฯ เพื่อสำแดงพลังข่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และฟังคำปราศรัยข้ามโลกของทักษิณนั้น อาจจะไม่เท่าไร พวกเขาคงมาซ้อมใหญ่เพื่อเตรียมลุกฮือขึ้นในอนาคตหากรัฐบาลล้ม
ถ้าพันธมิตรฯ ตัดสินใจเข้ายึดสภาฯ อีกครั้งนี้ คงจะหนีไม่พ้นการต่อตีของ นปช.ที่ล่วงหน้าเข้ามาในกรุงเป็นหมื่น ความสูญเสียที่จะเกิดขึ้นจะมากกว่าเก่าหรือไม่ ขึ้นกับว่าพันธมิตรฯ จะละทิ้งวิธีต่อสู้แบบอหิงสา และตำรวจจะลุแก่อำนาจอีกหรือไม่
สำหรับการป้องกัน ฉันเห็นว่าอย่างน้อยมี 5 ประการ คือ
1. ทักษิณปลดล็อกตามข้อสังเกตของอดีตนายกฯ อานันท์ ปันยารชุน เอาชนะอวิชชา มานะ ตัณหา และมิจฉาทิฐิ เลิกส่งคำสั่งและน้ำเลี้ยงมายังบริวารเปรตทั้งในและนอกรัฐบาล
2. ตำรวจเลิกเป็นใจหนุนช่วย นปช.เหมือนเหตุการณ์ที่อุดรธานีและสะพานมัฆวานฯ ตำรวจรู้สำนึกและไม่กระทำผิดซ้ำซ้อนอย่างกรณี 7 ตุลาคมเลือดอีก แต่กระทำตัวเป็นตำรวจอาชีพตามมาตรฐานสากล มีจิตเป็นมนุษย์เหมือนคนไทยทั่วไป และไม่ละเมิดคำสั่งศาลปกครองมิให้ตำรวจทำรุนแรงเกินกว่าเหตุ
3. กองทัพได้คิด ทำหน้าที่ปรามตำรวจ มิใช่คอยเป็นผู้ช่วยตามคำขอตำรวจ และเตรียมกำลังพลพร้อมอาวุธออกมากั้นอยู่ระหว่างพันธมิตรฯ กับตำรวจ ปล่อยให้ตำรวจกั้น นปช.อีกชั้นหนึ่ง จะได้คอยดูว่าตำรวจทำหน้าที่ มิใช่แอบขยิบตายุ นปช. ตามความเคยชิน ผู้บังคับบัญชาตำรวจต้องเมินคำสั่งและเลิกทำตัวเสมือนทาสทักษิณ
4.ทหาร ข้าราชการตำรวจ ธุรกิจ อุตสาหกรรม สหภาพฯ สมาคม วัดมหาวิทยาลัย โรงเรียน โรงงาน โรงพยาบาล และประชาชนทุกหมู่เหล่าอาชีพพากันออกมาทำอารยะขัดขืนแบบลุกฮือขึ้นเต็มกรุงเทพฯ และทั่วประเทศ ด้วยความสามัคคีและอหิงสา จนกระทั่งสยบพลังอธรรมของรัฐบาลได้
5.พระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ แผ่พระบรมเดชานุภาพและพระมหาบารมีสยบความรุนแรง สร้างสำนึกรักสามัคคีในหมู่พสกนิกร สำนึกของทหารและข้าราชการในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้รับใช้ปกป้องประชาชนตามพระราชปณิธาน
และมีอีกอย่างหนึ่งที่ฉันไม่อาจจะจัดอันดับหรือทำนายได้ว่าจะเกิดขึ้นหรือไม่ นั่นก็คือ การอภิวัฒน์ประชาธิปไตยโดยประชาชนพลเรือนและทหาร ที่ต่างกับการปฏิวัติรัฐประหารหรือยึดอำนาจในอดีต
