การฆาตกรรมและทำร้ายประชาชนครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 16 ปี หลังจากเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ กำลังมีการสอบข้อเท็จจริง สอบสวน และดำเนินการกันมากมายหลายคณะ
คณะที่ถูกตั้งข้อกังขามากที่สุดก็คือคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงของรัฐบาล ที่แม้ตัวประธานจะมีภาพลักษณ์เป็นขุนนางตงฉิน และมีประวัติการทำงานที่น่าเลื่อมใสศรัทธา แต่ทว่ากระบวนการและเป้าหมายในการแต่งตั้งของรัฐบาลนั้นไม่อาจทำให้ประชาชนไว้วางใจได้เลย
จึงถูกตั้งข้อสังเกตว่าเป็นเรื่องฆาตกรมือเปื้อนเลือดตั้งกรรมการขึ้นเพื่อถ่วงเวลาหรือฟอกความผิดให้กับฆาตกรมือเปื้อนเลือดเท่านั้น
ก็ต้องกล่าวว่านอกจากตัวประธานกรรมการที่พอเชื่อได้ว่ามีคุณธรรมและซื่อตรง แต่นอกจากนั้นแล้วองค์ประกอบอื่น ๆ ได้เผยให้เห็นร่องรอยว่าน่าจะมีที่มาจากการปลุกเสกของนายสวัสดิ์ โชติพานิช อดีตประธาน คตส. ซึ่งครั้งนั้นมีการตรวจพบข้อสงสัยจึงต้องลาออกก่อนที่กระบวนการตรวจสอบจะเกิดขึ้น
ไม่ว่ากรรมการหรือการตรวจสอบหรือการสอบสวนของชุดไหน ๆ ก็ตาม จะไม่มีความหมายหรือคุณค่าใด ๆ เลย หากว่าละเลยหรือบิดเบือนประเด็นสำคัญอันเป็นปมเงื่อนของการสังหารและทำร้ายประชาชนดังต่อไปนี้
เรื่องแรก การยอมรับหรือไม่ยอมรับความจริงว่าเหตุการณ์ครั้งนี้มีคนตายและบาดเจ็บเกือบ 500 คน และการตาย การบาดเจ็บสาหัส การพิการ และบาดเจ็บ ทั้งหมดล้วนเกิดจากฝีมือของตำรวจ ไม่ใช่เรื่องที่ประชาชนฆ่าฟันหรือทำร้ายกันเอง
ถ้าการสอบสวนหรือตรวจสอบไม่ตั้งต้นด้วยความจริงนี้ การตรวจสอบหรือสอบสวนนั้นก็เป็นเรื่องการเล่นปาหี่ที่ต้องประณามเสียตั้งแต่ต้นเลย
เรื่องที่สอง การยอมรับความจริงว่าการฆ่าและทำร้ายประชาชนในวันที่ 7 ตุลาคม 2551 นั้น ได้เกิดขึ้นตั้งแต่เวลา 6 นาฬิกาเศษ จนกระทั่งถึงเวลาประมาณ 22 นาฬิกา มีเหตุการณ์เกิดขึ้น 4 ครั้ง คือตอนเช้า ตอนบ่าย ตอนค่ำ และหลังค่ำหน่อยหนึ่ง
เป็นการกระทำ 4 กรรม 4 วาระ ซึ่งต่างกรรมต่างวาระกัน ทิ้งช่วงเวลาห่างกัน โดยคนบัญชาการคนเดียวกันหรือชุดเดียวกัน
เรื่องที่สาม การยอมรับความจริงว่าประชุมคณะรัฐมนตรีในกลางดึกของคืนวันที่ 5 ตุลาคม 2551 คือ “ให้สลายการชุมนุมเพื่อเปิดทางให้ ส.ส.เข้าประชุมรัฐสภา” หลังเวลา 2 นาฬิกา ถึงเวลา 4 นาฬิกา ของวันที่ 6 ตุลาคม 2551 ยังมีนักการเมืองบงการหน่วยปฏิบัติการในการสลายการชุมนุม โดยมีไอ้โม่งโทรศัพท์ข้ามทวีปสั่งการตรงมายังนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ โดยผู้รับโทรศัพท์แล้วพูดว่า “ครับท่าน ๆๆๆ”
