ผู้จัดการรายวัน - “ผบ.ทบ.” สั่งทุกหน่วยขึ้นตรงของกองทัพ คุมเข้มกลุ่มคนมีพฤติกรรม “หมิ่นเบื้องสูง” ลั่นหากพบเห็นให้ดำเนินการขั้นเฉียบขาดทันที โฆษก ทบ.วอนทุกฝ่ายช่วยกันปกป้องสถาบัน ชี้”เหลี่ยมจัด”โฟนอิน 1 พ.ย.แล้วแต่มุมมองของคน ยันทหารเตรียมพร้อมรับสถานการณ์นองเลือด เตือนใช้สติให้ดีก่อนปะทะกัน ด้านนักวิชาการค้าน"ทักษิณ"โฟนอินผ่านสื่อรัฐ ชี้สถานะเปลี่ยนไปแล้ว ปชป.อัดแถลงการณ์“แม้ว”เหิม! หมิ่นเหม่ศาล ระวังเจอคุกอีก 6 เดือน “สมชาย”ขึ้นเชียงใหม่ “เปิดศูนย์แสดงพันธุ์สัตว์น้ำ” หนีไม่พ้นโดน“มือตบ”ขับไล่รอบสอง
วานนี้ (26 ต.ค.) พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีกลุ่มบุคคลเผยแพร่ข้อความผ่านทางอินเทอร์เน็ต วิทยุชุมชุนและใบปลิว โดยมีเนื้อหาหมิ่นสถาบันเบื้องสูงว่า เรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นหน้าที่ของทุกองค์กรทุกสถาบันและคนไทยทุกคนที่จะต้องช่วยกันไม่ให้เกิดเรื่องราวแบบนี้ขึ้นมา กองทัพเราก็ทำหน้าที่ อย่างเต็มที่
“อยากให้คิดว่าปัจจุบันประเทศไทยมีความขัดแย้งทางความคิดค่อนข้างมาก แต่ละฝ่ายก็สามารถประคับประคองสถานการณ์ต่างๆ ให้สามารถไปได้ โดยไม่ให้มีเหตุการณ์ความวุ่นวายเกิดขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ที่ทำให้สังคมสามารถไปได้ อยากให้ทุกฝ่ายช่วยกันปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์” พ.อ.สรรเสริญ กล่าว
**สั่งคุมเข้มกลุ่มพฤติกรรมหมิ่นเบื้องสูง
พ.อ.สรรเสริญ กล่าวต่อว่า พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ได้สั่งการกำชับให้หน่วยขึ้นตรงของกองทัพทุกหน่วย ให้ไปดูแลพื้นที่ในความรับผิดชอบของตัวเองในแต่ละจังหวัด หากพบเห็นพฤติกรรมในลักษณะที่หมิ่นเหม่ต่อการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพให้ประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างใกล้ชิดและดำเนินการอย่างเฉียบขาด
สำหรับเว็บไซต์ต่างๆ ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องช่วยกันโดยเฉพาะกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ส่วนหน้าที่ในการจับกุมเพื่อดำเนินคดี ตามกฎหมายเป็นของเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่เราก็ไม่ได้ปัดความรับผิดชอบไปให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำแต่เพียงอย่างเดียว หมายถึงว่าเจ้าหน้าที่ทหารที่มีอยู่ในกองทัพภาค ทุกหน่วยขึ้นตรงของกองทัพบกทั่วประเทศไทยจะต้องช่วยกันสอดส่องดูแล ในพื้นที่รับผิดชอบ ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรม วิทยุชุมชน การแจกจ่ายใบปลิว
ผู้สื่อข่าวถามว่าได้ประเมินถึงจุดประสงค์ของผู้ที่ดำเนินการในเรื่องนี้หรือไม่ พ.อ.สรรเสริญ กล่าวว่า คงเนื่องมาจากหลายๆส่วน ซึ่งพระองค์อยู่เหนือความขัดแย้ง ทั้งทางด้านความคิดและการเมือง ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ของคนไทยทั้ง 63 ล้านคน
ส่วนกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะออกมาแถลงการณ์อ้างว่าตนเป็นภัยคุกคามของคนชั้นสูงจนถูกนำไปตีความต่างๆ นานานั้น พ.อ.สรรเสริญ กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องทางการเมืองซึ่งทางกองทัพก็พยายามอธิบายให้สังคมได้รับรู้ว่ากองทัพมีจุดยืนที่เหมาะสมที่สุดในวันนี้คือเราไม่สามารถเลือกฝ่ายได้ เพราะทุกฝ่ายล้วนเป็นประชาชนคนไทย และสิ่งที่กองทัพทำได้ดีที่สุดในขณะนี้คือทำหน้าที่ เรื่องการปกป้องภัยคุกคามจากภายนอก ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ในลักษณะที่วิงวอนให้ทุกคนช่วยเหลือในเรื่องตรงนี้ ขณะเดียวกันกองทัพก็ไม่อยากเข้าไปยุ่งกับการเมือง เพราะเป็นปัญหาที่ฝ่ายการเมืองจะต้องไปแก้ปัญหากันเอง
**ลั่นทหารพร้อมรับเหตุนองเลือด
ผู้สื่อข่าวถามว่า กังวลหรือไม่ว่าเรื่องนี้จะเกิดการต่อสู้กันของคนในชนชั้น พ.อ.สรรเสริญ กล่าวว่า ในสังคมในวันนี้ก็มีความขัดแย้งอยู่มากพอสมควร แต่ว่าบ้านเมืองเราจะไปในทิศทางไหนขึ้นอยู่กับทุกคนในสังคมที่ต้องคิดไตร่ตรองใช้สติให้มั่นว่าจะทำอะไรหรือไม่ทำอะไร เพราะจุดหมายปลายทางต้องการให้บ้านเมือง สงบเรียบร้อย อยากให้พิจารณาว่าสิ่งที่ทำไปนั้นเป็นทางออกของบ้านเมือง หรือเพื่อการเอาชนะคะค้านกัน อยากให้ทุกคนยืดแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเรื่องความรักสามัคคี ก็น่าจะเป็นทางออกที่ดี
เมื่อถามว่า การโฟนอินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่จะมีขึ้นในวันที่ 1พ.ย.นี้จะเป็นภัยคุกคามหรือไม่ พ.อ.สรรเสริญ กล่าวว่า แล้วแต่จะมองกัน ซึ่งในส่วนของกองทัพยังไม่มีการประเมิน เมื่อถามว่าหลายฝ่ายกังวลว่าจะเกิดการนองเลือดก่อนถึงวันที่ 1 พ.ย. พ.อ.สรรเสริญ กล่าวว่า เป็นเรื่องที่กองทัพต้องติดตามข้อมูลข่าวสารและประสานงานกับทุกเหล่าทัพ รวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวเท่าที่จะทำได้
ส่วนการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนต่างๆ เป็นการกดดันให้ทหารออกมาทำการอย่างหนึ่งอย่างใดนั้น พ.อ.สรรเสริญ กล่าวว่า แล้วแต่จะมองกันอย่างไร แต่ทางกองทัพยึดมั่นในสิ่งที่ถูกต้องและจุดยืนที่มีอยู่ในปัจจุบันคือการปฎิบัติภารกิจทางทหาร เหมือนในอดีตที่ผ่านมา การใช้กำลังทหารเข้าแก้ปัญหาคือทางออกของสังคมหรือไม่
“ฉะนั้นกลุ่มที่ออกมาเรียกร้องให้การเมืองแก้ไขด้วยการเมืองแก้ด้วยระบบทหารไม่ได้ วันนี้เป็นบทพิสูจน์ที่ท่านทั้งหลายเหล่านั้นได้เคยพูดไว้จะต้องทำให้เราดู กองทัพก็มีหน้าที่ ป้องกันไม่ให้กลุ่มคนที่มีความคิดที่ทำให้กิดความแตกหักในสังคมเกิดการปะทะกันให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ อยากวิงวอนให้ทุกฝ่ายใช้สติคิดให้รอบคอบ ก็คิดว่าไม่น่าจะเกิดเหตุการณ์รุนแรง” พ.อ.สรรเสริญ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่าที่นายจาตุรนต์ ฉายแสง ออกมาระบุว่าการยึดทำเนียบฯของกลุ่มพันธมิตรฯเป็นความผิดของ ผบ.ทบ.เพราะอยู่ในช่วงประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.อ.สรรเสริญ กล่าวว่า เป๋นความคิดที่สามารถคิดได้กองทัพก็รับฟัง แต่การประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่ผ่านมาเกิดจากาการปะทะกันของกลุ่มพันธมิตรฯและ นปช. การยึดทำเนียบฯ เป็นส่วนที่นอกเหนือจากการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งมีก่อนหน้านี้ ผบ.ทบ.ก็ทำหน้าที่ดีที่สุดแล้ว ซึ่งเรามั่นใจว่าสิ่งที่ทำถูกต้องที่สุดแล้ว ซึ่งสถานการณ์ในทำเนียบฯไม่ใช่สถานการณ์ฉุกเฉินที่ต้องใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
**เด็ก ปชป.ชี้”ทักษิณ”หมิ่นเหม่ศาล
นายเทพไท เสนพงศ์ ผู้ช่วยเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ออกแถลงการณ์ก่อนมีคำสั่งตัดสินของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองว่ารู้ว่าจะมีการตัดสินออกมาแบบไหนว่า เป็นเรื่องที่ประชาชนสงสัยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ รู้ได้อย่างไรว่าจะมีคำพิพากษาออกมาที่ทำให้ตัวเองติดคุก หรือรู้เพราะว่าวันที่ทนายความของตัวเองนำเงิน 2 ล้านบาทไปให้ศาล แต่ศาลไม่รับจนมีคดีขึ้นมา ด้วยเหตุนี้หรือไม่ที่ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ รู้ชะตากรรมของตัวเอง ซึ่งหลังจากศาลฎีกาฯตัดสินคดีก็ได้ออกแถลงการณ์กับสื่อมวลชนต่างประเทศอีก ซึ่งมีข้อควรพิจารณาอยู่ 2 จุด ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ใช้คำไม่เหมาะสม และจำเป็นต้อขอคำชี้แจงจาก พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อความชัดเจน เพราะไม่อยากให้ลิ่วล้อ ขุนพลพลอยพยัคฆ์ หรือพวกขุนพลสอพลอ แบบนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคพลังประชาชนออกมาแก้ต่างแบบน้ำขุ่นๆ
