ดูวิถีดาวเดือนที่เคลื่อนคล้อยในช่วงนี้แล้ว ก็เห็นจะเป็นไปดังบทพยากรณ์ประกาศสงกรานต์ 2551 ซึ่งได้ลงตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน เมื่อวันที่ 21 และวันที่ 24 มีนาคม 2551
ซึ่งตอนหนึ่งได้ระบุไว้ว่านางสงกรานต์เวรปีนี้เสด็จไสยาสน์ลืมพระเนตรมาบนหลังพญาครุฑ พระหัตถ์ซ้ายทรงสังข์ พระหัตถ์ขวาทรงจักร ซึ่งทั้งพญาครุฑและจักรนั้นล้วนเป็นสัญลักษณ์แห่งพระนารายณ์ หนึ่งในมหาเทพแห่งตรีมูรติ ซึ่งทำหน้าที่ในการปราบมารในยามกลียุค
ต่อมาในบทความเรื่อง “เจาะรหัสของดวงดาวจากทักษิณ?” ซึ่งได้ลงตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2551 ก็ได้กล่าวถึงการโคจรของดาวพระเสาร์เข้าเรือนปุตตะของดวงเมืองว่าหมายถึงประชาชนผู้ทุกข์ยากจะต่อต้านรัฐบาล และเมื่อดาวอังคารอันเป็นดาวประจำองค์พระมหากษัตริย์ผู้เป็นผู้นำของนักรบทั้งหลายทั้งปวงโคจรมาสมทบ ก็จะทำให้สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก
มันเริ่มเปลี่ยนแปลงแล้ว! เพราะจู่ ๆ ก็เกิดคดีติดสินบนเจ้าหน้าที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของนักการเมืองโดยที่ไม่มีใครคาดฝัน ครั้นเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2551 ศาลฎีกาก็ได้มีคำพิพากษาจำคุกทนายความและคนใกล้ชิดของคุณทักษิณ และคุณหญิงพจมานถึง 3 คน ในข้อหาละเมิดอำนาจศาล เพราะนำเงินจำนวน 2 ล้านบาทใส่กล่องขนมไปมอบให้กับเจ้าหน้าที่ของศาล ในพฤติการณ์ที่ศาลเห็นว่าเพื่อให้ปฏิบัติโดยไม่ชอบด้วยหน้าที่และกฎหมาย
แม้ศาลฎีกาจะตัดสินจำคุก 6 เดือน แต่ก็มีความหมายใหญ่หลวงและส่งผลกระทบสะท้านฟ้าสะเทือนดินไปทั่วโลก
เพราะมันไปเกี่ยวข้องอย่างแน่นแฟ้นกับคุณทักษิณและคุณหญิงพจมาน มันเกี่ยวข้องกับคดีที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของนักการเมืองกำลังพิจารณาอยู่ และที่สำคัญ มันได้ยืนยันข้อกล่าวหาของคนจำนวนมากโดยเฉพาะกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยว่ามีการใช้เงินซื้อทุกสิ่งทุกอย่างในประเทศนี้ แม้กระทั่งพยายามที่จะซื้อศาล
เรื่องการติดสินบนศาลในลักษณะเช่นนี้เป็นเรื่องร้ายแรงที่อารยประเทศเขาขยะแขยงชิงชังรังเกียจอย่างยิ่ง จึงกระทบต่อภาพลักษณ์ในทางสากลอย่างรุนแรง
เพราะเมื่อเรื่องนี้ปรากฏเป็นข่าวขึ้นแล้ว สื่อต่างประเทศทุกสำนักโดยเฉพาะบีบีซี เอพี หรือเอเอฟพี ต่างก็ตีข่าวเรื่องนี้กันอย่างครึกโครมไปทั่วโลก แล้วนึกดูเถิดว่ามันกระทบต่อภาพลักษณ์ขนาดไหน
มันได้ทำลายภาพลักษณ์ที่เพียรสร้างในต่างประเทศอย่างยับเยิน
นี่คือปรากฏการณ์การขว้างจักรของพระนารายณ์ในการปราบมารไม่ใช่หรือ?