เรื่องที่สี่ หน่วยตำรวจที่นำมาใช้ปฏิบัติการมี 4 หน่วย คือตำรวจนครบาล ตำรวจภูธร ตำรวจตระเวนชายแดน และหน่วยอรินทราช ภายใต้การบังคับบัญชาของกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางและกองปราบปราม ซึ่งตรงจุดนี้สามารถหาตัวคนสั่งทั้ง 4 หน่วยนี้ได้ เพราะเป็นผู้มีตำแหน่งสูงกว่า “ผู้บัญชาการ”
เรื่องที่ห้า ต้องชี้ตรงลงไปให้ชัดว่าตำรวจตระเวนชายแดนและหน่วยอรินทราชไม่ใช่ตำรวจที่ทำหน้าที่ในการสลายการชุมนุม แต่มีหน้าที่เฉพาะและเป็นปมเงื่อนของการฆาตกรรมและทำร้ายประชาชนครั้งนี้โดยตรง คือ
(1) ตำรวจตระเวนชายแดนเป็นหน่วยกึ่งทหาร มีหน้าที่ทำการต่อสู้และพัฒนาในพื้นที่ชายแดน หรือพื้นที่ที่มีการคุกคามของข้าศึก หรือผู้ก่อความไม่สงบ หน้าที่หลักคือฆ่า หน้าที่รองคือพัฒนาพื้นที่ ไม่มีความรู้และความชำนาญในการสลายมวลชน แต่มีอาวุธสงครามทุกชนิดเพื่อทำหน้าที่ฆ่า
(2) หน่วยอรินทราชมีหน้าที่ในการต้านและปราบผู้ก่อการร้าย ได้รับการฝึกฝนเป็นพิเศษในการใช้อาวุธพิเศษทุกชนิดเพื่อประโยชน์ในการจู่โจมอย่างรวดเร็วและฆ่าอย่างรวดเร็ว ตลอดจนเพื่อช่วยเหลือตัวประกันที่ถูกผู้ก่อการร้ายควบคุมไว้
การใช้หน่วยงานทั้งสองหน่วยนี้ในการสลายการชุมนุมจึงเป็นการจงใจฆ่าประชาชนโดยตรงที่สุด มีเจตนาที่หวังผลหรือเล็งเห็นผลโดยมีการวางแผนฆ่าแบบจู่โจมด้วยวิธีพิเศษ
ดังนั้นใครก็ตามที่สั่งการและเอาทั้งสองหน่วยนี้เข้ามาทำหน้าที่ในวันที่ 7 ตุลาคม 2551 จึงเป็นผู้สั่งการและเป็นฆาตกรตัวสำคัญที่หาตัวได้ไม่ยาก
ใครคนไหนที่ไปประชุมที่กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดนปทุมธานีและวางแผนเรื่องนี้มาอย่างน้อย 4 ครั้ง นั่นแหละคือตัวสำคัญ
เรื่องที่หก ต้องยอมรับความจริงว่าแก๊สน้ำตากับระเบิดน้ำตาหรือระเบิดชนิดอื่นๆ รวมกระทั่งระเบิดที่มีสารพิษผสมกับแก๊สน้ำตานั้นเป็นคนละเรื่องกัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการใช้อาวุธสงครามอื่น ๆ ที่ทั้งสองหน่วยงานนี้เอามาใช้
บาดแผลจากผู้ตายและผู้ได้รับบาดเจ็บคือปมสำคัญที่บอกได้อย่างชัดเจนว่าเกิดจากอาวุธสงครามชนิดใด เพราะแค่จากอาวุธสงครามชนิดไหนก็ชี้ได้แล้วว่าเป็นการใช้อาวุธเพื่อฆ่าหรือแค่ทำให้แสบตา