นายเทพไท กล่าวว่า คำแรกในแถลงการณ์ที่เขียนว่า “ความยิ่งใหญ่ และความเป็นอยู่ที่ดีมาสู่ประเทศชาติ และประชาชนของผม” ซึ่งตรงนี้คิดว่า คำว่า “ประชาชนของผม” น่าจะใช้ได้กับเฉพาะพระมหากษัตริย์ ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ควรทึกทักว่านี่คือประชาชนของผม นี่คือประเทศของผม
ส่วนที่ 2 ในแถลงการณ์ที่เขียนว่า “ล้วนแต่เป็นการกระทำที่เกิดจากแรงขับเคลื่อนทางการเมือง ซึ่งเป็นการสมคบกันของบรรดาชนชั้นสูงมีอภิสิทธิ์ทั้งหลาย” อยากถามว่า คำว่า “บุคคลชนชั้นสูง” ที่ พ.ต.ท.ทักษิณคือใคร ตรงกับคำในรัฐธรรมนูญ ปี 2550 มาตรา 8 หรือไม่ ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณต้องชี้แจงความชัดเจนต่อแถลงการณ์ของตัวเอง จากที่เมื่อวันที่ 25 ต.ค.ได้มีสมาชิกพรรคพลังประชาชนออกมาอธิบาย แบบข้างๆ คูๆ ว่า คำว่าบุคคลชนชั้นสูงคือ บุคคลธรรมดาสามัญชนที่ทำตัวเปรียบ เสมือนจ้าว ซึ่งตนคิดว่าไม่ตรงกับความจริง หากดูจากเจตนารมณ์ พ.ต.ท.ทักษิณ จะหมายถึงบุคคลในมาตรา 8 ใช่หรือไม่
นายเทพไท กล่าวว่า จากคำแถลงการณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณทั้งหมด เมื่ออ่านแล้วหมิ่นเหม่ต่อการละเมิดอำนาจศาล ซึ่งตนคิดว่าหลังจากนี้ไปจะเรียกร้องให้ผู้ที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการตามความเหมาะสม โดยอาจมี 3 ช่องทางที่ทำได้คือ 1.ให้ศาลเป็นผู้หยิบ เรื่องนี้มาพิจารณารายละเอียดของคำแถลงการณ์ว่าหมิ่นศาลหรือไม่ 2.ให้ประชาชนทั่วไปเป็นผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษ และ 3.ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ก็จะทำเรื่องนี้ เสนอต่อฝ่ายกฎหมายพิจารณาคำแถลงการณ์ว่าเข้าข่ายหมิ่นหรือละเมิดอำนาจศาลหรือไม่
“ผมคิดว่าความห่วงใยต่อแถลงการณ์ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และพวกผมได้พูดและเรียกร้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ยอมรับในคำตัดสินของศาล แต่มีสมาชิกพรรคพลังประชาชนให้สัมภาษณ์เชิงกระแนะกระแหนว่า คุณอภิสิทธิ์เป็นตำรวจโลกหรืออย่างไร ผมขอเรียนว่าเป็นความหวังดีของหัวหน้าพรรค ไม่อยากให้ พ.ต.ท.ทักษิณมีโทษเพิ่ม ข้อหาละเมิดอำนาจศาลเพิ่มอีก 6 เดือน ทั้งนี้ เป็นความปรารถนาดีจริงๆ ไม่ใช่ทำตัวเป็นตำรวจโลก” นายเทพไท กล่าว
**จับตา นปช.เกณฑ์คนป่วนสนองแม้ว
นายเทพไท กล่าวอีกว่า กระบวนการ นปช.การตั้ง ส.ส.ร.3 การแถลงการณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ นำบ้านเมืองไปสู่ทางตัน ไม่มีทางออก ต้องเผชิญปัญหากับวิกฤติแน่นอนและคิดว่าเป็นความต้องการของคนเหล่านี้ เพื่อให้เกิดการปฏิวัติ เพื่อให้ส่งผลดีกับตัวเองคือ จะสามารถช่วย พ.ต.ท.ทักษิณ เรื่องคดีความในการขอลี้ภัยและเป็นการหาทางออกหรือทางลงให้กับรัฐบาลชุดนี้ เพราะรัฐบาลชุดนี้ไม่ยอมยุบสภาหรือลาออก เชื่อว่าหากมีการปฏิวัติเกิดขึ้นน่าจะเป็นเกียรติกับรัฐบาลชุดนี้มากกว่า นอกจากนี้ยังเป็นการหาคะแนนเสียง ตนเชื่อว่าการเคลื่อนไหวทั้งหมดมีนัยยะทางการเมืองทั้งสิ้น
นายเทพไท กล่าวถึงรายการความจริงวันนี้ ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะโทรศัพท์เข่ามาพูดคุยกับผู้ชุมนุมว่า ตนคิดว่าเป็นรายการที่จัดขึ้นโดยกลุ่ม นปช.และเชื่อว่าวันที่ 1 พ.ย.จะมีประชาชนมาร่วมมาก ด้วยเหตุผลเพราะรายการนี้โหมโรง และประชาสัมพันธ์ผ่านสถานีโทรทัศน์ NBT ทุกคืน โดยเรียกร้องให้ประชาชนมาร่วมชุมนุมกัน ซึ่งการจัดงานครั้งนี้ผู้อำนวยการสร้าง สปอนเซอร์ หรือนายทุนตัวจริงได้มีโอกาสโฟนอิน มาจากลอนดอน และทุ่มทุนไม่อั้นเพื่อให้เป็นรายการที่ยิ่งใหญ่ตามที่ได้โฆษณาไว้
“ผมเชื่อว่ารายการดังกล่าวคงจะไม่มีการถ่ายทอดสดในวันที่ 1 พ.ย.เพราะเป็นวันหยุดของรายการ แต่จะใช้ช่องทางอื่นมาถ่ายทอดแทนทาง ์NBT เหมือนวันที่ 11 ต.ค.ที่เมืองทองธานี ที่เอาช่วงนายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย มาพูดในเรื่องประชาธิปไตย ทั้งๆ ที่ตัวเองถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง มาเป็นวิทยากรในรายการ” นายเทพไท กล่าว
**“ไพฑูรย์” ชี้“แม้ว”มีศักดิ์เป็นนักโทษ
นายไพทรูย์ แก้วทอง รองประธานที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ และ ส.ส.ระบบสัดส่วนพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ที่บ้านพักใน จ.พิจิตรว่า ไม่เห็นด้วยที่ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ จะพูดสายตรงออกรายการทีวีความจริงวันนี้ในวันที่ 1 พ.ย.ถือเป็นเรื่องที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง เพราะฐานะของ พ.ต.ท.ทักษิณ ขณะนี้เป็นแค่นักโทษหลบหนีอาญาแผ่นดิน ไม่ใช่ผู้ลี้ภัยทางการเมือง อยู่ในสถานะที่ไม่ยอมให้ถูกคุมขัง ซึ่งถ้ารัฐบาลยังจะปล่อยให้ออกมาแสดงความคิดเห็น โดยตรงผ่านสื่อโทรทัศน์ในประเทศแล้วถือว่าเป็นเรื่องไม่สมควรอย่างยิ่ง
นอกจากนี้ รัฐบาลเองควรจะเร่งรัดกฎหมายให้มีการดำเนินการกับจับกุม พ.ต.ท.ทักษิณ ให้เร็วขึ้นในฐานะนักโทษ โดยเฉพาะกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ไปให้ข่าวในทางที่ไม่ดีกับประเทศไทย ทำให้คนทั่วโลกมองว่าประเทศไทยต่ำต้อยสถาบันศาลยุติธรรมเชื่อถือไม่ได้ เพราะทำให้ประเทศไทยก็ได้รับความเสียหายอย่างมหาศาล เพราะหากให้ออกรายการโทรทัศน์ก็จะเกิดการปลุกระดมนั้นถ้ารัฐบาลยังปล่อยให้สถานการณ์ยังเป็นอยู่อย่างนี้ เชื่อว่าบ้านเมืองยิ่งจะมีแต่ความเลวร้ายลง แทนที่จะสร้างความสงบให้กับประเทศไทยกับยิ่งทำให้วุ่นวายมากขึ้น เพราะคนเป็นแค่นักโทษถือว่าหมดราคาไปแล้ว แต่ถ้าอยากจะกู้ศักดิ์ศรีก็ต้องกลับมาเข้าสู่ตามกระบวนการยุติธรรม
ด้านนายปริญญา เทวานฤมิตรกุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะโทรศัพท์ทางไกลมาพูดกับประชาชนในรายการความจริงวันนี้ ในวันที่ 1 พ.ย.หากเป็นการโทรศัพท์มาคุยกับกลุ่มบุคคลที่ให้การสนับสนุนคงไม่เป็นไร แต่ถ้าพูดผ่านช่องทางสื่อสารของรัฐคงมีปัญหา เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณวันนี้มีสถานะไม่เหมือนก่อนวันที่ 21 ต.ค. ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ยังไม่มีมีคำพิพากษาในคดีทุจริตการจัดซื้อที่ดินย่านรัชดาก็ยังถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่เมื่อศาลฎีกาฯมีคำพิพากษาแล้ว ทำให้มีสถานะเป็นผู้ทำผิดกฎหมาย หนีโทษ ดังนั้น จะใช้ช่องทาง สื่อสารของรัฐก็ต้องระมัดระวังว่าทำได้แค่ไหน
“สำหรับสื่ออื่นที่จะนำเสนอข่าวก็ต้องเสนอข่าวเป็นไปอย่างระมัดระวังเช่นกันว่าทำได้มากน้อยแค่ไหน แม้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มีสถานะที่เปลี่ยนไป แต่ยังเป็นพลเมืองไทย จึงไม่ได้หมายความว่าสื่อจะนำเสนอข่าวไม่ได้ แต่ต้องระมัดระวัง แต่หากเอาเทป มาออกในรายการคิดว่ามีปัญหาแน่นอน” นายปริญญา กล่าว
**“สมพงษ์”อ้างไม่รู้เนื้อหาแถลงการณ์
ทางด้านนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.ต่างประเทศ กล่าวปฏิเสธถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะโฟนอินในวันที่ 1 พ.ย.ว่า ตนยังไม่ทราบเรื่องดังกล่าวและยังไม่ได้อ่านแถลงการณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ส่วนการดำเนินการชี้แจงต่อสายตาโลกของกระทรวงการต่างประเทศนั้น ขอเวลาตรวจสอบข้อมูลก่อน
ส่วนที่หลายฝ่ายเรียกร้องให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการปกป้องเกียติภูมิของกระบวนการยุติธรรมไทยนั้น นายสมพงษ์ กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ต้องทำอยู่แล้ว คนที่พูดก็ต้องรับผิดชอบในส่วนที่ตัวเองพูด แต่ทางรัฐบาลยังไม่มีมาตรการอะไรในเรื่องนี้ เพราะยังไม่ได้คุยกันเนื่องจากต่างคนต่างเพิ่งเดินทางกลับจากประเทศจีน