การที่ทีมทนายถูกจำคุกก็เหมือนกับการที่จักรพระนารายณ์ต้องแขนขาดไปข้างหนึ่งแล้ว!
การที่สื่อต่างประเทศนำความไปขยายผลในระดับนานาชาติ ก็อาจหมายถึงจักรพระนารายณ์ต้องเอาเสื้อผ้าขาดหมดจนต้องเปลือยกายล่อนจ้อนในเวทีต่างประเทศไม่ใช่หรือ?
บทพยากรณ์สงกรานต์อันมีมาแต่โบราณกาลจึงเป็นเรื่องน่าคิด น่าพิจารณา น่าติดตามศึกษา แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานหรือเหตุผลทางวิทยาศาสตร์รองรับก็ตามที
แล้วคอยดูท่าทีของทหารให้ดี เพราะแม้ว่าจะพยายามอดกลั้นอดทนและยืนหยัดในหน้าที่ของตนที่จะไม่เข้าเกี่ยวข้องในทางการเมือง แต่เมื่อถึงเวลาหนึ่งที่เอกราชอธิปไตยของชาติ พระบรมเดชานุภาพแห่งพระมหากษัตริย์ ศักดิ์และศรีของกองทัพไทย รวมทั้งเกียรติภูมิของเหล่าทหารถูกกระทบกระเทือนบ่อนทำลายอย่างร้ายแรงแล้ว สถานการณ์ก็จะเปลี่ยนแปลงไปได้
ไม่อยากให้ใครไปดูหมิ่นดูแคลนเหล่าทหาร เพราะถึงที่สุดแล้วทหารก็คือทหารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงเป็นจอมทัพไทย เป็นสัญลักษณ์แห่งองค์พระนารายณ์อันมีมาในบทพยากรณ์สงกรานต์นั้น
อันพลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก แม้เป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 10 แต่ก็เคยผ่านการพิสูจน์มาแล้วว่าเมื่อครั้งที่คุณทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีด้วยตนเอง เรืองกฤษดานุภาพยิ่งกว่าใครในแผ่นดิน ก็ยังไม่เคยซื้อน้ำใจนายทหารใหญ่คนนี้ได้เลย
สำมะหาอะไรกับวันนี้ที่คุณทักษิณเป็นจำเลยในคดีอาญาแผ่นดิน แล้วพลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา จะต้องยอมสยบหรือขายจิตวิญญาณที่จงรักภักดีต่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ให้เล่า?
การบำเพ็ญขันติและทมะเป็นธรรมขั้นสูงในพระพุทธศาสนา ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงบำเพ็ญ ทรงอบรมสั่งสอนมาตลอดพระชนม์ชีพ คือสิ่งที่พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา กำลังประพฤติปฏิบัติอยู่
ได้แต่เชื่อมั่นว่าการคะเนหยั่งน้ำใจคนในคราวนี้จะไม่ผิดพลาด!
แต่ทว่าสถานการณ์ปัจจุบัน เอกราชอธิปไตยของชาติกำลังจะสูญเสียไปบางส่วนจากน้ำมือนักการเมืองชั่วขายชาติ สถาบันพระมหากษัตริย์ถูกบ่อนทำลายอย่างร้ายแรงหนักหน่วง เกียรติภูมิของกองทัพถูกทำลายจนใกล้จะต้องเปลี่ยนเครื่องแบบไปนุ่งผ้าถุงของสตรี ดังนั้นวาระสุดท้ายของการออกพรตจากการบำเพ็ญทมะและขันติธรรมก็น่าจะมาถึงในไม่ช้าแล้ว
แต่อย่าไปหวังรูปแบบการใช้ความรุนแรงหรือรูปแบบเก่าๆ พลังแห่งสุญตาและพลังที่ไร้สภาพมากหลายอันมีอยู่ในจักรวาลนี้ ซึ่งผู้มีสติปัญญาความรู้ความสามารถรู้จักนำมาใช้ก็ยังมีอยู่ และสามารถใช้ในการกำราบปราบมารได้เช่นเดียวกัน