เรื่องที่เจ็ด จะต้องให้ความสนใจกับระเบิดแก๊สพิษที่ผลิตใช้เป็นพิเศษ และไม่เคยซื้อโดยตรงจากจีน แต่มีการจัดหาพิเศษนอกระบบและมีอยู่เฉพาะคลังอาวุธส่วนตัวของคนบางคนเท่านั้น
ประเทศจีนได้แถลงแล้วว่าแก๊สน้ำตาของจีนไม่เป็นอันตราย ไม่ทำให้ขาขาด แขนขาด และได้ใช้โดยทั่วไปในโลกตลอดจนในประเทศจีน
ระเบิดแก๊สน้ำตาที่ใช้ในวันที่ 7 ตุลาคม 2551 เป็นระเบิดแก๊สพิษชนิดพิเศษ เพียงแค่ระคายผิวให้เป็นแผลก็จะเน่าเปื่อยและรักษาโดยทั่วไปไม่ได้ เพื่อเป็นเบาะแสให้ติดตามและจับกุมในภายหลัง เป็นระเบิดพิเศษที่ใช้ในพื้นที่พิเศษบางพื้นที่เท่านั้น แต่คนใจอำมหิตอาจเอาเข้ามาใช้ในครั้งนี้
ทั้งเจ็ดปมเจ็ดเรื่องนี้เห็นได้ชัดเจนแล้วว่าหัวโจกฆาตกรใหญ่เป็นใคร ฆาตกรตัวใหญ่ในประเทศเป็นใคร และใครที่เป็นลูกมือฆาตกรบ้าง คนเหล่านี้มีความผิดฐานฆ่าคนตายอย่างโหดเหี้ยมอำมหิตโดยมีการวางแผนไว้ก่อน และมีโทษประหารชีวิตสถานเดียวเท่านั้น
แต่เบื้องต้น ต้องรับผิดชอบในทางการเมืองและในราชการประจำเสียก่อน ต้องออกหรือถูกให้ออกจากอำนาจหน้าที่ในปัจจุบันนี้ในทันที มิฉะนั้นความจริงก็จะถูกปกปิดซ่อนเร้นเอาไว้แล้วทำให้คนตายฟรี เจ็บฟรี โดยที่กฎหมายบ้านเมืองทำอะไรฆาตกรไม่ได้!
คณะที่ถูกตั้งข้อกังขามากที่สุดก็คือคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงของรัฐบาล ที่แม้ตัวประธานจะมีภาพลักษณ์เป็นขุนนางตงฉิน และมีประวัติการทำงานที่น่าเลื่อมใสศรัทธา แต่ทว่ากระบวนการและเป้าหมายในการแต่งตั้งของรัฐบาลนั้นไม่อาจทำให้ประชาชนไว้วางใจได้เลย
จึงถูกตั้งข้อสังเกตว่าเป็นเรื่องฆาตกรมือเปื้อนเลือดตั้งกรรมการขึ้นเพื่อถ่วงเวลาหรือฟอกความผิดให้กับฆาตกรมือเปื้อนเลือดเท่านั้น
ก็ต้องกล่าวว่านอกจากตัวประธานกรรมการที่พอเชื่อได้ว่ามีคุณธรรมและซื่อตรง แต่นอกจากนั้นแล้วองค์ประกอบอื่น ๆ ได้เผยให้เห็นร่องรอยว่าน่าจะมีที่มาจากการปลุกเสกของนายสวัสดิ์ โชติพานิช อดีตประธาน คตส. ซึ่งครั้งนั้นมีการตรวจพบข้อสงสัยจึงต้องลาออกก่อนที่กระบวนการตรวจสอบจะเกิดขึ้น
ไม่ว่ากรรมการหรือการตรวจสอบหรือการสอบสวนของชุดไหน ๆ ก็ตาม จะไม่มีความหมายหรือคุณค่าใด ๆ เลย หากว่าละเลยหรือบิดเบือนประเด็นสำคัญอันเป็นปมเงื่อนของการสังหารและทำร้ายประชาชนดังต่อไปนี้