เมื่อถามว่า กระทรวงการต่างประเทศจะชี้แจงกรณี พ.ต.ท.ทักษิณ ระบุถึงชนชั้นสูงในแถลงการณ์อย่างไร รมว.ต่างประเทศ กล่าวว่า ต้องเรียนว่ายังไม่พร้อมที่จะตอบ เพราะยังไม่ทราบข้อเท็จจริง ขอเวลาในการตรวจสอบก่อนสัก 1 สัปดาห์ ยอมรับว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องอ่อนไหว ถ้ายังไม่รู้เรื่องชัดเจนจะเสียหาย ส่วนจำเป็นต้องทำเป็นหนังสือชี้แจงไปยังต่างประเทศหรือไม่ คงต้องขอดูรูปการต่อไปเพราะตอนนี้ยังไม่รู้ต้นเหตุ
ส่วนความร่วมมือกับทางอัยการสูงสุดในการประสานขอส่งตัว พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นผู้ร้ายข้ามแดนนั้น นายสมพงษ์ กล่าวว่า ขณะนี้ทางอัยการสูงสุดยังไม่ประสานมา แต่ข้อเท็จจริงเรื่องการขอตัวนั้น อัยการสูงสุดจะเป็นคนดำเนินการ โดยกระทรวงการต่างประเทศจะให้การสนับสนุน หากเป็นเรื่องของชาติบ้านเมืองก็ยินดี
เมื่อถามว่า ดูเหมือนกระทรวงการต่างประเทศให้ความร่วมมือน้อยไป อาจเพราะเป็นคนของนายใหญ่เลยไม่กล้าดำเนินการ รมว.ต่างประเทศ กล่าวว่า ไม่ใช่ เราต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย อย่างไรก็ตาม ขณะนี้กำลังดูว่า ในวันที่ 27 ต.ค.นี้อาจะมีการประชุมกันเรื่องนี้โดยเฉพาะกับเจ้าหน้าที่ของกระทรวง โดยอาจมีการตั้งเป็นคณะกรรมการขึ้นมาในส่วนของกระทรวง เพื่อตรวจสอบทั้งหมด
“ผมรับประกันได้ว่า ไอ้เรื่องที่เคยเป็นอดีตผู้บังคับบัญชา เป็นอดีตนายกฯ ของพรรค หรือเป็นอดีตหัวหน้าพรรค ไม่เกี่ยว เพราะสังคมเขาเห็นอยู่แล้ว เราจะไปทำอะไรสวนสังคมไม่ได้ แต่มันก็ต้องมีเหตุและผลด้วยว่า ดำเนินการแบบนี้แล้วผลจะเป็นอย่างไร เราต้องเอาข้อเท็จจริงมาให้ความเป็นธรรมกับทุกคน” นายสมพงษ์ กล่าว
**”สมชาย”มีกรรมหนีไม่พ้น”มือตบ”
ที่ จ.เชียงใหม่วานนี้เวลา 10.00 น.นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม พร้อมคณะได้เดินทางไปเป็นประธานเปิดศูนย์แสดงพันธุ์สัตว์น้ำ (Chiangmai Zoo Aquarium) สวนสัตว์เชียงใหม่ โดยมีนางอนงค์วรรณ เทพสุทิน รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อม ส.ส.เชียงใหม่ ผู้ว่าราชการจังหวัดฯ หัวหน้าส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ ผู้บริหารภาคเอกชน ผู้บริหารและพนักงานองค์การสวนสัตว์ พร้อมประชาชนมาคอยให้การต้อนรับและร่วมในพิธี
ผู้สื่อข่าวรายงานก่อนหน้านี้ในเวลา 09.50 น. ระหว่างที่ขบวนรถของนายกรัฐมนตรี ออกจากบ้านพักในสนามกอล์ฟเชียงใหม่กรีนวัลเลย์ เพื่อไปเปิดศูนย์แสดงพันธุ์สัตว์น้ำ (Chiangmai Zoo Aquarium) สวนสัตว์เชียงใหม่ ถนนห้วยแก้ว เชิงดอยสุเทพ แล่นมาถึงบริเวณถนนห้วยแก้ว ก่อนถึงมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เล็กน้อย ได้มีประชาชนจำนวนหนึ่งไม่น้อยกว่า 20 คนถือมือตบดักรอและได้ยกมือตบพร้อมส่งเสียงขับไล่นายกรัฐมนตรีขณะที่รถแล่นผ่าน
ทั้งนี้ ประชาชนที่ใช้ถือตบเป็นสัญลักษณ์มีอยู่ด้วยกัน 3 จุดรายทาง คือ บริเวณหน้าร้านอาหารโบ้ต จุดก่อนถึงรั้ว มช. และบริเวณหน้าสวนรุกขชาติห้วยแก้ว ซึ่งเป็นปากทางเข้าสวนสัตว์ หลังจากดำเนินการเสร็จสิ้นพากันทยอยเดินทางกลับทันที
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมด้วยว่า ขณะที่ก่อนหน้านี้ในเวลา 08.00 น.วิทยุคนรักทักษิณคลื่น 92.5 Mhz ของนายเพชรวรรต วัฒนพงศศิริกุล แกนนำกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 ได้ประกาศเชิญชวนคนเสื้อแดงร่วมกันเดินทางไปอารักขานายสมชาย อีกรอบ หลังจากเมื่อคืนก่อนหน้าได้ประกาศจัดตั้งการ์ดอาสาเสื้อแดงชาย-หญิง แยกสายแบ่งกลุ่มเพื่อปกป้องไม่ให้พันธมิตรฯใช้มือตบขับไล่นายสมชาย เหมือนเมื่อการเดินทางมาตรวจราชการรอบก่อน โดยได้มีการเข้าไปจัดตั้งขบวนการ์ดอาสารอรับนายสมชาย ภายในสวนสัตว์เชียงใหม่ตั้งแต่เช้า
ขณะที่ช่วงเวลา 09.00 น. วิทยุตำรวจ สภ.ภูพิงค์ราชนิเวศน์ ซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่ได้ประกาศให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบจับตาผู้เดินทางเข้าไปในสวนสัตว์ เป็นพิเศษ โดยมีการระบุว่านางเบญจมาศ ซึ่งหมายถึงมือตบสาวที่เคยบุกเดี่ยวขึ้นพระธาตุดอยสุเทพได้เดินทางเข้าไปในสวนสัตว์แล้ว แต่เมื่อ “ผู้จัดการรายวัน” ตรวจสอบไปยังนางเบญจมาศ ยุทธวิริยา สาวมือตบประเภทเดี่ยวได้รับการยืนยันว่า ตนยังอยู่ที่บ้านพักในเขต อ.สันทราย แสดงให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจเชียงใหม่กังวลต่อการออกมาใช้มือตบถึงขั้นที่จำคนผิด ถึงกับประกาศชื่อผ่านเครือข่ายวิทยุตำรวจให้จับตาหญิงสาวคนอื่นที่หน้าตาละม้ายกับนางเบญจมาศ
**โปรยยาหอมกลอบ“คนเชียงใหม่”
เมื่อนายกรัฐมนตรี เดินทางมาถึง รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้กล่าวรายงานเกี่ยวกับความเป็นมาของศูนย์แสดงพันธุ์สัตว์น้ำ Chiangmai Zoo Aquarium ที่เริ่มก่อสร้างเมื่อปี 2547 มีพื้นที่ใช้สอยของอาคารแสดงศูนย์แสดงพันธุ์สัตว์น้ำรวมทั้งสิ้น 13,985 ตารางเมตร ภายในมีอุโมงค์ใต้น้ำที่ยาวถึง 133 เมตร ถือได้ว่ามีความยาวที่สุดในโลก รวมพันธุ์สัตว์น้ำจืดและน้ำเค็มประมาณ 250 สายพันธุ์กว่า 8,000 ตัว มีการตกแต่งโดยจำลองธรรมชาติอย่างสมบูรณ์แบบ แบ่งออกเป็นระบบนิเวศน์ใหญ่ ๆ 2 แบบ คือ ระบบนิเวศน้ำจืด และระบบนิเวศน์น้ำทะเล มีการเรียงลำดับจากต้นน้ำบนยอดดอยลงไปสู่ทะเล ฯลฯ
โอกาสนี้นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวเปิดศูนย์แสดงพันธุ์สัตว์น้ำเชียงใหม่ สรุปสาระสำคัญว่า มีความตื่นตาตื่นใจกับมิติใหม่ของสวนสัตว์เชียงใหม่ รวมทั้งยินดีและเป็นเกียรติที่ได้มีโอกาสมาชมและร่วมพิธีเปิดศูนย์แสดงพันธุ์สัตว์น้ำ Chiangmai Zoo Aquarium ซึ่งมีอุโมงค์ใต้น้ำที่ยาวที่สุดในโลก เป็นศูนย์แสดงพันธุ์สัตว์น้ำที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อันเป็นความภาคภูมิใจและเป็นความสามารถของคนไทย ทำให้ไม่ต้องเดินทางไปดู Aquarium ที่ต่างประเทศแล้ว ขอให้คนไทยและชาวต่างชาติมาดูได้ที่เชียงใหม่ เพราะที่นี่มีสัตว์น้ำกว่า 200 สายพันธุ์ที่หายากมาก โดยไม่ต้องห่วงเรื่องการดูและเพราะที่สวนสัตว์เชียงใหม่มีผู้เชี่ยวชาญคอยดูแล อย่างหมีแพนด้า ที่ประเทศไทยได้มีโอกาสนำเข้ามาเป็นประเทศที่ 6 ในโลก ก็อยู่ในสวนสัตว์เชียงใหม่ครบ 5 ปีแล้วซึ่งก็เรียบร้อยดี
นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า เรามีปัญหาเรื่องการท่องเที่ยวมาระยะหนึ่งตั้งแต่ปี 2549 เป็นต้นมา แต่เราไม่พูดว่าเพราะอะไร อาจเป็นเพราะภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ซบเซา มลภาวะแวดล้อมก็แล้วแต่ ไม่ต้องไปย้อนหลังดู ต่อไปนี้ให้เดินไปข้างหน้า ประเทศไทยมีปัญหาเรื่องเศรษฐกิจพอสมควร ขณะนี้ทั่วโลกกำลังเป็นห่วงปัญหาเศรษฐกิจ จากที่ตนได้ไปประชุมระดับผู้นำเอเชีย-ยุโรป หรืออาเซมที่ประเทศจีน ที่ประชุมมีความเป็นห่วงเรื่องนี้โดยได้หารือกันถึง 2 วัน
“ปัญหาเศรษฐกิจเป็นปัญหาที่คืบคลานเข้ามาแต่ตอนนี้เราไม่ค่อยรู้สึก อีกสักระยะหนึ่งหากเราไม่เตรียมพร้อมก็จะทำให้มีสภาพคล้ายๆ กับปี 2540 และอาจจะร้ายแรงกว่า โดยจะมีปัญหาสถาบันการเงินถูกปิด การจ้างแรงงานจะหายไป การลงทุนจะลดลง และจะมีปัญหาการเก็บภาษี ซึ่งปัญหาเหล่านี้ได้เกิดขึ้นในยุโรปและอเมริกาแล้ว ซึ้งผมมีความเป็นห่วงปัญหานี้ตั้งแต่เริ่มต้นโดยได้ประชุมร่วมกับผู้ที่เกี่ยวข้องหลายครั้ง โดยมีหลายมาตรการ เช่น 6 มาตรการสำคัญที่ได้ช่วยบรรเทาและแก้ไขปัญหาได้” นายสมชาย กล่าว
ในตอนท้ายนายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณชาวเชียงใหม่ที่ได้ร่วมมือร่วมใจกันดูแลรักษาบ้านเมือง ซึ่งเชียงใหม่เป็นเมืองที่มีมนต์เสน่ห์ มีความสวยงามในตัวเองโดยไม่ต้องตกแต่งอะไรมาก จึงขอให้ช่วยกันรักษาเมืองเชียงใหม่ไว้ทั้งป่าไม้ ต้นน้ำลำธาร ที่ธรรมชาติสร้างไว้เพื่อให้เป็นมรดกทางด้านการท่องเที่ยวจนถึงรุ่นลูกรุ่นหลานต่อไป