เมืองไทยที่รัก เธอถามฉันว่าเป็นไปได้อย่างไรที่ตำรวจโหดร้ายป่าเถื่อนกับประชาชนได้ถึงปานนั้น คำตอบมี 2 ข้อ คือ (1) สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้กลายเป็นทาสของทักษิณไปเกือบหมด และ (2) วัฒนธรรมและพฤติกรรมองค์การอันล้าหลังบ้าอำนาจของตำรวจ
ข้อแรกแทบไม่ต้องอธิบาย เพราะทักษิณเป็นนายกฯ คนแรกที่จบจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ มีเพื่อนร่วมรุ่นมากมาย และวางหมากวางคนที่เป็นสมุนบริวารไว้ทุกหนทุกแห่ง ส่วนข้อที่ (2) นั้นเพราะตำรวจมียศจึงใหญ่โตโอ่อำนาจเหมือนทหาร ที่นอกคอกเลยทำตัวเหมือนหัวหน้าโจร ตำรวจไทยเป็นองค์กรระดับชาติมิใช่ท้องถิ่นหรือภูมิภาคเหมือนชาติที่เจริญทั้งหลาย จึงเกิดการ “รวมศูนย์ รวบอำนาจ เป็นทาสส่วนกลาง” มาตลอด ดังนั้นจึงวิ่งแข่งขันกันรับใช้นาย แลกเอายศตำแหน่งกับการเลื่อนชั้น ซึ่งนักการเมืองเป็นผู้บันดาล
เมืองไทยที่รัก เวรกรรมอะไรหนอ เธอกับฉันจึงต้องมีอันเป็นแคล้วคลาดกันตลอดกาล เมื่อฉันต้องระเห็จไปอยู่เมืองนอก เธอก็อยู่เมืองไทย พอฉันกลับเมืองไทย เธอก็หนีไปอยู่เมืองนอก อย่างนี้สองสามเที่ยว พอมีเรื่องของบ้านเมืองต้องติดใจสงสัยถามไถ่กันอยู่ร่ำไป แต่ฉันก็ยินดีตอบเธอเสมอแหละนะ
เธอถามว่ามูลเหตุแห่งวิกฤตครั้งนี้คืออะไร ฉันไม่อยากตอบว่ามันเป็นบาปของมนุษย์ที่เริ่มขึ้นตั้งแต่สมัยอาดัมกับอีวา แต่ฉันว่าปัจจุบันมันเชื่อมโยงกับอดีตตามหลักอิทัปปจจยตาของพระพุทธเจ้า การเมืองไทยได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างหนัก เมื่อกลุ่มบุคคลที่มีเงินมากที่สุด มีอำนาจที่สุด ภายใต้การนำของทักษิณ พากันหักดิบทำลายกฎหมายของบ้านเมืองอย่างสนุกมือมาห้าหกปี เริ่มตั้งแต่การซื้อตุลาการคดีซุกหุ้น 1 ทำให้ทักษิณรอดตัว เพราะศาลเชื่อว่ากระทำผิดโดยสุจริต ผู้คนก็โห่ร้องขานรับกันทั้งบ้านทั้งเมือง
หลังจากนั้น ทักษิณกับพวกถูกกล่าวหาคดีโกงกินคอร์รัปชันกว่า 40 โครงการยักษ์ ฆ่าตัดตอนคนไม่ผ่านขบวนการยุติธรรมเป็นพันๆ คน ละเมิดกฎหมาย ละเมิดรัฐธรรมนูญ ละเมิดพระมหากษัตริย์
ครั้นสื่อ ฝ่ายค้าน หรือองค์กรรัฐ องค์กรเอกชนจะตรวจสอบก็ไม่เป็นผล ตำรวจอัยการไม่รับแจ้ง ไม่นำคดีสู่ศาล อ้างว่าถ้าจะให้ตนออกต้องให้ในหลวงกระซิบข้างหู ถ้าจะตัดสินว่าตนผิดมีอยู่ทางเดียวเท่านั้น คือ ถามประชาชนผู้ที่มาหย่อนบัตรเลือกตั้ง
พากันใหญ่คับฟ้าคับแผ่นดินทั้งเจ้านายทั้งลูกน้อง ไม่เกรงกลัวผู้ใด เพราะว่าตนมาจากการเลือกตั้ง เป็นขวัญใจของผู้คนทั่วแคว้นแดนดิน