เพราะนักการเมืองชั่วขายชาติข่มเหงกดหัวเหล่าทหารให้หุบปาก จึงทำให้เขมรได้ใจ ไม่เพียงแต่จะชิงเอาดินแดนเขาพระวิหารไปเท่านั้น ยังเคลื่อนกำลังแยกเป็นสายๆ รุกเขตแดนไทยเข้ามาแทบทุกจุด
ดังเช่นการเปิดเผยของคุณสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ที่ทหารเขมรรุกดินแดนไทยบริเวณปราสาทร้างแห่งหนึ่งของจังหวัดบุรีรัมย์ โดยถอนหลักเขตแดนไทยทิ้ง แล้วรุกลึกเข้ามาในแผ่นดินไทยถึง 500 เมตร จากนั้นก็ปักหลักเขตใหม่
ทหารของกองทัพภาคที่สองและกองกำลังสุรนารี ตลอดจนทหารพรานที่รักษาชายแดนต้องจำยอมให้เขมรรุกเข้ามายึดดินแดนไทยในบริเวณนี้เพราะได้รับคำสั่งให้อ่อนข้อให้เขมรบุกรุกยึดดินแดนไทยได้
แต่เกิดความละอายแก่ใจและละอายคนไทยที่ปล่อยให้เขมรรุกยึดดินแดนไทยเข้ามาดื้อๆ จึงต้องเอาปี๊บขนาดใหญ่ไปคลุมหลักเขตที่เขมรรุกลึกเข้ามาปักไว้นั้นเสีย
การเอาปี๊บไปคลุมหลักเขตที่เขมรย้ายรุกลึกเข้ามาเช่นนี้ มันจะต่างอันใดกับการเอาปี๊บคลุมหัวเล่า?
และปี๊บที่คลุมหัวแบบนี้ก็คงไม่ใช่คลุมหัวเฉพาะทหารพรานหรือทหารในกองกำลังสุรนารีหรือทหารในกองทัพภาคที่สองเท่านั้น แต่มันเป็นสัญลักษณ์ของการเอาปี๊บคลุมหัวทหารทั้งกองทัพไทย ตั้งแต่ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ลงมาถึงผู้บัญชาการเหล่าทัพทุกคนด้วย
ทหารมีหน้าที่ต้องพิทักษ์รักษาเอกราชอธิปไตยของชาติ พระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ทหารบำเพ็ญพรตและตบะ บำเพ็ญขันติและทมะธรรมได้ก็เฉพาะแต่เรื่องการเมืองว่าจะไม่เข้ายุ่งเกี่ยว
แต่เมื่อเป็นเรื่องเอกราชอธิปไตยของชาติและพระมหากษัตริย์แล้ว ทหารจะยอมเอาปี๊บคลุมหัวแบบที่ว่านี้ไม่ได้เป็นอันขาด
ดังนั้นกองทัพไทยจึงต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงให้กระจ่าง โดยไม่จำนนหรือก้มหัวให้กับนักการเมืองอีกต่อไป หากเป็นดังที่ว่ามานี้ก็ต้องทำหน้าที่ของตนขับไล่อริราชศัตรูออกไปจากแผ่นดินไทย พิทักษ์รักษาเอกราชอธิปไตยและพระมหากษัตริย์ให้ดำรงสถาพรสืบไป
ส่วนในสภานั้น การอภิปรายของวุฒิสภาผ่านไปแล้ว มีสภาพไม่ต่างอันใดกับการที่วุฒิสภาเป่าปี่ให้ควายฟัง เพราะพูดกันคนละภาษา ถามตอบกันคนละเรื่องคนละราว หาสาระแก่นสารอันใดมิได้
มีสาระแก่นสารอยู่เพียงเรื่องเดียวเท่านั้น คือมันพิสูจน์ให้เห็นว่ารัฐบาลหุ่นเชิดชุดนี้มีพฤติกรรมเป็นควายที่ถูกเขาสนตะพายให้ขายชาติหรือทำชั่วช้าใดๆ ก็ได้
สำหรับการอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภาผู้แทนราษฎรซึ่งกำลังสิ้นสุดลง และจะมีการลงมติกันในวันที่ 27 มิถุนายน 2551 นั้น ต้องยอมรับว่าท่านหัวหน้าอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์อภิปรายได้ดี ทำการบ้านมาดี มีข้อมูลที่แจ่มแจ้งชัดเจน