จากนั้น นายกรัฐมนตรี ได้ทำพิธีเปิดศูนย์แสดงพันธุ์สัตว์น้ำ Chiangmai Zoo Aquarium โดยการสลักตราสัญลักษณ์เสียบลงที่แท่นพิธี พร้อมถ่ายภาพร่วมกับ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม คณะกรรมการองค์การสวนสัตว์และแขกผู้มีเกียรติเป็นที่ระลึกก่อนเข้าชมภายในศูนย์แสดงพันธุ์สัตว์น้ำ
สำหรับศูนย์แสดงพันธุ์สัตว์น้ำแห่งนี้มีการจัดแสดงพันธุ์สัตว์น้ำ โดยจำลองสภาพระบบนิเวศจากผืนป่าแห่งดอยอินทนนท์ที่เป็นหล่งต้นน้ำจนเกิดเป็นนำตก ลำธารไหลผ่านหุบเขาเกิดแหล่งชุ่มน้ำและไหลรวมกันเป็นแม่น้ำ ไหลสู่ปากอ่าวผ่านป่าโกงกางและออกสู่ทะเล ใช้งบประมาณลงทุนประมาณ 600 ล้านบาท
**”สมชาย” ซวยซ้ำโดนมือตบไล่อีก
จากนั้น นายกรัฐมนตรี และคณะ ได้เดินทางไปเป็นประธานพิธีเปิดการแข่งคณิตศาสตร์นานาชาติ 2008 ที่โรงแรมเชียงใหม่ภูคำ ซึ่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดขึ้นระหว่างวันที่ 25-30 ต.ค.51 มีนักเรียนจาก 28 ประเทศเข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้ โดยที่บริเวณโรงแรมได้มีกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 ประมาณ 100 คน สวมใส่เสื้อสีแดงมารอให้การต้อนรับ
รายงานข่าวระบุว่า ระหว่างการเดินทางออกจากสวนสัตว์เชียงใหม่ ไปที่โรงแรมนั้นได้มีกลุ่มพันธมิตรฯเชียงใหม่ ได้รออยู่ข้างถนนที่ขบวนรถของนายกรัฐมนตรีขับผ่าน 2 จุดๆ ละประมาณ 5 คน คือ ที่บริเวณหน้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และธนาคารกรุงไทย จำกัด ที่อยู่ติดกับโรงแรมเชียงใหม่ภูคำ ซึ่งเมื่อขบวนรถของนายกรัฐมนตรีขับผ่านก็มีการใช้มือตบออกมาตีขับไล่นายกรัฐมนตรี จนหวิดจะเกิดการปะทะกับกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 ที่มารอต้อนรับนายกรัฐมนตรี
**ปฏิเสธรู้เห็น ”สล้าง” ก้าวร้าวหนัก
นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังพิธีเปิดการแข่งขันคณิตศาสตร์นานาชาติ 2008 ถึงกรณีที่เมื่อวันที่ 25 ต.ค.51 พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค อดีตรองอธิบดีกรมตำรวจ ทำการนำเหรียญสมเด็จพระบิดาฝนหลวง ซึ่งเป็นประติมากรรมทรงกลม นูนต่ำ ภายในเป็นพระบรมสาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขึ้นประดิษฐาน ณ พระแท่นแก้ว ภายในสวนเฉลิมพระเกียรติราชพฤกษ์ว่า เป็นการดำเนินการโดยอดีตรองอธิบดีกรมตำรวจเอง ไม่อยากให้นำมาเชื่อมโยงเป็นเรื่องการเมือง
“ส่วนการช่วยเหลือเรื่องราคาพืชผลการเกษตรนั้นยืนยันว่า รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจและกำลังเร่งดำเนินการอยู่ ทั้งนี้ อยากเรียกร้องให้ทุกฝ่ายเลิกเล่นการเมืองแล้วหันมาช่วยกันแก้ไขปัญหาของประเทศจะดีกว่า โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจและปากท้อง” นายสมชาย กล่าว
**คนโคราชต้าน นปช.บุกทำเนียบฯ
ภายหลังจากที่มีกระแสข่าวกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติหรือ นปช. ประกาศนัดรวมพลเพื่อบุกทวงทำเนียบรัฐบาลคืนจากกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนั้น ประชาชนชาวโคราชต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์และแสดงความเป็นห่วง
นายเทพพิทักษ์ ที่พิมาย อายุ 59 ปี ชาวโคราชกล่าวว่า ชอบติดตามดูข่าวสารความเคลื่อนไหวของบ้านเมืองเป็นประจำ เนื่องจากมีความเป็นห่วงถึงสถานการณ์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นภายในประเทศ ซึ่งทุกครั้งที่ดูและรับรู้ก็ภาวนาอยากให้เหตุการณ์ทั้งหลายจบสิ้นลงโดยเร็ว และเมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมา มีการนำเสนอข่าวว่า พล.ต.อ.สล้าง เรียกนัดรวมตัวกลุ่ม นปช.เพื่อจะบุกยึดทำเนียบรัฐบาลคืนจากกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ทำให้รู้สึกไม่ดีและคิดว่าหากมีการบุกยึดทำเนียบจริงก็จะไม่สามารถหลีกเลี่ยงการปะทะกันได้ จะต้องมีการนองเลือดเกิดขึ้นและจะสร้างความสูญเสียมากกว่าวันที่ 7 ต.ค.อย่างแน่นอน
ดังนั้น ตนจึงอยากเรียกร้องให้กลุ่ม นปช.อย่าเคลื่อนไหวด้วยการบุกยึดทำเนียบจากกลุ่มพันธมิตร เพราะที่ผ่านมาก็มีการสูญเสียมากพอแล้ว พร้อมกับเรียกร้องให้ทุกฝ่ายลดบทบาทของตนเองลง ไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม นปช.หรือพันธมิตรก็ตาม ให้ทุกคนกลับมาทำหน้าที่ของตนเอง ทำมาหากินตามแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวง ส่วนปัญหาบ้านเมืองก็ขอให้ทางรัฐบาลได้มีโอกาสทำหน้าที่ของตนเองในการแก้ไขปัญหาบ้าง เพราะในขณะนี้บ้านเมืองบอบช้ำมามากพอแล้ว
นายเทพพิทักษ์ ยังได้แสดงความคิดเห็นถึงการที่อดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่จะโทรศัพท์มาออกรายการความจริงวันนี้ ว่า หากการออกรายการของอดีตนายกนั้นเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติก็สมควรทำ แต่หากจะเป็นการยุยงสร้างความแตกแยกก็ไม่สมควร ทั้งนี้คิดว่าคนที่เป็นถึงอดีตผู้นำประเทศนั้นจะรู้ถึงความเหมาะสมได้ว่า สิ่งไหนเป็นประโยชน์ต่อประเทศและสิ่งไหนเป็นสิ่งที่จะทำลายประเทศ
**"จตุพร"ยัน”นายแม้ว”พูดแค่20นาที
ด้านนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคพลังประชาชน อดีตแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) และผู้ดำเนินรายการ "ความจริงวันนี้" กล่าวถึงกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ต้องการให้รัฐบาลพิจารณากรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะปราศรัยผ่านโทรศัพท์ทางไกลมาระหว่างการจัดงาน"ความจริงวันนี้" ในวันที่ 1 พ.ย.ว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณถูกโจมตีลับหลังอยู่ฝ่ายเดียว แล้วประเทศไทยสงบสุขเรียบร้อยเลยหรือไม่ ครั้งนี้ พ.ต.ท.ทักษิณจะพูดแค่ 20 นาทีจะสามารถทำอะไรได้ โดยโปรแกรมการปราศรัยสดของ พ.ต.ท.ทักษิณนั้นจะไม่มีทางเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน พรรคประชาธิปัตย์ควรเลิกทำตัวเป็นคนหน้าแห้ง แข้งเรียว เห็นแก่ตัวได้แล้ว ที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณถูกกระทำย่ำยีอยู่ฝ่ายเดียวนั้นเป็นธรรมหรือ คนที่ออกมาพูดแบบนี้ควรใจกว้าง รอฟัง พ.ต.ท.ทักษิณพูดก่อนที่จะตื่นตูม
นายจตุพร กล่าวว่า รายการความจริงวันนี้จะเริ่มเวลา 14.00 น. และเสร็จสิ้นเวลา 22.00 น. จากนั้นประชาชนเสื้อแดงที่มาร่วมงานทั้งหมดจะเดินทางกลับบ้าน จะไม่มีเหตุการณ์ความรุนแรงใดๆ เกิดขึ้น จะไม่มีใครอารมณ์ค้างแล้วไปก่อเหตุวุ่นวายใดได้ จะไม่มีการชุมนุมยืดเยื้อเด็ดขาด เนื่องจากสถานที่จะต้องเช่า และประชาชนที่มาร่วมงานมีสติไม่บ้าคลั่งเหมือนกลุ่มพันธมิตร แต่หากมีการปฏิวัติเกิดขึ้นก่อนวันที่ 1 พฤศจิกายน ก็นัดหมายประชาชนเอาไว้แล้วว่า หากประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 1 ประกาศออกมาเมื่อไรก็ให้ไปชุมนุมกันที่ท้องสนามหลวงทันที
**นปช.นัดป่วนโหมโรงเชียร์“พ่อแม้ว”
นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข แกนนำกลุ่ม นปช.เผยว่า ในวันที่ 30 และ 31 ต.ค.นี้ทางกลุ่ม นปช.จะนัดชุมนุมใหญ่อีกครั้งโดยในวันที่ 31 ต.ค.เวลา 20.00 น.ทางแกนนำและผู้ชุมนุมจะมีการเคลื่อนไหวออกนอกพื้นที่สนามหลวง เพื่อไปทำกิจกรรมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ทางแกนนำยังไม่มีการหารือกันว่าจะเดินทางต่อไปที่ทำเนียบรัฐบาลหรือไม่ แต่จุดยืนของกลุ่ม นปช.ยังคงยืนยันยึดหลักสันติวิธี โดยใช้การกดดันทางสังคมในรูปแบบต่างๆ
ทั้งนี้ ภายในสัปดาห์หน้า ตนและแกนนำจะไปยื่นหนังสือต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เพื่อขอให้ตรวจสอบเหตุการณ์วันที่ 7 ตุลาคม ให้ละเอียดอีกครั้ง เพราะรีบด่วนสรุปว่าตำรวจใช้ความรุนแรงเกินกว่าเหตุ พร้อมทั้งจะมอบหลักภาพถ่ายเหตุการณ์ให้ด้วย
