นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวในรายการ รัฐบาลของประชาชน ซึ่งเป็นรายการที่จัดทำขึ้นของกองงานโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย NBT เป็นครั้งแรก โดยมีนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ดำเนินรายการ โดยกล่าวถึงการเข้าการประชุมผู้นำเอเชีย-ยุโรป ครั้งที่ 7 (ASEM 7)ระหว่างวันที่ 23-25 ตุลาคมที่ผ่านมา ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีนว่า กรณีปัญหาข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชานั้นทยยังคงยืนยันความสัมพันธ์ที่จะมีมิตรไมตรีที่ดีกับกัมพูชา ไม่มีการก้าวก่าย หรือดูถูกเหยียดหยามซึ่งกันและกัน
นายสมพงษ์กล่าวว่า ในการประชุมอาเซมนายกรัฐมนตรีได้มีโอกาสหารือกับสมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา โดยบรรยากาศการหารือเป็นไปอย่างดีมาก สมเด็จฮุน เซน บอกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเราทั้งสองประเทศไม่ได้ตั้งใจ หรือต้องการให้เกิดขึ้น นอกจากเราเป็นประเทศที่ใกล้เคียงกันแล้ว ยังเป็นพี่น้องกันอีก
รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีกัมพูชาได้ฝากแนวทางแก้ไขปัญหามา 4 ข้อ คือ 1. ทั้งสองประเทศต้องหาวิธีการเพื่อพูดคุยกันให้เสร็จสิ้นให้ได้ และต้องไม่มีการปะทะกัน 2. ต้องนำปัญหามาแก้ไขในแนวทางของทวิภาคี 3.ทั้งสองประเทศต้องเร่งรัดการเจรจาตามกรอบคณะกรรมาธิการร่วมเขตแดนไทย-กัมพูชา (JBC) ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ และ 4. อยากให้สองประเทศยืนหยัดในเรื่องการค้า การลงทุนให้เหมือนเดิม
ทั้งนี้ หลังจากที่รัฐบาลได้นำกรอบการแก้ไขปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา รายงานต่อรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญในวันที่ 28 ตุลาคมนี้แล้ว เชื่อว่าทุกอย่างจะเดินไปด้วยความเรียบร้อย
ขณะที่ นาย ไพ สีปาน โฆษกของสภารัฐมนตรีกัมพูชาเปิดเผยกับสำนักข่าว เอเอฟพีว่า กัมพูชาได้ยื่นเรื่องร้องเรียน กับสำนักงานขององค์การศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ UNESCO ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลด้านวัฒนธรรมของสหประชาชาติ กล่าวหาทหารไทยว่าได้สร้างความเสียหายให้กับปราสาทพระวิหารของกัมพูชา ในช่วงเกิดการปะทะกันที่บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาเมื่อต้นเดือนนี้
นายไพ สีปาน เปิดเผยว่า บันไดและนาคปูนปั้นซึ่งมีอายุเก่าแก่ตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 11 ถูกยิงด้วยจรวดจนได้รับความเสียหาย ซึ่งเขาระบุว่าเป็นเจตนา สร้างความเสียหายโดยทหารไทย เพราะพบเศษชิ้นส่วนที่เหลือของระเบิดบริเวณใกล้กับปราสาท และไม่มีทหารกัมพูชาประจำการอยู่ในบริเวณใกล้เคียง ทางกัมพูชา จึงได้ยื่นร้องเรียนต่อยูเนสโก้ โดยส่งรายงานและภาพถ่ายของความเสียหายไปให้ ในช่วงไม่กี่วันหลังเกิดการยิงปะทะกันเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม บริเวณใกล้ปราสาทพระวิหาร ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางความขัดแย้งครั้งใหม่ระหว่างไทยกับกัมพูชามานาน หลายเดือนแล้ว และเกิดการปะทะกันในเดือนนี้ ทำให้มีทหารกัมพูชา 3 นายและทหารไทย 1 นายเสียชีวิต
