ผศ.นพ.เกรียงศักดิ์ หลิวจันทร์พัฒนา แพทย์ประจำกองทัพธรรม พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เปิดเผยว่าหลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้กำลังสลายการชุมนุมของพันธมิตรประชาธิปไตยเมื่อวันที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมา พบว่ามีผู้ชุมนุมหลายรายที่ถูกสะเก็ดระเบิดขนาดเล็กฝังอยู่ตามร่างกาย โดยผู้ชุมนุมไม่ทราบว่าตนเองถูกสะเก็ดระเบิด เนื่องจากสะเก็ดเหล่านี้มีขนาดเล็กเท่าเมล็ดถั่วเขียว หรือเท่าเมล็ดถั่วแดง
ดังนั้น เมื่อถูกสะเก็ดระเบิดใหม่ๆบาดแผลจะคล้ายกับแผลถลอก เมื่อไปพบแพทย์ แพทย์ก็จะอนุญาตให้กลับบ้าน เพราะคิดว่าเป็นบาดแผลที่เกิดจากการหกล้ม หรือเบียดเสียดในช่วงชุลมุน แต่ความจริงแล้วสะเก็ดเล็กๆ เหล่านี้แทงทะลุและฝังอยู่ตามร่างกาย โดยมีทั้งฝังอยู่ในระดับตื้นใต้ผิวหนังประมาณ 1 เซนติเมตร หรือหากอยู่ใกล้จุดระเบิด สะเก็ดก็จะฝังอยู่ใต้ผิวหนังลึกถึง 10 เซนติเมตร
"อาการผิดปกติที่เกิดจากสะเก็ดระเบิดจะแสดงอาการหลังจาก 72 ชั่วโมงผ่านไป โดยผู้บาดเจ็บจะมีอาการปวด ร้อน บวม แดง ที่บาดแผล ซึ่งหากปล่อยไว้ก็จะเกิดการอักเสบ เป็นหนอง ยิ่งหากไม่ได้รับการดูแลรักษาเนื้อเยื่อบริเวณนั้นก็จะเกิดอาการเน่า เนื้อตาย และอาจรุนแรงถึงขั้นติดเชื้อในกระแสโลหิตถึงแก่ชีวิตได้ ซึ่งหากบาดแผลลักษณะดังกล่าวเกิดขึ้นกับผู้ป่วยเบาหวาน ก็มีโอกาสที่จะสูญเสียอวัยวะ ตัดแขน ตัดขา เนื่องจากการดูแลรักษาจะเป็นไปอย่างยากลำบาก"
แพทย์ประจำกองทัพธรรม กล่าวอีกว่า สำหรับผู้บาดเจ็บที่ถูกสะเก็ดระเบิดเล็กๆ ฝังอยู่ตามร่างกาย ต้องไปพบแพทย์เพื่อทำการผ่าตัดค้นหา และนำชิ้นส่วนสะเก็ดระเบิดออกจากร่างกายให้หมด ไม่เช่นนั้นบาดแผลก็จะไม่หาย แม้จะรับประทานยาอย่างไรก็ตาม ซึ่งบางรายอาจจะต้องรับการผ่าตัดถึง 2-3 ครั้ง เพราะแพทย์คิดว่า นำชิ้นส่วนสะเก็ดระเบิดออกหมดแล้ว แต่บาดแผลแสดงอาการให้เห็นก็ต้องผ่าตัดอีก
ทั้งนี้ หลังจากการสลายผู้ชุมนุม มีผู้ได้รับบาดเจ็บจากสะเก็ดระเบิดมารับการผ่าตัดนำชิ้นส่วนออกจากร่างกาย และรักษาบาดแผลที่บริเวณเต็นท์พยาบาลกองทัพธรรมแล้วประมาณ 100 คน ซึ่งบางคนต้องคว้านเอาเนื้อส่วนที่ตายทิ้ง แต่แพทย์ประจำกองทัพธรรมยังสามารถที่จะดูแลรักษาผู้บาดเจ็บที่ทำเนียบรัฐบาลได้อยู่ ที่เป็นห่วงคือผู้ชุมนุมที่เดินทางกลับบ้านไปต่างจังหวัด หากมีอาการปวด ร้อน บวม แดงที่บาดแผลขอให้ไปพบแพทย์ทันทีอย่าปล่อยทิ้งไว้ เพราะจะเป็นอันตรายมาก
"สำหรับผู้ที่จะมาชุมนุมร่วมกับพันธมิตรฯ เพื่อความไม่ประมาทขอให้สวมกางเกงยีนส์ เสื้อแขนยาว ซึ่งจะลดแรงกระแทกได้ระดับหนึ่ง ใส่รองเท้าผ้าใบ มีหมวกไว้สวมหัว เพราะในกรณีที่เจ้าหน้าที่ยิงแก๊สน้ำตา หมวกจะช่วยกันไม่ให้สารเคมีถูกหนังศรีษะ ซึ่งจะทำให้ระคายเคือง และหากมีแว่นตาว่ายน้ำ ก็ควรพกพามาด้วย เพราะช่วยป้องกันแก๊สน้ำตาได้ดีกว่าแว่นกันสารเคมี ที่ยังมีช่องให้แก๊สลอดเข้าตาได้ และหากถูกแก๊สน้ำตาให้ล้างด้วยน้ำเกลือ หรือน้ำเปล่า อย่าฟอกสบู่ เพราะจะทำให้สารเคมีตกค้างนานขึ้น" ผศ.นพ.เกรียงศักดิ์ กล่าว