ทำให้เกิดประเด็นเพิ่มขึ้นมาใหม่อีกประเด็นหนึ่งว่านายกรัฐมนตรีวิกลจริตและขาดคุณสมบัติที่จะดำรงตำแหน่งหรือไม่? รวมทั้งไม่มีวุฒิภาวะจริงหรือไม่? และมาเป็นนายกรัฐมนตรีเพื่อทดแทนบุญคุณส่วนตัวเพื่อคนอื่นหรือไม่? ซึ่งประการหลังนี้คนไทยที่ติดตามการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเขารู้กันทั่วแล้ว จึงได้ให้สมญาว่าเป็นรัฐบาลหุ่นเชิด ขายชาติ
การลงมติในวันที่ 27 มิถุนายน 2551 นี้คงไม่มีผลอะไรที่จะเปลี่ยนแปลงการเมืองไทย เพราะที่ประชุมกันไปนั้นไม่เป็นสภาตามความหมายที่พระตถาคตเจ้าทรงตรัสสอน
พระตถาคตเจ้าตรัสสอนว่าที่ประชุมใดไม่มีบัณฑิตหรือสัปปุรุษ ที่นั่นไม่เป็นสภา เพราะเหล่าโจรก็มีการประชุมกันเหมือนกัน และมติการประชุมของเหล่าโจรก็เป็นมติข้างมากได้เหมือนกัน ดังนั้นมติข้างมากจะเป็นมติของสภาหรือไม่ย่อมอยู่กับว่าสภานั้นเป็นสภาของบัณฑิตหรือเป็นซ่องโจร
หากสภาเป็นสภาของบัณฑิต บ้านเมืองก็ย่อมรุ่งเรือง สงบร่มเย็น เป็นสุข แต่ถ้าสภาเป็นซ่องโจรก็ย่อมออกมติโจรอุ้มสมให้โจรปล้นบ้านปล้นเมืองและขายชาติบ้านเมืองต่อไป
ดังนั้นการลงมติในสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 27 มิถุนายน 2551 จะเป็นสิ่งชี้ขาดและพิสูจน์ว่าเป็นสภาผู้แทนราษฎรอันเป็นบัณฑิตหรือว่าเป็นสภาซ่องโจรกันแน่?
ซึ่งตอนหนึ่งได้ระบุไว้ว่านางสงกรานต์เวรปีนี้เสด็จไสยาสน์ลืมพระเนตรมาบนหลังพญาครุฑ พระหัตถ์ซ้ายทรงสังข์ พระหัตถ์ขวาทรงจักร ซึ่งทั้งพญาครุฑและจักรนั้นล้วนเป็นสัญลักษณ์แห่งพระนารายณ์ หนึ่งในมหาเทพแห่งตรีมูรติ ซึ่งทำหน้าที่ในการปราบมารในยามกลียุค
ต่อมาในบทความเรื่อง “เจาะรหัสของดวงดาวจากทักษิณ?” ซึ่งได้ลงตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2551 ก็ได้กล่าวถึงการโคจรของดาวพระเสาร์เข้าเรือนปุตตะของดวงเมืองว่าหมายถึงประชาชนผู้ทุกข์ยากจะต่อต้านรัฐบาล และเมื่อดาวอังคารอันเป็นดาวประจำองค์พระมหากษัตริย์ผู้เป็นผู้นำของนักรบทั้งหลายทั้งปวงโคจรมาสมทบ ก็จะทำให้สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก
มันเริ่มเปลี่ยนแปลงแล้ว! เพราะจู่ ๆ ก็เกิดคดีติดสินบนเจ้าหน้าที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของนักการเมืองโดยที่ไม่มีใครคาดฝัน ครั้นเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2551 ศาลฎีกาก็ได้มีคำพิพากษาจำคุกทนายความและคนใกล้ชิดของคุณทักษิณ และคุณหญิงพจมานถึง 3 คน ในข้อหาละเมิดอำนาจศาล เพราะนำเงินจำนวน 2 ล้านบาทใส่กล่องขนมไปมอบให้กับเจ้าหน้าที่ของศาล ในพฤติการณ์ที่ศาลเห็นว่าเพื่อให้ปฏิบัติโดยไม่ชอบด้วยหน้าที่และกฎหมาย
แม้ศาลฎีกาจะตัดสินจำคุก 6 เดือน แต่ก็มีความหมายใหญ่หลวงและส่งผลกระทบสะท้านฟ้าสะเทือนดินไปทั่วโลก