ด้านกระทรวงการต่างประเทศออกเอกสารชี้แจงกรณีที่มีรายงานข่าวว่า ทหารไทยได้ยิงเครื่องยิงลูกระเบิดตกบริเวณปราสาทพระวิหาร ทำให้บันไดนาคได้รับความเสียหาย และจะยกเรื่องนี้ร้องเรียนต่อองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโกว่า จากการตรวจสอบข้อมูลจากกองทัพภาคที่ 2 ได้รับการชี้แจงว่า เมื่อวันที่15 ตุลาคม 2551 ตามที่มีการปะทะกันระหว่าง ทหารไทย-กัมพูชา บริเวณผามออีแดง ทหารไทยได้ใช้เพียงอาวุธปืนเล็กยาว ในการตอบโต้ทหารกัมพูชา ไม่มีการใช้อาวุธหนัก หรือเครื่องยิงลูกระเบิดยิงเข้าใส่ในบริเวณปราสาทเขาพระวิหาร ตามที่ฝ่ายกัมพูชากล่าวอ้าง
ขณะที่ฝ่ายกัมพูชาได้มีการยิงอาวุธใส่ทหารไทย ที่ตั้งมั่นอยู่ในบริเวณสถูปคู่ ใกล้ผามออีแดงด้วยปืนไร้แรงสะเทือน และเครื่องยิงลูกระเบิดอาร์พีจี โดยปรากฏว่า ระเบิดส่วนหนึ่งตกใกล้สถูปคู่ ส่งผลให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บ 2 นาย และมีระเบิดอีกส่วนหนึ่ง ตกเข้าไปในบริเวณอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร บริเวณลานชมดาว และบ้านพักของอุทยาน ซึ่งฝ่ายไทยพบว่า มีระเบิดอาร์พีจี 2 ลูก ที่ตกลงพื้นแต่ไม่ระเบิด โดยฝ่ายไทยได้เก็บไว้เป็นหลักฐาน
ทั้งนี้กระทรวงการต่างประเทศ ได้แจ้งไปยังสถานเอกอัครราชทูต และสถานกงสุลไทยที่ประจำการในต่างประเทศ เพื่อชี้แจงข้อมูลต่อนานาชาติแล้ว
นายสมพงษ์กล่าวว่า ในการประชุมอาเซมนายกรัฐมนตรีได้มีโอกาสหารือกับสมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา โดยบรรยากาศการหารือเป็นไปอย่างดีมาก สมเด็จฮุน เซน บอกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเราทั้งสองประเทศไม่ได้ตั้งใจ หรือต้องการให้เกิดขึ้น นอกจากเราเป็นประเทศที่ใกล้เคียงกันแล้ว ยังเป็นพี่น้องกันอีก
รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีกัมพูชาได้ฝากแนวทางแก้ไขปัญหามา 4 ข้อ คือ 1. ทั้งสองประเทศต้องหาวิธีการเพื่อพูดคุยกันให้เสร็จสิ้นให้ได้ และต้องไม่มีการปะทะกัน 2. ต้องนำปัญหามาแก้ไขในแนวทางของทวิภาคี 3.ทั้งสองประเทศต้องเร่งรัดการเจรจาตามกรอบคณะกรรมาธิการร่วมเขตแดนไทย-กัมพูชา (JBC) ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ และ 4. อยากให้สองประเทศยืนหยัดในเรื่องการค้า การลงทุนให้เหมือนเดิม
ทั้งนี้ หลังจากที่รัฐบาลได้นำกรอบการแก้ไขปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา รายงานต่อรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญในวันที่ 28 ตุลาคมนี้แล้ว เชื่อว่าทุกอย่างจะเดินไปด้วยความเรียบร้อย