นายสมยศ กล่าวอีกว่า การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะโทรศัพท์มาพูดออกรายการความจริงวันนี้สัญจร ในวันที่ 1 พฤศจิกายน ถือเป็นสิทธิที่รายการทำได้ ไม่ใช่เรื่องเสียหายแต่อย่างใด และคงจะไม่มีเหตุการณ์ความรุนแรงเกิดขึ้นในวันนั้น เพราะอยู่ห่างจากพันธมิตรฯ ที่ชุมนุมอยู่ที่ทำเนียบรัฐบาล
วานนี้ (26 ต.ค.) พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีกลุ่มบุคคลเผยแพร่ข้อความผ่านทางอินเทอร์เน็ต วิทยุชุมชุนและใบปลิว โดยมีเนื้อหาหมิ่นสถาบันเบื้องสูงว่า เรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นหน้าที่ของทุกองค์กรทุกสถาบันและคนไทยทุกคนที่จะต้องช่วยกันไม่ให้เกิดเรื่องราวแบบนี้ขึ้นมา กองทัพเราก็ทำหน้าที่ อย่างเต็มที่
“อยากให้คิดว่าปัจจุบันประเทศไทยมีความขัดแย้งทางความคิดค่อนข้างมาก แต่ละฝ่ายก็สามารถประคับประคองสถานการณ์ต่างๆ ให้สามารถไปได้ โดยไม่ให้มีเหตุการณ์ความวุ่นวายเกิดขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ที่ทำให้สังคมสามารถไปได้ อยากให้ทุกฝ่ายช่วยกันปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์” พ.อ.สรรเสริญ กล่าว
**สั่งคุมเข้มกลุ่มพฤติกรรมหมิ่นเบื้องสูง
พ.อ.สรรเสริญ กล่าวต่อว่า พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ได้สั่งการกำชับให้หน่วยขึ้นตรงของกองทัพทุกหน่วย ให้ไปดูแลพื้นที่ในความรับผิดชอบของตัวเองในแต่ละจังหวัด หากพบเห็นพฤติกรรมในลักษณะที่หมิ่นเหม่ต่อการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพให้ประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างใกล้ชิดและดำเนินการอย่างเฉียบขาด
สำหรับเว็บไซต์ต่างๆ ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องช่วยกันโดยเฉพาะกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ส่วนหน้าที่ในการจับกุมเพื่อดำเนินคดี ตามกฎหมายเป็นของเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่เราก็ไม่ได้ปัดความรับผิดชอบไปให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำแต่เพียงอย่างเดียว หมายถึงว่าเจ้าหน้าที่ทหารที่มีอยู่ในกองทัพภาค ทุกหน่วยขึ้นตรงของกองทัพบกทั่วประเทศไทยจะต้องช่วยกันสอดส่องดูแล ในพื้นที่รับผิดชอบ ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรม วิทยุชุมชน การแจกจ่ายใบปลิว
ผู้สื่อข่าวถามว่าได้ประเมินถึงจุดประสงค์ของผู้ที่ดำเนินการในเรื่องนี้หรือไม่ พ.อ.สรรเสริญ กล่าวว่า คงเนื่องมาจากหลายๆส่วน ซึ่งพระองค์อยู่เหนือความขัดแย้ง ทั้งทางด้านความคิดและการเมือง ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ของคนไทยทั้ง 63 ล้านคน
ส่วนกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะออกมาแถลงการณ์อ้างว่าตนเป็นภัยคุกคามของคนชั้นสูงจนถูกนำไปตีความต่างๆ นานานั้น พ.อ.สรรเสริญ กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องทางการเมืองซึ่งทางกองทัพก็พยายามอธิบายให้สังคมได้รับรู้ว่ากองทัพมีจุดยืนที่เหมาะสมที่สุดในวันนี้คือเราไม่สามารถเลือกฝ่ายได้ เพราะทุกฝ่ายล้วนเป็นประชาชนคนไทย และสิ่งที่กองทัพทำได้ดีที่สุดในขณะนี้คือทำหน้าที่ เรื่องการปกป้องภัยคุกคามจากภายนอก ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ในลักษณะที่วิงวอนให้ทุกคนช่วยเหลือในเรื่องตรงนี้ ขณะเดียวกันกองทัพก็ไม่อยากเข้าไปยุ่งกับการเมือง เพราะเป็นปัญหาที่ฝ่ายการเมืองจะต้องไปแก้ปัญหากันเอง
**ลั่นทหารพร้อมรับเหตุนองเลือด
ผู้สื่อข่าวถามว่า กังวลหรือไม่ว่าเรื่องนี้จะเกิดการต่อสู้กันของคนในชนชั้น พ.อ.สรรเสริญ กล่าวว่า ในสังคมในวันนี้ก็มีความขัดแย้งอยู่มากพอสมควร แต่ว่าบ้านเมืองเราจะไปในทิศทางไหนขึ้นอยู่กับทุกคนในสังคมที่ต้องคิดไตร่ตรองใช้สติให้มั่นว่าจะทำอะไรหรือไม่ทำอะไร เพราะจุดหมายปลายทางต้องการให้บ้านเมือง สงบเรียบร้อย อยากให้พิจารณาว่าสิ่งที่ทำไปนั้นเป็นทางออกของบ้านเมือง หรือเพื่อการเอาชนะคะค้านกัน อยากให้ทุกคนยืดแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเรื่องความรักสามัคคี ก็น่าจะเป็นทางออกที่ดี
เมื่อถามว่า การโฟนอินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่จะมีขึ้นในวันที่ 1พ.ย.นี้จะเป็นภัยคุกคามหรือไม่ พ.อ.สรรเสริญ กล่าวว่า แล้วแต่จะมองกัน ซึ่งในส่วนของกองทัพยังไม่มีการประเมิน เมื่อถามว่าหลายฝ่ายกังวลว่าจะเกิดการนองเลือดก่อนถึงวันที่ 1 พ.ย. พ.อ.สรรเสริญ กล่าวว่า เป็นเรื่องที่กองทัพต้องติดตามข้อมูลข่าวสารและประสานงานกับทุกเหล่าทัพ รวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวเท่าที่จะทำได้
ส่วนการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนต่างๆ เป็นการกดดันให้ทหารออกมาทำการอย่างหนึ่งอย่างใดนั้น พ.อ.สรรเสริญ กล่าวว่า แล้วแต่จะมองกันอย่างไร แต่ทางกองทัพยึดมั่นในสิ่งที่ถูกต้องและจุดยืนที่มีอยู่ในปัจจุบันคือการปฎิบัติภารกิจทางทหาร เหมือนในอดีตที่ผ่านมา การใช้กำลังทหารเข้าแก้ปัญหาคือทางออกของสังคมหรือไม่
“ฉะนั้นกลุ่มที่ออกมาเรียกร้องให้การเมืองแก้ไขด้วยการเมืองแก้ด้วยระบบทหารไม่ได้ วันนี้เป็นบทพิสูจน์ที่ท่านทั้งหลายเหล่านั้นได้เคยพูดไว้จะต้องทำให้เราดู กองทัพก็มีหน้าที่ ป้องกันไม่ให้กลุ่มคนที่มีความคิดที่ทำให้กิดความแตกหักในสังคมเกิดการปะทะกันให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ อยากวิงวอนให้ทุกฝ่ายใช้สติคิดให้รอบคอบ ก็คิดว่าไม่น่าจะเกิดเหตุการณ์รุนแรง” พ.อ.สรรเสริญ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่าที่นายจาตุรนต์ ฉายแสง ออกมาระบุว่าการยึดทำเนียบฯของกลุ่มพันธมิตรฯเป็นความผิดของ ผบ.ทบ.เพราะอยู่ในช่วงประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.อ.สรรเสริญ กล่าวว่า เป๋นความคิดที่สามารถคิดได้กองทัพก็รับฟัง แต่การประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่ผ่านมาเกิดจากาการปะทะกันของกลุ่มพันธมิตรฯและ นปช. การยึดทำเนียบฯ เป็นส่วนที่นอกเหนือจากการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งมีก่อนหน้านี้ ผบ.ทบ.ก็ทำหน้าที่ดีที่สุดแล้ว ซึ่งเรามั่นใจว่าสิ่งที่ทำถูกต้องที่สุดแล้ว ซึ่งสถานการณ์ในทำเนียบฯไม่ใช่สถานการณ์ฉุกเฉินที่ต้องใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
**เด็ก ปชป.ชี้”ทักษิณ”หมิ่นเหม่ศาล
นายเทพไท เสนพงศ์ ผู้ช่วยเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ออกแถลงการณ์ก่อนมีคำสั่งตัดสินของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองว่ารู้ว่าจะมีการตัดสินออกมาแบบไหนว่า เป็นเรื่องที่ประชาชนสงสัยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ รู้ได้อย่างไรว่าจะมีคำพิพากษาออกมาที่ทำให้ตัวเองติดคุก หรือรู้เพราะว่าวันที่ทนายความของตัวเองนำเงิน 2 ล้านบาทไปให้ศาล แต่ศาลไม่รับจนมีคดีขึ้นมา ด้วยเหตุนี้หรือไม่ที่ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ รู้ชะตากรรมของตัวเอง ซึ่งหลังจากศาลฎีกาฯตัดสินคดีก็ได้ออกแถลงการณ์กับสื่อมวลชนต่างประเทศอีก ซึ่งมีข้อควรพิจารณาอยู่ 2 จุด ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ใช้คำไม่เหมาะสม และจำเป็นต้อขอคำชี้แจงจาก พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อความชัดเจน เพราะไม่อยากให้ลิ่วล้อ ขุนพลพลอยพยัคฆ์ หรือพวกขุนพลสอพลอ แบบนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคพลังประชาชนออกมาแก้ต่างแบบน้ำขุ่นๆ
นายเทพไท กล่าวว่า คำแรกในแถลงการณ์ที่เขียนว่า “ความยิ่งใหญ่ และความเป็นอยู่ที่ดีมาสู่ประเทศชาติ และประชาชนของผม” ซึ่งตรงนี้คิดว่า คำว่า “ประชาชนของผม” น่าจะใช้ได้กับเฉพาะพระมหากษัตริย์ ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ควรทึกทักว่านี่คือประชาชนของผม นี่คือประเทศของผม