เพราะมันไปเกี่ยวข้องอย่างแน่นแฟ้นกับคุณทักษิณและคุณหญิงพจมาน มันเกี่ยวข้องกับคดีที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของนักการเมืองกำลังพิจารณาอยู่ และที่สำคัญ มันได้ยืนยันข้อกล่าวหาของคนจำนวนมากโดยเฉพาะกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยว่ามีการใช้เงินซื้อทุกสิ่งทุกอย่างในประเทศนี้ แม้กระทั่งพยายามที่จะซื้อศาล
เรื่องการติดสินบนศาลในลักษณะเช่นนี้เป็นเรื่องร้ายแรงที่อารยประเทศเขาขยะแขยงชิงชังรังเกียจอย่างยิ่ง จึงกระทบต่อภาพลักษณ์ในทางสากลอย่างรุนแรง
เพราะเมื่อเรื่องนี้ปรากฏเป็นข่าวขึ้นแล้ว สื่อต่างประเทศทุกสำนักโดยเฉพาะบีบีซี เอพี หรือเอเอฟพี ต่างก็ตีข่าวเรื่องนี้กันอย่างครึกโครมไปทั่วโลก แล้วนึกดูเถิดว่ามันกระทบต่อภาพลักษณ์ขนาดไหน
มันได้ทำลายภาพลักษณ์ที่เพียรสร้างในต่างประเทศอย่างยับเยิน
นี่คือปรากฏการณ์การขว้างจักรของพระนารายณ์ในการปราบมารไม่ใช่หรือ?
การที่ทีมทนายถูกจำคุกก็เหมือนกับการที่จักรพระนารายณ์ต้องแขนขาดไปข้างหนึ่งแล้ว!
การที่สื่อต่างประเทศนำความไปขยายผลในระดับนานาชาติ ก็อาจหมายถึงจักรพระนารายณ์ต้องเอาเสื้อผ้าขาดหมดจนต้องเปลือยกายล่อนจ้อนในเวทีต่างประเทศไม่ใช่หรือ?
บทพยากรณ์สงกรานต์อันมีมาแต่โบราณกาลจึงเป็นเรื่องน่าคิด น่าพิจารณา น่าติดตามศึกษา แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานหรือเหตุผลทางวิทยาศาสตร์รองรับก็ตามที
แล้วคอยดูท่าทีของทหารให้ดี เพราะแม้ว่าจะพยายามอดกลั้นอดทนและยืนหยัดในหน้าที่ของตนที่จะไม่เข้าเกี่ยวข้องในทางการเมือง แต่เมื่อถึงเวลาหนึ่งที่เอกราชอธิปไตยของชาติ พระบรมเดชานุภาพแห่งพระมหากษัตริย์ ศักดิ์และศรีของกองทัพไทย รวมทั้งเกียรติภูมิของเหล่าทหารถูกกระทบกระเทือนบ่อนทำลายอย่างร้ายแรงแล้ว สถานการณ์ก็จะเปลี่ยนแปลงไปได้
ไม่อยากให้ใครไปดูหมิ่นดูแคลนเหล่าทหาร เพราะถึงที่สุดแล้วทหารก็คือทหารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงเป็นจอมทัพไทย เป็นสัญลักษณ์แห่งองค์พระนารายณ์อันมีมาในบทพยากรณ์สงกรานต์นั้น
อันพลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก แม้เป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 10 แต่ก็เคยผ่านการพิสูจน์มาแล้วว่าเมื่อครั้งที่คุณทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีด้วยตนเอง เรืองกฤษดานุภาพยิ่งกว่าใครในแผ่นดิน ก็ยังไม่เคยซื้อน้ำใจนายทหารใหญ่คนนี้ได้เลย
สำมะหาอะไรกับวันนี้ที่คุณทักษิณเป็นจำเลยในคดีอาญาแผ่นดิน แล้วพลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา จะต้องยอมสยบหรือขายจิตวิญญาณที่จงรักภักดีต่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ให้เล่า?