เมืองไทยที่รัก นี่แหละที่เขาว่า อำนาจทำให้กระทำความชั่ว และอำนาจสูงสุดทำให้กระทำชั่วสุดๆ
แม้รัฐบาลทักษิณจะถูกขับ คมช.กับรัฐบาลสุรยุทธ์ร่วมกันครองอำนาจรัฐอยู่ตั้งแต่ 19 กันยายน 2549 ถึง 23 ธันวาคม 2550 ก็มืออ่อนเกินไป ปล่อยให้บริวารของทักษิณกลับมาเป็นรัฐบาลได้อีก คราวนี้สถาบันกษัตริย์ถูกคุกคามอย่างเปิดเผยและหนักหน่วง
อันนี้เป็นมูลเหตุให้เกิดวิกฤต จนกระทั่งทุกวันนี้ก็ยังไม่รู้จะแก้กันอย่างไร
รักและคิดถึงเมืองไทยไม่เปลี่ยนแปลง
รมณีย์
28 ตุลาคม 2551
แต่ฉันว่า ไม่หรอก หลังจากตำรวจบ้าคลั่งเข่นฆ่าประชาชนตั้งแต่เช้าจนมืดในวันที่ 7 ที่ผ่านมา มิไยที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ จะทรงเมตตาส่งเงินบริจาคและทหารเสนารักษ์มาช่วยแต่เช้า ทั้งตำรวจ ทหาร และรัฐบาลพากันหูหนวกตาบอดและใจมืด จนป่านนี้คำว่าขอโทษก็ยังไม่ได้ยินสักคำ จึงมีเสียงก่นด่าสะท้อนฟ้าสะเทือนดินไม่จบ พวกผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายไปไหนก็ต้องซ่อนหน้าซุกหัวกลัวมือตบและการฮาป่าของประชาชน
แต่ในที่สุด กองทัพก็ออกมาขู่ฟ่อว่ารัฐบาลมือเปื้อนเลือดต้องรับผิดชอบ แต่รัฐบาลโคตรหน้าด้านเบอร์หนึ่งของโลกในรอบหนึ่งพันปี คนชื่อสมชายหรือนายสมัครก็เหมือนกัน มันจงรักภักดีต่อทักษิณยิ่งกว่าชาติ ศาสน์ กษัตริย์
เรื่องอะไรกูจะออก มึงอยากพูดอะไรก็ช่างหัวมึงสิ เล่นเอา 5 ทหารเสือของจอมทัพไทยในเครื่องแบบแสนสง่าเหรียญตราเต็มอกที่ออกมานั่งเรียงแถววันนั้น ถูกตอกหน้าแงแหยเงียบไปตลอดเวลาที่ผ่านมา
เธอถามฉันว่า จะป้องกันนองเลือดได้อย่างไร และต้องระวังอันตรายวันไหน ฉันขอตอบว่าวันประชุมรัฐสภาก่อนสิ้นเดือนนี้ ตุลาคมเป็นเดือนอาถรรพณ์ ส่วนวันที่ 1 พฤศจิกายน ที่รัฐบาลปากว่าตาขยิบให้ นปช.กับ ส.ส.รัฐบาลระดมพลคนเสื้อแดงรักทักษิณจากทั่วประเทศมาชุมนุมที่สนามกีฬารัชมังคลาฯ เพื่อสำแดงพลังข่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และฟังคำปราศรัยข้ามโลกของทักษิณนั้น อาจจะไม่เท่าไร พวกเขาคงมาซ้อมใหญ่เพื่อเตรียมลุกฮือขึ้นในอนาคตหากรัฐบาลล้ม
ถ้าพันธมิตรฯ ตัดสินใจเข้ายึดสภาฯ อีกครั้งนี้ คงจะหนีไม่พ้นการต่อตีของ นปช.ที่ล่วงหน้าเข้ามาในกรุงเป็นหมื่น ความสูญเสียที่จะเกิดขึ้นจะมากกว่าเก่าหรือไม่ ขึ้นกับว่าพันธมิตรฯ จะละทิ้งวิธีต่อสู้แบบอหิงสา และตำรวจจะลุแก่อำนาจอีกหรือไม่