ส่วนที่ 2 ในแถลงการณ์ที่เขียนว่า “ล้วนแต่เป็นการกระทำที่เกิดจากแรงขับเคลื่อนทางการเมือง ซึ่งเป็นการสมคบกันของบรรดาชนชั้นสูงมีอภิสิทธิ์ทั้งหลาย” อยากถามว่า คำว่า “บุคคลชนชั้นสูง” ที่ พ.ต.ท.ทักษิณคือใคร ตรงกับคำในรัฐธรรมนูญ ปี 2550 มาตรา 8 หรือไม่ ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณต้องชี้แจงความชัดเจนต่อแถลงการณ์ของตัวเอง จากที่เมื่อวันที่ 25 ต.ค.ได้มีสมาชิกพรรคพลังประชาชนออกมาอธิบาย แบบข้างๆ คูๆ ว่า คำว่าบุคคลชนชั้นสูงคือ บุคคลธรรมดาสามัญชนที่ทำตัวเปรียบ เสมือนจ้าว ซึ่งตนคิดว่าไม่ตรงกับความจริง หากดูจากเจตนารมณ์ พ.ต.ท.ทักษิณ จะหมายถึงบุคคลในมาตรา 8 ใช่หรือไม่
นายเทพไท กล่าวว่า จากคำแถลงการณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณทั้งหมด เมื่ออ่านแล้วหมิ่นเหม่ต่อการละเมิดอำนาจศาล ซึ่งตนคิดว่าหลังจากนี้ไปจะเรียกร้องให้ผู้ที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการตามความเหมาะสม โดยอาจมี 3 ช่องทางที่ทำได้คือ 1.ให้ศาลเป็นผู้หยิบ เรื่องนี้มาพิจารณารายละเอียดของคำแถลงการณ์ว่าหมิ่นศาลหรือไม่ 2.ให้ประชาชนทั่วไปเป็นผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษ และ 3.ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ก็จะทำเรื่องนี้ เสนอต่อฝ่ายกฎหมายพิจารณาคำแถลงการณ์ว่าเข้าข่ายหมิ่นหรือละเมิดอำนาจศาลหรือไม่
“ผมคิดว่าความห่วงใยต่อแถลงการณ์ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และพวกผมได้พูดและเรียกร้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ยอมรับในคำตัดสินของศาล แต่มีสมาชิกพรรคพลังประชาชนให้สัมภาษณ์เชิงกระแนะกระแหนว่า คุณอภิสิทธิ์เป็นตำรวจโลกหรืออย่างไร ผมขอเรียนว่าเป็นความหวังดีของหัวหน้าพรรค ไม่อยากให้ พ.ต.ท.ทักษิณมีโทษเพิ่ม ข้อหาละเมิดอำนาจศาลเพิ่มอีก 6 เดือน ทั้งนี้ เป็นความปรารถนาดีจริงๆ ไม่ใช่ทำตัวเป็นตำรวจโลก” นายเทพไท กล่าว
**จับตา นปช.เกณฑ์คนป่วนสนองแม้ว
นายเทพไท กล่าวอีกว่า กระบวนการ นปช.การตั้ง ส.ส.ร.3 การแถลงการณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ นำบ้านเมืองไปสู่ทางตัน ไม่มีทางออก ต้องเผชิญปัญหากับวิกฤติแน่นอนและคิดว่าเป็นความต้องการของคนเหล่านี้ เพื่อให้เกิดการปฏิวัติ เพื่อให้ส่งผลดีกับตัวเองคือ จะสามารถช่วย พ.ต.ท.ทักษิณ เรื่องคดีความในการขอลี้ภัยและเป็นการหาทางออกหรือทางลงให้กับรัฐบาลชุดนี้ เพราะรัฐบาลชุดนี้ไม่ยอมยุบสภาหรือลาออก เชื่อว่าหากมีการปฏิวัติเกิดขึ้นน่าจะเป็นเกียรติกับรัฐบาลชุดนี้มากกว่า นอกจากนี้ยังเป็นการหาคะแนนเสียง ตนเชื่อว่าการเคลื่อนไหวทั้งหมดมีนัยยะทางการเมืองทั้งสิ้น
นายเทพไท กล่าวถึงรายการความจริงวันนี้ ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะโทรศัพท์เข่ามาพูดคุยกับผู้ชุมนุมว่า ตนคิดว่าเป็นรายการที่จัดขึ้นโดยกลุ่ม นปช.และเชื่อว่าวันที่ 1 พ.ย.จะมีประชาชนมาร่วมมาก ด้วยเหตุผลเพราะรายการนี้โหมโรง และประชาสัมพันธ์ผ่านสถานีโทรทัศน์ NBT ทุกคืน โดยเรียกร้องให้ประชาชนมาร่วมชุมนุมกัน ซึ่งการจัดงานครั้งนี้ผู้อำนวยการสร้าง สปอนเซอร์ หรือนายทุนตัวจริงได้มีโอกาสโฟนอิน มาจากลอนดอน และทุ่มทุนไม่อั้นเพื่อให้เป็นรายการที่ยิ่งใหญ่ตามที่ได้โฆษณาไว้
“ผมเชื่อว่ารายการดังกล่าวคงจะไม่มีการถ่ายทอดสดในวันที่ 1 พ.ย.เพราะเป็นวันหยุดของรายการ แต่จะใช้ช่องทางอื่นมาถ่ายทอดแทนทาง ์NBT เหมือนวันที่ 11 ต.ค.ที่เมืองทองธานี ที่เอาช่วงนายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย มาพูดในเรื่องประชาธิปไตย ทั้งๆ ที่ตัวเองถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง มาเป็นวิทยากรในรายการ” นายเทพไท กล่าว
**“ไพฑูรย์” ชี้“แม้ว”มีศักดิ์เป็นนักโทษ
นายไพทรูย์ แก้วทอง รองประธานที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ และ ส.ส.ระบบสัดส่วนพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ที่บ้านพักใน จ.พิจิตรว่า ไม่เห็นด้วยที่ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ จะพูดสายตรงออกรายการทีวีความจริงวันนี้ในวันที่ 1 พ.ย.ถือเป็นเรื่องที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง เพราะฐานะของ พ.ต.ท.ทักษิณ ขณะนี้เป็นแค่นักโทษหลบหนีอาญาแผ่นดิน ไม่ใช่ผู้ลี้ภัยทางการเมือง อยู่ในสถานะที่ไม่ยอมให้ถูกคุมขัง ซึ่งถ้ารัฐบาลยังจะปล่อยให้ออกมาแสดงความคิดเห็น โดยตรงผ่านสื่อโทรทัศน์ในประเทศแล้วถือว่าเป็นเรื่องไม่สมควรอย่างยิ่ง
นอกจากนี้ รัฐบาลเองควรจะเร่งรัดกฎหมายให้มีการดำเนินการกับจับกุม พ.ต.ท.ทักษิณ ให้เร็วขึ้นในฐานะนักโทษ โดยเฉพาะกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ไปให้ข่าวในทางที่ไม่ดีกับประเทศไทย ทำให้คนทั่วโลกมองว่าประเทศไทยต่ำต้อยสถาบันศาลยุติธรรมเชื่อถือไม่ได้ เพราะทำให้ประเทศไทยก็ได้รับความเสียหายอย่างมหาศาล เพราะหากให้ออกรายการโทรทัศน์ก็จะเกิดการปลุกระดมนั้นถ้ารัฐบาลยังปล่อยให้สถานการณ์ยังเป็นอยู่อย่างนี้ เชื่อว่าบ้านเมืองยิ่งจะมีแต่ความเลวร้ายลง แทนที่จะสร้างความสงบให้กับประเทศไทยกับยิ่งทำให้วุ่นวายมากขึ้น เพราะคนเป็นแค่นักโทษถือว่าหมดราคาไปแล้ว แต่ถ้าอยากจะกู้ศักดิ์ศรีก็ต้องกลับมาเข้าสู่ตามกระบวนการยุติธรรม
ด้านนายปริญญา เทวานฤมิตรกุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะโทรศัพท์ทางไกลมาพูดกับประชาชนในรายการความจริงวันนี้ ในวันที่ 1 พ.ย.หากเป็นการโทรศัพท์มาคุยกับกลุ่มบุคคลที่ให้การสนับสนุนคงไม่เป็นไร แต่ถ้าพูดผ่านช่องทางสื่อสารของรัฐคงมีปัญหา เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณวันนี้มีสถานะไม่เหมือนก่อนวันที่ 21 ต.ค. ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ยังไม่มีมีคำพิพากษาในคดีทุจริตการจัดซื้อที่ดินย่านรัชดาก็ยังถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่เมื่อศาลฎีกาฯมีคำพิพากษาแล้ว ทำให้มีสถานะเป็นผู้ทำผิดกฎหมาย หนีโทษ ดังนั้น จะใช้ช่องทาง สื่อสารของรัฐก็ต้องระมัดระวังว่าทำได้แค่ไหน
“สำหรับสื่ออื่นที่จะนำเสนอข่าวก็ต้องเสนอข่าวเป็นไปอย่างระมัดระวังเช่นกันว่าทำได้มากน้อยแค่ไหน แม้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มีสถานะที่เปลี่ยนไป แต่ยังเป็นพลเมืองไทย จึงไม่ได้หมายความว่าสื่อจะนำเสนอข่าวไม่ได้ แต่ต้องระมัดระวัง แต่หากเอาเทป มาออกในรายการคิดว่ามีปัญหาแน่นอน” นายปริญญา กล่าว
**“สมพงษ์”อ้างไม่รู้เนื้อหาแถลงการณ์
ทางด้านนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.ต่างประเทศ กล่าวปฏิเสธถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะโฟนอินในวันที่ 1 พ.ย.ว่า ตนยังไม่ทราบเรื่องดังกล่าวและยังไม่ได้อ่านแถลงการณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ส่วนการดำเนินการชี้แจงต่อสายตาโลกของกระทรวงการต่างประเทศนั้น ขอเวลาตรวจสอบข้อมูลก่อน
ส่วนที่หลายฝ่ายเรียกร้องให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการปกป้องเกียติภูมิของกระบวนการยุติธรรมไทยนั้น นายสมพงษ์ กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ต้องทำอยู่แล้ว คนที่พูดก็ต้องรับผิดชอบในส่วนที่ตัวเองพูด แต่ทางรัฐบาลยังไม่มีมาตรการอะไรในเรื่องนี้ เพราะยังไม่ได้คุยกันเนื่องจากต่างคนต่างเพิ่งเดินทางกลับจากประเทศจีน
เมื่อถามว่า กระทรวงการต่างประเทศจะชี้แจงกรณี พ.ต.ท.ทักษิณ ระบุถึงชนชั้นสูงในแถลงการณ์อย่างไร รมว.ต่างประเทศ กล่าวว่า ต้องเรียนว่ายังไม่พร้อมที่จะตอบ เพราะยังไม่ทราบข้อเท็จจริง ขอเวลาในการตรวจสอบก่อนสัก 1 สัปดาห์ ยอมรับว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องอ่อนไหว ถ้ายังไม่รู้เรื่องชัดเจนจะเสียหาย ส่วนจำเป็นต้องทำเป็นหนังสือชี้แจงไปยังต่างประเทศหรือไม่ คงต้องขอดูรูปการต่อไปเพราะตอนนี้ยังไม่รู้ต้นเหตุ