ขณะที่ นาย ไพ สีปาน โฆษกของสภารัฐมนตรีกัมพูชาเปิดเผยกับสำนักข่าว เอเอฟพีว่า กัมพูชาได้ยื่นเรื่องร้องเรียน กับสำนักงานขององค์การศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ UNESCO ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลด้านวัฒนธรรมของสหประชาชาติ กล่าวหาทหารไทยว่าได้สร้างความเสียหายให้กับปราสาทพระวิหารของกัมพูชา ในช่วงเกิดการปะทะกันที่บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาเมื่อต้นเดือนนี้
นายไพ สีปาน เปิดเผยว่า บันไดและนาคปูนปั้นซึ่งมีอายุเก่าแก่ตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 11 ถูกยิงด้วยจรวดจนได้รับความเสียหาย ซึ่งเขาระบุว่าเป็นเจตนา สร้างความเสียหายโดยทหารไทย เพราะพบเศษชิ้นส่วนที่เหลือของระเบิดบริเวณใกล้กับปราสาท และไม่มีทหารกัมพูชาประจำการอยู่ในบริเวณใกล้เคียง ทางกัมพูชา จึงได้ยื่นร้องเรียนต่อยูเนสโก้ โดยส่งรายงานและภาพถ่ายของความเสียหายไปให้ ในช่วงไม่กี่วันหลังเกิดการยิงปะทะกันเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม บริเวณใกล้ปราสาทพระวิหาร ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางความขัดแย้งครั้งใหม่ระหว่างไทยกับกัมพูชามานาน หลายเดือนแล้ว และเกิดการปะทะกันในเดือนนี้ ทำให้มีทหารกัมพูชา 3 นายและทหารไทย 1 นายเสียชีวิต
ด้านกระทรวงการต่างประเทศออกเอกสารชี้แจงกรณีที่มีรายงานข่าวว่า ทหารไทยได้ยิงเครื่องยิงลูกระเบิดตกบริเวณปราสาทพระวิหาร ทำให้บันไดนาคได้รับความเสียหาย และจะยกเรื่องนี้ร้องเรียนต่อองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโกว่า จากการตรวจสอบข้อมูลจากกองทัพภาคที่ 2 ได้รับการชี้แจงว่า เมื่อวันที่15 ตุลาคม 2551 ตามที่มีการปะทะกันระหว่าง ทหารไทย-กัมพูชา บริเวณผามออีแดง ทหารไทยได้ใช้เพียงอาวุธปืนเล็กยาว ในการตอบโต้ทหารกัมพูชา ไม่มีการใช้อาวุธหนัก หรือเครื่องยิงลูกระเบิดยิงเข้าใส่ในบริเวณปราสาทเขาพระวิหาร ตามที่ฝ่ายกัมพูชากล่าวอ้าง
ขณะที่ฝ่ายกัมพูชาได้มีการยิงอาวุธใส่ทหารไทย ที่ตั้งมั่นอยู่ในบริเวณสถูปคู่ ใกล้ผามออีแดงด้วยปืนไร้แรงสะเทือน และเครื่องยิงลูกระเบิดอาร์พีจี โดยปรากฏว่า ระเบิดส่วนหนึ่งตกใกล้สถูปคู่ ส่งผลให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บ 2 นาย และมีระเบิดอีกส่วนหนึ่ง ตกเข้าไปในบริเวณอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร บริเวณลานชมดาว และบ้านพักของอุทยาน ซึ่งฝ่ายไทยพบว่า มีระเบิดอาร์พีจี 2 ลูก ที่ตกลงพื้นแต่ไม่ระเบิด โดยฝ่ายไทยได้เก็บไว้เป็นหลักฐาน
ทั้งนี้กระทรวงการต่างประเทศ ได้แจ้งไปยังสถานเอกอัครราชทูต และสถานกงสุลไทยที่ประจำการในต่างประเทศ เพื่อชี้แจงข้อมูลต่อนานาชาติแล้ว