เรื่องแรก การยอมรับหรือไม่ยอมรับความจริงว่าเหตุการณ์ครั้งนี้มีคนตายและบาดเจ็บเกือบ 500 คน และการตาย การบาดเจ็บสาหัส การพิการ และบาดเจ็บ ทั้งหมดล้วนเกิดจากฝีมือของตำรวจ ไม่ใช่เรื่องที่ประชาชนฆ่าฟันหรือทำร้ายกันเอง
ถ้าการสอบสวนหรือตรวจสอบไม่ตั้งต้นด้วยความจริงนี้ การตรวจสอบหรือสอบสวนนั้นก็เป็นเรื่องการเล่นปาหี่ที่ต้องประณามเสียตั้งแต่ต้นเลย
เรื่องที่สอง การยอมรับความจริงว่าการฆ่าและทำร้ายประชาชนในวันที่ 7 ตุลาคม 2551 นั้น ได้เกิดขึ้นตั้งแต่เวลา 6 นาฬิกาเศษ จนกระทั่งถึงเวลาประมาณ 22 นาฬิกา มีเหตุการณ์เกิดขึ้น 4 ครั้ง คือตอนเช้า ตอนบ่าย ตอนค่ำ และหลังค่ำหน่อยหนึ่ง
เป็นการกระทำ 4 กรรม 4 วาระ ซึ่งต่างกรรมต่างวาระกัน ทิ้งช่วงเวลาห่างกัน โดยคนบัญชาการคนเดียวกันหรือชุดเดียวกัน
เรื่องที่สาม การยอมรับความจริงว่าประชุมคณะรัฐมนตรีในกลางดึกของคืนวันที่ 5 ตุลาคม 2551 คือ “ให้สลายการชุมนุมเพื่อเปิดทางให้ ส.ส.เข้าประชุมรัฐสภา” หลังเวลา 2 นาฬิกา ถึงเวลา 4 นาฬิกา ของวันที่ 6 ตุลาคม 2551 ยังมีนักการเมืองบงการหน่วยปฏิบัติการในการสลายการชุมนุม โดยมีไอ้โม่งโทรศัพท์ข้ามทวีปสั่งการตรงมายังนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ โดยผู้รับโทรศัพท์แล้วพูดว่า “ครับท่าน ๆๆๆ”
เรื่องที่สี่ หน่วยตำรวจที่นำมาใช้ปฏิบัติการมี 4 หน่วย คือตำรวจนครบาล ตำรวจภูธร ตำรวจตระเวนชายแดน และหน่วยอรินทราช ภายใต้การบังคับบัญชาของกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางและกองปราบปราม ซึ่งตรงจุดนี้สามารถหาตัวคนสั่งทั้ง 4 หน่วยนี้ได้ เพราะเป็นผู้มีตำแหน่งสูงกว่า “ผู้บัญชาการ”
เรื่องที่ห้า ต้องชี้ตรงลงไปให้ชัดว่าตำรวจตระเวนชายแดนและหน่วยอรินทราชไม่ใช่ตำรวจที่ทำหน้าที่ในการสลายการชุมนุม แต่มีหน้าที่เฉพาะและเป็นปมเงื่อนของการฆาตกรรมและทำร้ายประชาชนครั้งนี้โดยตรง คือ
(1) ตำรวจตระเวนชายแดนเป็นหน่วยกึ่งทหาร มีหน้าที่ทำการต่อสู้และพัฒนาในพื้นที่ชายแดน หรือพื้นที่ที่มีการคุกคามของข้าศึก หรือผู้ก่อความไม่สงบ หน้าที่หลักคือฆ่า หน้าที่รองคือพัฒนาพื้นที่ ไม่มีความรู้และความชำนาญในการสลายมวลชน แต่มีอาวุธสงครามทุกชนิดเพื่อทำหน้าที่ฆ่า
(2) หน่วยอรินทราชมีหน้าที่ในการต้านและปราบผู้ก่อการร้าย ได้รับการฝึกฝนเป็นพิเศษในการใช้อาวุธพิเศษทุกชนิดเพื่อประโยชน์ในการจู่โจมอย่างรวดเร็วและฆ่าอย่างรวดเร็ว ตลอดจนเพื่อช่วยเหลือตัวประกันที่ถูกผู้ก่อการร้ายควบคุมไว้