ส่วนความร่วมมือกับทางอัยการสูงสุดในการประสานขอส่งตัว พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นผู้ร้ายข้ามแดนนั้น นายสมพงษ์ กล่าวว่า ขณะนี้ทางอัยการสูงสุดยังไม่ประสานมา แต่ข้อเท็จจริงเรื่องการขอตัวนั้น อัยการสูงสุดจะเป็นคนดำเนินการ โดยกระทรวงการต่างประเทศจะให้การสนับสนุน หากเป็นเรื่องของชาติบ้านเมืองก็ยินดี
เมื่อถามว่า ดูเหมือนกระทรวงการต่างประเทศให้ความร่วมมือน้อยไป อาจเพราะเป็นคนของนายใหญ่เลยไม่กล้าดำเนินการ รมว.ต่างประเทศ กล่าวว่า ไม่ใช่ เราต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย อย่างไรก็ตาม ขณะนี้กำลังดูว่า ในวันที่ 27 ต.ค.นี้อาจะมีการประชุมกันเรื่องนี้โดยเฉพาะกับเจ้าหน้าที่ของกระทรวง โดยอาจมีการตั้งเป็นคณะกรรมการขึ้นมาในส่วนของกระทรวง เพื่อตรวจสอบทั้งหมด
“ผมรับประกันได้ว่า ไอ้เรื่องที่เคยเป็นอดีตผู้บังคับบัญชา เป็นอดีตนายกฯ ของพรรค หรือเป็นอดีตหัวหน้าพรรค ไม่เกี่ยว เพราะสังคมเขาเห็นอยู่แล้ว เราจะไปทำอะไรสวนสังคมไม่ได้ แต่มันก็ต้องมีเหตุและผลด้วยว่า ดำเนินการแบบนี้แล้วผลจะเป็นอย่างไร เราต้องเอาข้อเท็จจริงมาให้ความเป็นธรรมกับทุกคน” นายสมพงษ์ กล่าว
**”สมชาย”มีกรรมหนีไม่พ้น”มือตบ”
ที่ จ.เชียงใหม่วานนี้เวลา 10.00 น.นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม พร้อมคณะได้เดินทางไปเป็นประธานเปิดศูนย์แสดงพันธุ์สัตว์น้ำ (Chiangmai Zoo Aquarium) สวนสัตว์เชียงใหม่ โดยมีนางอนงค์วรรณ เทพสุทิน รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อม ส.ส.เชียงใหม่ ผู้ว่าราชการจังหวัดฯ หัวหน้าส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ ผู้บริหารภาคเอกชน ผู้บริหารและพนักงานองค์การสวนสัตว์ พร้อมประชาชนมาคอยให้การต้อนรับและร่วมในพิธี
ผู้สื่อข่าวรายงานก่อนหน้านี้ในเวลา 09.50 น. ระหว่างที่ขบวนรถของนายกรัฐมนตรี ออกจากบ้านพักในสนามกอล์ฟเชียงใหม่กรีนวัลเลย์ เพื่อไปเปิดศูนย์แสดงพันธุ์สัตว์น้ำ (Chiangmai Zoo Aquarium) สวนสัตว์เชียงใหม่ ถนนห้วยแก้ว เชิงดอยสุเทพ แล่นมาถึงบริเวณถนนห้วยแก้ว ก่อนถึงมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เล็กน้อย ได้มีประชาชนจำนวนหนึ่งไม่น้อยกว่า 20 คนถือมือตบดักรอและได้ยกมือตบพร้อมส่งเสียงขับไล่นายกรัฐมนตรีขณะที่รถแล่นผ่าน
ทั้งนี้ ประชาชนที่ใช้ถือตบเป็นสัญลักษณ์มีอยู่ด้วยกัน 3 จุดรายทาง คือ บริเวณหน้าร้านอาหารโบ้ต จุดก่อนถึงรั้ว มช. และบริเวณหน้าสวนรุกขชาติห้วยแก้ว ซึ่งเป็นปากทางเข้าสวนสัตว์ หลังจากดำเนินการเสร็จสิ้นพากันทยอยเดินทางกลับทันที
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมด้วยว่า ขณะที่ก่อนหน้านี้ในเวลา 08.00 น.วิทยุคนรักทักษิณคลื่น 92.5 Mhz ของนายเพชรวรรต วัฒนพงศศิริกุล แกนนำกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 ได้ประกาศเชิญชวนคนเสื้อแดงร่วมกันเดินทางไปอารักขานายสมชาย อีกรอบ หลังจากเมื่อคืนก่อนหน้าได้ประกาศจัดตั้งการ์ดอาสาเสื้อแดงชาย-หญิง แยกสายแบ่งกลุ่มเพื่อปกป้องไม่ให้พันธมิตรฯใช้มือตบขับไล่นายสมชาย เหมือนเมื่อการเดินทางมาตรวจราชการรอบก่อน โดยได้มีการเข้าไปจัดตั้งขบวนการ์ดอาสารอรับนายสมชาย ภายในสวนสัตว์เชียงใหม่ตั้งแต่เช้า
ขณะที่ช่วงเวลา 09.00 น. วิทยุตำรวจ สภ.ภูพิงค์ราชนิเวศน์ ซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่ได้ประกาศให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบจับตาผู้เดินทางเข้าไปในสวนสัตว์ เป็นพิเศษ โดยมีการระบุว่านางเบญจมาศ ซึ่งหมายถึงมือตบสาวที่เคยบุกเดี่ยวขึ้นพระธาตุดอยสุเทพได้เดินทางเข้าไปในสวนสัตว์แล้ว แต่เมื่อ “ผู้จัดการรายวัน” ตรวจสอบไปยังนางเบญจมาศ ยุทธวิริยา สาวมือตบประเภทเดี่ยวได้รับการยืนยันว่า ตนยังอยู่ที่บ้านพักในเขต อ.สันทราย แสดงให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจเชียงใหม่กังวลต่อการออกมาใช้มือตบถึงขั้นที่จำคนผิด ถึงกับประกาศชื่อผ่านเครือข่ายวิทยุตำรวจให้จับตาหญิงสาวคนอื่นที่หน้าตาละม้ายกับนางเบญจมาศ
**โปรยยาหอมกลอบ“คนเชียงใหม่”
เมื่อนายกรัฐมนตรี เดินทางมาถึง รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้กล่าวรายงานเกี่ยวกับความเป็นมาของศูนย์แสดงพันธุ์สัตว์น้ำ Chiangmai Zoo Aquarium ที่เริ่มก่อสร้างเมื่อปี 2547 มีพื้นที่ใช้สอยของอาคารแสดงศูนย์แสดงพันธุ์สัตว์น้ำรวมทั้งสิ้น 13,985 ตารางเมตร ภายในมีอุโมงค์ใต้น้ำที่ยาวถึง 133 เมตร ถือได้ว่ามีความยาวที่สุดในโลก รวมพันธุ์สัตว์น้ำจืดและน้ำเค็มประมาณ 250 สายพันธุ์กว่า 8,000 ตัว มีการตกแต่งโดยจำลองธรรมชาติอย่างสมบูรณ์แบบ แบ่งออกเป็นระบบนิเวศน์ใหญ่ ๆ 2 แบบ คือ ระบบนิเวศน้ำจืด และระบบนิเวศน์น้ำทะเล มีการเรียงลำดับจากต้นน้ำบนยอดดอยลงไปสู่ทะเล ฯลฯ
โอกาสนี้นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวเปิดศูนย์แสดงพันธุ์สัตว์น้ำเชียงใหม่ สรุปสาระสำคัญว่า มีความตื่นตาตื่นใจกับมิติใหม่ของสวนสัตว์เชียงใหม่ รวมทั้งยินดีและเป็นเกียรติที่ได้มีโอกาสมาชมและร่วมพิธีเปิดศูนย์แสดงพันธุ์สัตว์น้ำ Chiangmai Zoo Aquarium ซึ่งมีอุโมงค์ใต้น้ำที่ยาวที่สุดในโลก เป็นศูนย์แสดงพันธุ์สัตว์น้ำที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อันเป็นความภาคภูมิใจและเป็นความสามารถของคนไทย ทำให้ไม่ต้องเดินทางไปดู Aquarium ที่ต่างประเทศแล้ว ขอให้คนไทยและชาวต่างชาติมาดูได้ที่เชียงใหม่ เพราะที่นี่มีสัตว์น้ำกว่า 200 สายพันธุ์ที่หายากมาก โดยไม่ต้องห่วงเรื่องการดูและเพราะที่สวนสัตว์เชียงใหม่มีผู้เชี่ยวชาญคอยดูแล อย่างหมีแพนด้า ที่ประเทศไทยได้มีโอกาสนำเข้ามาเป็นประเทศที่ 6 ในโลก ก็อยู่ในสวนสัตว์เชียงใหม่ครบ 5 ปีแล้วซึ่งก็เรียบร้อยดี
นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า เรามีปัญหาเรื่องการท่องเที่ยวมาระยะหนึ่งตั้งแต่ปี 2549 เป็นต้นมา แต่เราไม่พูดว่าเพราะอะไร อาจเป็นเพราะภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ซบเซา มลภาวะแวดล้อมก็แล้วแต่ ไม่ต้องไปย้อนหลังดู ต่อไปนี้ให้เดินไปข้างหน้า ประเทศไทยมีปัญหาเรื่องเศรษฐกิจพอสมควร ขณะนี้ทั่วโลกกำลังเป็นห่วงปัญหาเศรษฐกิจ จากที่ตนได้ไปประชุมระดับผู้นำเอเชีย-ยุโรป หรืออาเซมที่ประเทศจีน ที่ประชุมมีความเป็นห่วงเรื่องนี้โดยได้หารือกันถึง 2 วัน
“ปัญหาเศรษฐกิจเป็นปัญหาที่คืบคลานเข้ามาแต่ตอนนี้เราไม่ค่อยรู้สึก อีกสักระยะหนึ่งหากเราไม่เตรียมพร้อมก็จะทำให้มีสภาพคล้ายๆ กับปี 2540 และอาจจะร้ายแรงกว่า โดยจะมีปัญหาสถาบันการเงินถูกปิด การจ้างแรงงานจะหายไป การลงทุนจะลดลง และจะมีปัญหาการเก็บภาษี ซึ่งปัญหาเหล่านี้ได้เกิดขึ้นในยุโรปและอเมริกาแล้ว ซึ้งผมมีความเป็นห่วงปัญหานี้ตั้งแต่เริ่มต้นโดยได้ประชุมร่วมกับผู้ที่เกี่ยวข้องหลายครั้ง โดยมีหลายมาตรการ เช่น 6 มาตรการสำคัญที่ได้ช่วยบรรเทาและแก้ไขปัญหาได้” นายสมชาย กล่าว
ในตอนท้ายนายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณชาวเชียงใหม่ที่ได้ร่วมมือร่วมใจกันดูแลรักษาบ้านเมือง ซึ่งเชียงใหม่เป็นเมืองที่มีมนต์เสน่ห์ มีความสวยงามในตัวเองโดยไม่ต้องตกแต่งอะไรมาก จึงขอให้ช่วยกันรักษาเมืองเชียงใหม่ไว้ทั้งป่าไม้ ต้นน้ำลำธาร ที่ธรรมชาติสร้างไว้เพื่อให้เป็นมรดกทางด้านการท่องเที่ยวจนถึงรุ่นลูกรุ่นหลานต่อไป
จากนั้น นายกรัฐมนตรี ได้ทำพิธีเปิดศูนย์แสดงพันธุ์สัตว์น้ำ Chiangmai Zoo Aquarium โดยการสลักตราสัญลักษณ์เสียบลงที่แท่นพิธี พร้อมถ่ายภาพร่วมกับ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม คณะกรรมการองค์การสวนสัตว์และแขกผู้มีเกียรติเป็นที่ระลึกก่อนเข้าชมภายในศูนย์แสดงพันธุ์สัตว์น้ำ