การบำเพ็ญขันติและทมะเป็นธรรมขั้นสูงในพระพุทธศาสนา ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงบำเพ็ญ ทรงอบรมสั่งสอนมาตลอดพระชนม์ชีพ คือสิ่งที่พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา กำลังประพฤติปฏิบัติอยู่
ได้แต่เชื่อมั่นว่าการคะเนหยั่งน้ำใจคนในคราวนี้จะไม่ผิดพลาด!
แต่ทว่าสถานการณ์ปัจจุบัน เอกราชอธิปไตยของชาติกำลังจะสูญเสียไปบางส่วนจากน้ำมือนักการเมืองชั่วขายชาติ สถาบันพระมหากษัตริย์ถูกบ่อนทำลายอย่างร้ายแรงหนักหน่วง เกียรติภูมิของกองทัพถูกทำลายจนใกล้จะต้องเปลี่ยนเครื่องแบบไปนุ่งผ้าถุงของสตรี ดังนั้นวาระสุดท้ายของการออกพรตจากการบำเพ็ญทมะและขันติธรรมก็น่าจะมาถึงในไม่ช้าแล้ว
แต่อย่าไปหวังรูปแบบการใช้ความรุนแรงหรือรูปแบบเก่าๆ พลังแห่งสุญตาและพลังที่ไร้สภาพมากหลายอันมีอยู่ในจักรวาลนี้ ซึ่งผู้มีสติปัญญาความรู้ความสามารถรู้จักนำมาใช้ก็ยังมีอยู่ และสามารถใช้ในการกำราบปราบมารได้เช่นเดียวกัน
เพราะนักการเมืองชั่วขายชาติข่มเหงกดหัวเหล่าทหารให้หุบปาก จึงทำให้เขมรได้ใจ ไม่เพียงแต่จะชิงเอาดินแดนเขาพระวิหารไปเท่านั้น ยังเคลื่อนกำลังแยกเป็นสายๆ รุกเขตแดนไทยเข้ามาแทบทุกจุด
ดังเช่นการเปิดเผยของคุณสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ที่ทหารเขมรรุกดินแดนไทยบริเวณปราสาทร้างแห่งหนึ่งของจังหวัดบุรีรัมย์ โดยถอนหลักเขตแดนไทยทิ้ง แล้วรุกลึกเข้ามาในแผ่นดินไทยถึง 500 เมตร จากนั้นก็ปักหลักเขตใหม่
ทหารของกองทัพภาคที่สองและกองกำลังสุรนารี ตลอดจนทหารพรานที่รักษาชายแดนต้องจำยอมให้เขมรรุกเข้ามายึดดินแดนไทยในบริเวณนี้เพราะได้รับคำสั่งให้อ่อนข้อให้เขมรบุกรุกยึดดินแดนไทยได้
แต่เกิดความละอายแก่ใจและละอายคนไทยที่ปล่อยให้เขมรรุกยึดดินแดนไทยเข้ามาดื้อๆ จึงต้องเอาปี๊บขนาดใหญ่ไปคลุมหลักเขตที่เขมรรุกลึกเข้ามาปักไว้นั้นเสีย
การเอาปี๊บไปคลุมหลักเขตที่เขมรย้ายรุกลึกเข้ามาเช่นนี้ มันจะต่างอันใดกับการเอาปี๊บคลุมหัวเล่า?