การใช้หน่วยงานทั้งสองหน่วยนี้ในการสลายการชุมนุมจึงเป็นการจงใจฆ่าประชาชนโดยตรงที่สุด มีเจตนาที่หวังผลหรือเล็งเห็นผลโดยมีการวางแผนฆ่าแบบจู่โจมด้วยวิธีพิเศษ
ดังนั้นใครก็ตามที่สั่งการและเอาทั้งสองหน่วยนี้เข้ามาทำหน้าที่ในวันที่ 7 ตุลาคม 2551 จึงเป็นผู้สั่งการและเป็นฆาตกรตัวสำคัญที่หาตัวได้ไม่ยาก
ใครคนไหนที่ไปประชุมที่กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดนปทุมธานีและวางแผนเรื่องนี้มาอย่างน้อย 4 ครั้ง นั่นแหละคือตัวสำคัญ
เรื่องที่หก ต้องยอมรับความจริงว่าแก๊สน้ำตากับระเบิดน้ำตาหรือระเบิดชนิดอื่นๆ รวมกระทั่งระเบิดที่มีสารพิษผสมกับแก๊สน้ำตานั้นเป็นคนละเรื่องกัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการใช้อาวุธสงครามอื่น ๆ ที่ทั้งสองหน่วยงานนี้เอามาใช้
บาดแผลจากผู้ตายและผู้ได้รับบาดเจ็บคือปมสำคัญที่บอกได้อย่างชัดเจนว่าเกิดจากอาวุธสงครามชนิดใด เพราะแค่จากอาวุธสงครามชนิดไหนก็ชี้ได้แล้วว่าเป็นการใช้อาวุธเพื่อฆ่าหรือแค่ทำให้แสบตา
เรื่องที่เจ็ด จะต้องให้ความสนใจกับระเบิดแก๊สพิษที่ผลิตใช้เป็นพิเศษ และไม่เคยซื้อโดยตรงจากจีน แต่มีการจัดหาพิเศษนอกระบบและมีอยู่เฉพาะคลังอาวุธส่วนตัวของคนบางคนเท่านั้น
ประเทศจีนได้แถลงแล้วว่าแก๊สน้ำตาของจีนไม่เป็นอันตราย ไม่ทำให้ขาขาด แขนขาด และได้ใช้โดยทั่วไปในโลกตลอดจนในประเทศจีน
ระเบิดแก๊สน้ำตาที่ใช้ในวันที่ 7 ตุลาคม 2551 เป็นระเบิดแก๊สพิษชนิดพิเศษ เพียงแค่ระคายผิวให้เป็นแผลก็จะเน่าเปื่อยและรักษาโดยทั่วไปไม่ได้ เพื่อเป็นเบาะแสให้ติดตามและจับกุมในภายหลัง เป็นระเบิดพิเศษที่ใช้ในพื้นที่พิเศษบางพื้นที่เท่านั้น แต่คนใจอำมหิตอาจเอาเข้ามาใช้ในครั้งนี้
ทั้งเจ็ดปมเจ็ดเรื่องนี้เห็นได้ชัดเจนแล้วว่าหัวโจกฆาตกรใหญ่เป็นใคร ฆาตกรตัวใหญ่ในประเทศเป็นใคร และใครที่เป็นลูกมือฆาตกรบ้าง คนเหล่านี้มีความผิดฐานฆ่าคนตายอย่างโหดเหี้ยมอำมหิตโดยมีการวางแผนไว้ก่อน และมีโทษประหารชีวิตสถานเดียวเท่านั้น
แต่เบื้องต้น ต้องรับผิดชอบในทางการเมืองและในราชการประจำเสียก่อน ต้องออกหรือถูกให้ออกจากอำนาจหน้าที่ในปัจจุบันนี้ในทันที มิฉะนั้นความจริงก็จะถูกปกปิดซ่อนเร้นเอาไว้แล้วทำให้คนตายฟรี เจ็บฟรี โดยที่กฎหมายบ้านเมืองทำอะไรฆาตกรไม่ได้!