สำหรับศูนย์แสดงพันธุ์สัตว์น้ำแห่งนี้มีการจัดแสดงพันธุ์สัตว์น้ำ โดยจำลองสภาพระบบนิเวศจากผืนป่าแห่งดอยอินทนนท์ที่เป็นหล่งต้นน้ำจนเกิดเป็นนำตก ลำธารไหลผ่านหุบเขาเกิดแหล่งชุ่มน้ำและไหลรวมกันเป็นแม่น้ำ ไหลสู่ปากอ่าวผ่านป่าโกงกางและออกสู่ทะเล ใช้งบประมาณลงทุนประมาณ 600 ล้านบาท
**”สมชาย” ซวยซ้ำโดนมือตบไล่อีก
จากนั้น นายกรัฐมนตรี และคณะ ได้เดินทางไปเป็นประธานพิธีเปิดการแข่งคณิตศาสตร์นานาชาติ 2008 ที่โรงแรมเชียงใหม่ภูคำ ซึ่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดขึ้นระหว่างวันที่ 25-30 ต.ค.51 มีนักเรียนจาก 28 ประเทศเข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้ โดยที่บริเวณโรงแรมได้มีกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 ประมาณ 100 คน สวมใส่เสื้อสีแดงมารอให้การต้อนรับ
รายงานข่าวระบุว่า ระหว่างการเดินทางออกจากสวนสัตว์เชียงใหม่ ไปที่โรงแรมนั้นได้มีกลุ่มพันธมิตรฯเชียงใหม่ ได้รออยู่ข้างถนนที่ขบวนรถของนายกรัฐมนตรีขับผ่าน 2 จุดๆ ละประมาณ 5 คน คือ ที่บริเวณหน้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และธนาคารกรุงไทย จำกัด ที่อยู่ติดกับโรงแรมเชียงใหม่ภูคำ ซึ่งเมื่อขบวนรถของนายกรัฐมนตรีขับผ่านก็มีการใช้มือตบออกมาตีขับไล่นายกรัฐมนตรี จนหวิดจะเกิดการปะทะกับกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 ที่มารอต้อนรับนายกรัฐมนตรี
**ปฏิเสธรู้เห็น ”สล้าง” ก้าวร้าวหนัก
นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังพิธีเปิดการแข่งขันคณิตศาสตร์นานาชาติ 2008 ถึงกรณีที่เมื่อวันที่ 25 ต.ค.51 พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค อดีตรองอธิบดีกรมตำรวจ ทำการนำเหรียญสมเด็จพระบิดาฝนหลวง ซึ่งเป็นประติมากรรมทรงกลม นูนต่ำ ภายในเป็นพระบรมสาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขึ้นประดิษฐาน ณ พระแท่นแก้ว ภายในสวนเฉลิมพระเกียรติราชพฤกษ์ว่า เป็นการดำเนินการโดยอดีตรองอธิบดีกรมตำรวจเอง ไม่อยากให้นำมาเชื่อมโยงเป็นเรื่องการเมือง
“ส่วนการช่วยเหลือเรื่องราคาพืชผลการเกษตรนั้นยืนยันว่า รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจและกำลังเร่งดำเนินการอยู่ ทั้งนี้ อยากเรียกร้องให้ทุกฝ่ายเลิกเล่นการเมืองแล้วหันมาช่วยกันแก้ไขปัญหาของประเทศจะดีกว่า โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจและปากท้อง” นายสมชาย กล่าว
**คนโคราชต้าน นปช.บุกทำเนียบฯ
ภายหลังจากที่มีกระแสข่าวกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติหรือ นปช. ประกาศนัดรวมพลเพื่อบุกทวงทำเนียบรัฐบาลคืนจากกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนั้น ประชาชนชาวโคราชต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์และแสดงความเป็นห่วง
นายเทพพิทักษ์ ที่พิมาย อายุ 59 ปี ชาวโคราชกล่าวว่า ชอบติดตามดูข่าวสารความเคลื่อนไหวของบ้านเมืองเป็นประจำ เนื่องจากมีความเป็นห่วงถึงสถานการณ์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นภายในประเทศ ซึ่งทุกครั้งที่ดูและรับรู้ก็ภาวนาอยากให้เหตุการณ์ทั้งหลายจบสิ้นลงโดยเร็ว และเมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมา มีการนำเสนอข่าวว่า พล.ต.อ.สล้าง เรียกนัดรวมตัวกลุ่ม นปช.เพื่อจะบุกยึดทำเนียบรัฐบาลคืนจากกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ทำให้รู้สึกไม่ดีและคิดว่าหากมีการบุกยึดทำเนียบจริงก็จะไม่สามารถหลีกเลี่ยงการปะทะกันได้ จะต้องมีการนองเลือดเกิดขึ้นและจะสร้างความสูญเสียมากกว่าวันที่ 7 ต.ค.อย่างแน่นอน
ดังนั้น ตนจึงอยากเรียกร้องให้กลุ่ม นปช.อย่าเคลื่อนไหวด้วยการบุกยึดทำเนียบจากกลุ่มพันธมิตร เพราะที่ผ่านมาก็มีการสูญเสียมากพอแล้ว พร้อมกับเรียกร้องให้ทุกฝ่ายลดบทบาทของตนเองลง ไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม นปช.หรือพันธมิตรก็ตาม ให้ทุกคนกลับมาทำหน้าที่ของตนเอง ทำมาหากินตามแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวง ส่วนปัญหาบ้านเมืองก็ขอให้ทางรัฐบาลได้มีโอกาสทำหน้าที่ของตนเองในการแก้ไขปัญหาบ้าง เพราะในขณะนี้บ้านเมืองบอบช้ำมามากพอแล้ว
นายเทพพิทักษ์ ยังได้แสดงความคิดเห็นถึงการที่อดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่จะโทรศัพท์มาออกรายการความจริงวันนี้ ว่า หากการออกรายการของอดีตนายกนั้นเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติก็สมควรทำ แต่หากจะเป็นการยุยงสร้างความแตกแยกก็ไม่สมควร ทั้งนี้คิดว่าคนที่เป็นถึงอดีตผู้นำประเทศนั้นจะรู้ถึงความเหมาะสมได้ว่า สิ่งไหนเป็นประโยชน์ต่อประเทศและสิ่งไหนเป็นสิ่งที่จะทำลายประเทศ
**"จตุพร"ยัน”นายแม้ว”พูดแค่20นาที
ด้านนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคพลังประชาชน อดีตแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) และผู้ดำเนินรายการ "ความจริงวันนี้" กล่าวถึงกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ต้องการให้รัฐบาลพิจารณากรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะปราศรัยผ่านโทรศัพท์ทางไกลมาระหว่างการจัดงาน"ความจริงวันนี้" ในวันที่ 1 พ.ย.ว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณถูกโจมตีลับหลังอยู่ฝ่ายเดียว แล้วประเทศไทยสงบสุขเรียบร้อยเลยหรือไม่ ครั้งนี้ พ.ต.ท.ทักษิณจะพูดแค่ 20 นาทีจะสามารถทำอะไรได้ โดยโปรแกรมการปราศรัยสดของ พ.ต.ท.ทักษิณนั้นจะไม่มีทางเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน พรรคประชาธิปัตย์ควรเลิกทำตัวเป็นคนหน้าแห้ง แข้งเรียว เห็นแก่ตัวได้แล้ว ที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณถูกกระทำย่ำยีอยู่ฝ่ายเดียวนั้นเป็นธรรมหรือ คนที่ออกมาพูดแบบนี้ควรใจกว้าง รอฟัง พ.ต.ท.ทักษิณพูดก่อนที่จะตื่นตูม
นายจตุพร กล่าวว่า รายการความจริงวันนี้จะเริ่มเวลา 14.00 น. และเสร็จสิ้นเวลา 22.00 น. จากนั้นประชาชนเสื้อแดงที่มาร่วมงานทั้งหมดจะเดินทางกลับบ้าน จะไม่มีเหตุการณ์ความรุนแรงใดๆ เกิดขึ้น จะไม่มีใครอารมณ์ค้างแล้วไปก่อเหตุวุ่นวายใดได้ จะไม่มีการชุมนุมยืดเยื้อเด็ดขาด เนื่องจากสถานที่จะต้องเช่า และประชาชนที่มาร่วมงานมีสติไม่บ้าคลั่งเหมือนกลุ่มพันธมิตร แต่หากมีการปฏิวัติเกิดขึ้นก่อนวันที่ 1 พฤศจิกายน ก็นัดหมายประชาชนเอาไว้แล้วว่า หากประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 1 ประกาศออกมาเมื่อไรก็ให้ไปชุมนุมกันที่ท้องสนามหลวงทันที
**นปช.นัดป่วนโหมโรงเชียร์“พ่อแม้ว”
นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข แกนนำกลุ่ม นปช.เผยว่า ในวันที่ 30 และ 31 ต.ค.นี้ทางกลุ่ม นปช.จะนัดชุมนุมใหญ่อีกครั้งโดยในวันที่ 31 ต.ค.เวลา 20.00 น.ทางแกนนำและผู้ชุมนุมจะมีการเคลื่อนไหวออกนอกพื้นที่สนามหลวง เพื่อไปทำกิจกรรมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ทางแกนนำยังไม่มีการหารือกันว่าจะเดินทางต่อไปที่ทำเนียบรัฐบาลหรือไม่ แต่จุดยืนของกลุ่ม นปช.ยังคงยืนยันยึดหลักสันติวิธี โดยใช้การกดดันทางสังคมในรูปแบบต่างๆ
ทั้งนี้ ภายในสัปดาห์หน้า ตนและแกนนำจะไปยื่นหนังสือต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เพื่อขอให้ตรวจสอบเหตุการณ์วันที่ 7 ตุลาคม ให้ละเอียดอีกครั้ง เพราะรีบด่วนสรุปว่าตำรวจใช้ความรุนแรงเกินกว่าเหตุ พร้อมทั้งจะมอบหลักภาพถ่ายเหตุการณ์ให้ด้วย
นายสมยศ กล่าวอีกว่า การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะโทรศัพท์มาพูดออกรายการความจริงวันนี้สัญจร ในวันที่ 1 พฤศจิกายน ถือเป็นสิทธิที่รายการทำได้ ไม่ใช่เรื่องเสียหายแต่อย่างใด และคงจะไม่มีเหตุการณ์ความรุนแรงเกิดขึ้นในวันนั้น เพราะอยู่ห่างจากพันธมิตรฯ ที่ชุมนุมอยู่ที่ทำเนียบรัฐบาล