ดังนั้น เมื่อถูกสะเก็ดระเบิดใหม่ๆบาดแผลจะคล้ายกับแผลถลอก เมื่อไปพบแพทย์ แพทย์ก็จะอนุญาตให้กลับบ้าน เพราะคิดว่าเป็นบาดแผลที่เกิดจากการหกล้ม หรือเบียดเสียดในช่วงชุลมุน แต่ความจริงแล้วสะเก็ดเล็กๆ เหล่านี้แทงทะลุและฝังอยู่ตามร่างกาย โดยมีทั้งฝังอยู่ในระดับตื้นใต้ผิวหนังประมาณ 1 เซนติเมตร หรือหากอยู่ใกล้จุดระเบิด สะเก็ดก็จะฝังอยู่ใต้ผิวหนังลึกถึง 10 เซนติเมตร
"อาการผิดปกติที่เกิดจากสะเก็ดระเบิดจะแสดงอาการหลังจาก 72 ชั่วโมงผ่านไป โดยผู้บาดเจ็บจะมีอาการปวด ร้อน บวม แดง ที่บาดแผล ซึ่งหากปล่อยไว้ก็จะเกิดการอักเสบ เป็นหนอง ยิ่งหากไม่ได้รับการดูแลรักษาเนื้อเยื่อบริเวณนั้นก็จะเกิดอาการเน่า เนื้อตาย และอาจรุนแรงถึงขั้นติดเชื้อในกระแสโลหิตถึงแก่ชีวิตได้ ซึ่งหากบาดแผลลักษณะดังกล่าวเกิดขึ้นกับผู้ป่วยเบาหวาน ก็มีโอกาสที่จะสูญเสียอวัยวะ ตัดแขน ตัดขา เนื่องจากการดูแลรักษาจะเป็นไปอย่างยากลำบาก"
แพทย์ประจำกองทัพธรรม กล่าวอีกว่า สำหรับผู้บาดเจ็บที่ถูกสะเก็ดระเบิดเล็กๆ ฝังอยู่ตามร่างกาย ต้องไปพบแพทย์เพื่อทำการผ่าตัดค้นหา และนำชิ้นส่วนสะเก็ดระเบิดออกจากร่างกายให้หมด ไม่เช่นนั้นบาดแผลก็จะไม่หาย แม้จะรับประทานยาอย่างไรก็ตาม ซึ่งบางรายอาจจะต้องรับการผ่าตัดถึง 2-3 ครั้ง เพราะแพทย์คิดว่า นำชิ้นส่วนสะเก็ดระเบิดออกหมดแล้ว แต่บาดแผลแสดงอาการให้เห็นก็ต้องผ่าตัดอีก
ทั้งนี้ หลังจากการสลายผู้ชุมนุม มีผู้ได้รับบาดเจ็บจากสะเก็ดระเบิดมารับการผ่าตัดนำชิ้นส่วนออกจากร่างกาย และรักษาบาดแผลที่บริเวณเต็นท์พยาบาลกองทัพธรรมแล้วประมาณ 100 คน ซึ่งบางคนต้องคว้านเอาเนื้อส่วนที่ตายทิ้ง แต่แพทย์ประจำกองทัพธรรมยังสามารถที่จะดูแลรักษาผู้บาดเจ็บที่ทำเนียบรัฐบาลได้อยู่ ที่เป็นห่วงคือผู้ชุมนุมที่เดินทางกลับบ้านไปต่างจังหวัด หากมีอาการปวด ร้อน บวม แดงที่บาดแผลขอให้ไปพบแพทย์ทันทีอย่าปล่อยทิ้งไว้ เพราะจะเป็นอันตรายมาก
"สำหรับผู้ที่จะมาชุมนุมร่วมกับพันธมิตรฯ เพื่อความไม่ประมาทขอให้สวมกางเกงยีนส์ เสื้อแขนยาว ซึ่งจะลดแรงกระแทกได้ระดับหนึ่ง ใส่รองเท้าผ้าใบ มีหมวกไว้สวมหัว เพราะในกรณีที่เจ้าหน้าที่ยิงแก๊สน้ำตา หมวกจะช่วยกันไม่ให้สารเคมีถูกหนังศรีษะ ซึ่งจะทำให้ระคายเคือง และหากมีแว่นตาว่ายน้ำ ก็ควรพกพามาด้วย เพราะช่วยป้องกันแก๊สน้ำตาได้ดีกว่าแว่นกันสารเคมี ที่ยังมีช่องให้แก๊สลอดเข้าตาได้ และหากถูกแก๊สน้ำตาให้ล้างด้วยน้ำเกลือ หรือน้ำเปล่า อย่าฟอกสบู่ เพราะจะทำให้สารเคมีตกค้างนานขึ้น" ผศ.นพ.เกรียงศักดิ์ กล่าว