และปี๊บที่คลุมหัวแบบนี้ก็คงไม่ใช่คลุมหัวเฉพาะทหารพรานหรือทหารในกองกำลังสุรนารีหรือทหารในกองทัพภาคที่สองเท่านั้น แต่มันเป็นสัญลักษณ์ของการเอาปี๊บคลุมหัวทหารทั้งกองทัพไทย ตั้งแต่ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ลงมาถึงผู้บัญชาการเหล่าทัพทุกคนด้วย
ทหารมีหน้าที่ต้องพิทักษ์รักษาเอกราชอธิปไตยของชาติ พระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ทหารบำเพ็ญพรตและตบะ บำเพ็ญขันติและทมะธรรมได้ก็เฉพาะแต่เรื่องการเมืองว่าจะไม่เข้ายุ่งเกี่ยว
แต่เมื่อเป็นเรื่องเอกราชอธิปไตยของชาติและพระมหากษัตริย์แล้ว ทหารจะยอมเอาปี๊บคลุมหัวแบบที่ว่านี้ไม่ได้เป็นอันขาด
ดังนั้นกองทัพไทยจึงต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงให้กระจ่าง โดยไม่จำนนหรือก้มหัวให้กับนักการเมืองอีกต่อไป หากเป็นดังที่ว่ามานี้ก็ต้องทำหน้าที่ของตนขับไล่อริราชศัตรูออกไปจากแผ่นดินไทย พิทักษ์รักษาเอกราชอธิปไตยและพระมหากษัตริย์ให้ดำรงสถาพรสืบไป
ส่วนในสภานั้น การอภิปรายของวุฒิสภาผ่านไปแล้ว มีสภาพไม่ต่างอันใดกับการที่วุฒิสภาเป่าปี่ให้ควายฟัง เพราะพูดกันคนละภาษา ถามตอบกันคนละเรื่องคนละราว หาสาระแก่นสารอันใดมิได้
มีสาระแก่นสารอยู่เพียงเรื่องเดียวเท่านั้น คือมันพิสูจน์ให้เห็นว่ารัฐบาลหุ่นเชิดชุดนี้มีพฤติกรรมเป็นควายที่ถูกเขาสนตะพายให้ขายชาติหรือทำชั่วช้าใดๆ ก็ได้
สำหรับการอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภาผู้แทนราษฎรซึ่งกำลังสิ้นสุดลง และจะมีการลงมติกันในวันที่ 27 มิถุนายน 2551 นั้น ต้องยอมรับว่าท่านหัวหน้าอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์อภิปรายได้ดี ทำการบ้านมาดี มีข้อมูลที่แจ่มแจ้งชัดเจน
ทำให้เกิดประเด็นเพิ่มขึ้นมาใหม่อีกประเด็นหนึ่งว่านายกรัฐมนตรีวิกลจริตและขาดคุณสมบัติที่จะดำรงตำแหน่งหรือไม่? รวมทั้งไม่มีวุฒิภาวะจริงหรือไม่? และมาเป็นนายกรัฐมนตรีเพื่อทดแทนบุญคุณส่วนตัวเพื่อคนอื่นหรือไม่? ซึ่งประการหลังนี้คนไทยที่ติดตามการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเขารู้กันทั่วแล้ว จึงได้ให้สมญาว่าเป็นรัฐบาลหุ่นเชิด ขายชาติ
การลงมติในวันที่ 27 มิถุนายน 2551 นี้คงไม่มีผลอะไรที่จะเปลี่ยนแปลงการเมืองไทย เพราะที่ประชุมกันไปนั้นไม่เป็นสภาตามความหมายที่พระตถาคตเจ้าทรงตรัสสอน
พระตถาคตเจ้าตรัสสอนว่าที่ประชุมใดไม่มีบัณฑิตหรือสัปปุรุษ ที่นั่นไม่เป็นสภา เพราะเหล่าโจรก็มีการประชุมกันเหมือนกัน และมติการประชุมของเหล่าโจรก็เป็นมติข้างมากได้เหมือนกัน ดังนั้นมติข้างมากจะเป็นมติของสภาหรือไม่ย่อมอยู่กับว่าสภานั้นเป็นสภาของบัณฑิตหรือเป็นซ่องโจร
หากสภาเป็นสภาของบัณฑิต บ้านเมืองก็ย่อมรุ่งเรือง สงบร่มเย็น เป็นสุข แต่ถ้าสภาเป็นซ่องโจรก็ย่อมออกมติโจรอุ้มสมให้โจรปล้นบ้านปล้นเมืองและขายชาติบ้านเมืองต่อไป
ดังนั้นการลงมติในสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 27 มิถุนายน 2551 จะเป็นสิ่งชี้ขาดและพิสูจน์ว่าเป็นสภาผู้แทนราษฎรอันเป็นบัณฑิตหรือว่าเป็นสภาซ่องโจรกันแน่?