สำหรับการป้องกัน ฉันเห็นว่าอย่างน้อยมี 5 ประการ คือ
1. ทักษิณปลดล็อกตามข้อสังเกตของอดีตนายกฯ อานันท์ ปันยารชุน เอาชนะอวิชชา มานะ ตัณหา และมิจฉาทิฐิ เลิกส่งคำสั่งและน้ำเลี้ยงมายังบริวารเปรตทั้งในและนอกรัฐบาล
2. ตำรวจเลิกเป็นใจหนุนช่วย นปช.เหมือนเหตุการณ์ที่อุดรธานีและสะพานมัฆวานฯ ตำรวจรู้สำนึกและไม่กระทำผิดซ้ำซ้อนอย่างกรณี 7 ตุลาคมเลือดอีก แต่กระทำตัวเป็นตำรวจอาชีพตามมาตรฐานสากล มีจิตเป็นมนุษย์เหมือนคนไทยทั่วไป และไม่ละเมิดคำสั่งศาลปกครองมิให้ตำรวจทำรุนแรงเกินกว่าเหตุ
3. กองทัพได้คิด ทำหน้าที่ปรามตำรวจ มิใช่คอยเป็นผู้ช่วยตามคำขอตำรวจ และเตรียมกำลังพลพร้อมอาวุธออกมากั้นอยู่ระหว่างพันธมิตรฯ กับตำรวจ ปล่อยให้ตำรวจกั้น นปช.อีกชั้นหนึ่ง จะได้คอยดูว่าตำรวจทำหน้าที่ มิใช่แอบขยิบตายุ นปช. ตามความเคยชิน ผู้บังคับบัญชาตำรวจต้องเมินคำสั่งและเลิกทำตัวเสมือนทาสทักษิณ
4.ทหาร ข้าราชการตำรวจ ธุรกิจ อุตสาหกรรม สหภาพฯ สมาคม วัดมหาวิทยาลัย โรงเรียน โรงงาน โรงพยาบาล และประชาชนทุกหมู่เหล่าอาชีพพากันออกมาทำอารยะขัดขืนแบบลุกฮือขึ้นเต็มกรุงเทพฯ และทั่วประเทศ ด้วยความสามัคคีและอหิงสา จนกระทั่งสยบพลังอธรรมของรัฐบาลได้
5.พระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ แผ่พระบรมเดชานุภาพและพระมหาบารมีสยบความรุนแรง สร้างสำนึกรักสามัคคีในหมู่พสกนิกร สำนึกของทหารและข้าราชการในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้รับใช้ปกป้องประชาชนตามพระราชปณิธาน
และมีอีกอย่างหนึ่งที่ฉันไม่อาจจะจัดอันดับหรือทำนายได้ว่าจะเกิดขึ้นหรือไม่ นั่นก็คือ การอภิวัฒน์ประชาธิปไตยโดยประชาชนพลเรือนและทหาร ที่ต่างกับการปฏิวัติรัฐประหารหรือยึดอำนาจในอดีต
เมืองไทยที่รัก เธอถามฉันว่าเป็นไปได้อย่างไรที่ตำรวจโหดร้ายป่าเถื่อนกับประชาชนได้ถึงปานนั้น คำตอบมี 2 ข้อ คือ (1) สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้กลายเป็นทาสของทักษิณไปเกือบหมด และ (2) วัฒนธรรมและพฤติกรรมองค์การอันล้าหลังบ้าอำนาจของตำรวจ
ข้อแรกแทบไม่ต้องอธิบาย เพราะทักษิณเป็นนายกฯ คนแรกที่จบจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ มีเพื่อนร่วมรุ่นมากมาย และวางหมากวางคนที่เป็นสมุนบริวารไว้ทุกหนทุกแห่ง ส่วนข้อที่ (2) นั้นเพราะตำรวจมียศจึงใหญ่โตโอ่อำนาจเหมือนทหาร ที่นอกคอกเลยทำตัวเหมือนหัวหน้าโจร ตำรวจไทยเป็นองค์กรระดับชาติมิใช่ท้องถิ่นหรือภูมิภาคเหมือนชาติที่เจริญทั้งหลาย จึงเกิดการ “รวมศูนย์ รวบอำนาจ เป็นทาสส่วนกลาง” มาตลอด ดังนั้นจึงวิ่งแข่งขันกันรับใช้นาย แลกเอายศตำแหน่งกับการเลื่อนชั้น ซึ่งนักการเมืองเป็นผู้บันดาล
เมืองไทยที่รัก เวรกรรมอะไรหนอ เธอกับฉันจึงต้องมีอันเป็นแคล้วคลาดกันตลอดกาล เมื่อฉันต้องระเห็จไปอยู่เมืองนอก เธอก็อยู่เมืองไทย พอฉันกลับเมืองไทย เธอก็หนีไปอยู่เมืองนอก อย่างนี้สองสามเที่ยว พอมีเรื่องของบ้านเมืองต้องติดใจสงสัยถามไถ่กันอยู่ร่ำไป แต่ฉันก็ยินดีตอบเธอเสมอแหละนะ
เธอถามว่ามูลเหตุแห่งวิกฤตครั้งนี้คืออะไร ฉันไม่อยากตอบว่ามันเป็นบาปของมนุษย์ที่เริ่มขึ้นตั้งแต่สมัยอาดัมกับอีวา แต่ฉันว่าปัจจุบันมันเชื่อมโยงกับอดีตตามหลักอิทัปปจจยตาของพระพุทธเจ้า การเมืองไทยได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างหนัก เมื่อกลุ่มบุคคลที่มีเงินมากที่สุด มีอำนาจที่สุด ภายใต้การนำของทักษิณ พากันหักดิบทำลายกฎหมายของบ้านเมืองอย่างสนุกมือมาห้าหกปี เริ่มตั้งแต่การซื้อตุลาการคดีซุกหุ้น 1 ทำให้ทักษิณรอดตัว เพราะศาลเชื่อว่ากระทำผิดโดยสุจริต ผู้คนก็โห่ร้องขานรับกันทั้งบ้านทั้งเมือง
หลังจากนั้น ทักษิณกับพวกถูกกล่าวหาคดีโกงกินคอร์รัปชันกว่า 40 โครงการยักษ์ ฆ่าตัดตอนคนไม่ผ่านขบวนการยุติธรรมเป็นพันๆ คน ละเมิดกฎหมาย ละเมิดรัฐธรรมนูญ ละเมิดพระมหากษัตริย์
ครั้นสื่อ ฝ่ายค้าน หรือองค์กรรัฐ องค์กรเอกชนจะตรวจสอบก็ไม่เป็นผล ตำรวจอัยการไม่รับแจ้ง ไม่นำคดีสู่ศาล อ้างว่าถ้าจะให้ตนออกต้องให้ในหลวงกระซิบข้างหู ถ้าจะตัดสินว่าตนผิดมีอยู่ทางเดียวเท่านั้น คือ ถามประชาชนผู้ที่มาหย่อนบัตรเลือกตั้ง
พากันใหญ่คับฟ้าคับแผ่นดินทั้งเจ้านายทั้งลูกน้อง ไม่เกรงกลัวผู้ใด เพราะว่าตนมาจากการเลือกตั้ง เป็นขวัญใจของผู้คนทั่วแคว้นแดนดิน
เมืองไทยที่รัก นี่แหละที่เขาว่า อำนาจทำให้กระทำความชั่ว และอำนาจสูงสุดทำให้กระทำชั่วสุดๆ
แม้รัฐบาลทักษิณจะถูกขับ คมช.กับรัฐบาลสุรยุทธ์ร่วมกันครองอำนาจรัฐอยู่ตั้งแต่ 19 กันยายน 2549 ถึง 23 ธันวาคม 2550 ก็มืออ่อนเกินไป ปล่อยให้บริวารของทักษิณกลับมาเป็นรัฐบาลได้อีก คราวนี้สถาบันกษัตริย์ถูกคุกคามอย่างเปิดเผยและหนักหน่วง
อันนี้เป็นมูลเหตุให้เกิดวิกฤต จนกระทั่งทุกวันนี้ก็ยังไม่รู้จะแก้กันอย่างไร
รักและคิดถึงเมืองไทยไม่เปลี่ยนแปลง
รมณีย์
28 ตุลาคม 2551