ที่รัฐสภา วานนี้ (17 ต.ค.) กลุ่ม 40 ส.ว.และคณะกรรมาธิการ 3 คณะ ประกอบด้วยคณะกรรมาธิการสาธารณสุข คณะกรรมาธิการสิ่งแวดล้อม และคณะกรรมาธิการการศึกษาตรวจสอบเรื่องการทุจริตและเสริมสร้าง ธรรมมาภิบาล ได้มีการประชุมร่วมกันเพื่อสอบสวนเหตุการณ์การสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมา
น.ส.รสนา โตสิตระกูล ส.ว.กทม. แถลงภายหลังการประชุม ว่า สิ่งที่เห็นชัดชัดเจนในขณะนี้คือ รัฐบาลใช้ความรุนแรงสลายการชุมนุมเกินกว่าเหตุ ซึ่งรัฐบาล ต้องแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกและยุบสภา รวมทั้งยุติการกระทำใดๆ ทั้งสิ้น ส่วนการดำเนินคดีอาญาต้องมีการตรวจสอบต่อไป
ทั้งนี้จากการข้อมูลที่ได้การชี้แจงพบว่า มีการเบิกใช้แก็สน้ำตาที่ผลิตสหรัฐอเมริกาแต่พบว่าในการสลายการชุมนุมได้มีการใช้แก๊สน้ำจากสาธารณรัฐประชาชนจีน ทั้งที่ได้เบิกจากคลังไปหมดแล้วโดยในวันสลายการชุมนุมได้มีการเบิกไป 2-3 ระลอก จำนวนนับพันลูก ก่อนวันที่ 7 ต.ค.และในช่วงวันที่ 8-9 ก็ยังเบิกจากคลังอยู่ ต่อมาหลังวันที่ 9 ต.ค.ก็นำมาส่งคืนคลัง แต่หลังจากกลุ่ม 40 ส.ว.และผู้เสียหาย จากเหตุการณ์ไปฟ้องต่อศาลปกครองเพื่อให้ศาลคุ้มครองไม่ให้มีการสลายการชุมนุมจึงได้มีนำแก๊สน้ำตาไปคืนคลังจนหมด
นายอนันต์ อริยะชัยพานิชย์ ส.ว.สุรินทร์ ประธานคณะกรรมาธิการ การสาธารณสุข กล่าวว่า จากการประชุมร่วมของ 3 คณะกรรมาธิการ ได้เชิญคณะแพทย์ที่ให้การรักษาผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 7 ต.ค.และเชิญสภาทนายความเข้าให้ข้อมูล ที่ประชุมเห็นว่า การสลายการชุมนุมของคนหมู่มาก ด้วยการใช้ความรุนแรงขนาดนี้ถือว่าไม่เหมาะสมทำให้มีผู้บาดเจ็บหลายร้อยคนและมีผู้เสียชีวิตและพิการ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านวัตถุระเบิดยืนยันว่า สาเหตุที่ทำให้มีผู้บาดเจ็บ เสียชีวิตเกิดจากแก๊สน้ำตาให้มีการฉีกขาดของอวัยวะ ซึ่งการสั่งให้มีการใช้แก๊สน้ำตา ถือว่าไม่เหมาะสม ดังนั้นผู้ที่เกี่ยวข้องในการสั่งการคือรัฐบาลต้องแสดงความรับผิดชอบอย่างใดอย่างหนึ่ง
นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย ส.ว.สรรหา ประธานคณะกรรมาธิการสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า ขณะนี้ได้ข้อยุติในเบื้องต้นแล้วว่า ผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บมาจากอาวุธประเภทใด ถูกหลักในการสลายการชุมนุมตามหลักสากลหรือไม่ ซึ่งทางสภาทนายความจะนำข้อมูลทั้งหมดที่ได้รับไปประมวลเพื่อดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้อง ซึ่งเจตนาของเรา ต้องการให้มีผู้รับผิดชอบการสลายการชุมนุมของรัฐบาลควรมีขอบเขต ยึดหลักตามขั้นตอน เราไม่ต้องการให้เกิดเหตุแบบนี้เกิดขึ้นเอง ดังนั้นจะต้องมีผู้ถูกลงโทษตามกระบวนการ และรับบาลต้องแสดงความรับผิดชอบในการสั่งการ
นายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา กล่าวว่า การที่นายกรัฐมนตรียืนยันไม่ลาออก ยุบสภา จากเหตุการณ์ 7 ต.ค.จนทำให้มีผู้เสียชีวิต 2 คนบาดเจ็บกว่า 400 คน แสดงให้เห็นถึงความไม่รับผิดชอบของรัฐบาล การตั้งคณะกรรมการฯ ขึ้นมาสอบสวนก็ไม่มีความน่าเชื่อถือ เป็นการเตะถ่วงเวลา เป็นการไม่รับผิดชอบต่อสิ่งที่ทำลงไป
นอกจากนี้ มีความพยายามแทรกแซงการทำงาน เช่น การทำหน้าที่ของ พ.ญ คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ซึ่งรัฐบาลบอกว่า เมื่อคณะกรรมการสอบสวนเสร็จแล้วก็ต้องตั้งคณะกรรมการลงโทษผู้กระทำผิด ซึ่งขั้นตอนนี้จะต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 4-5 เดือนมันช้าไปแล้วกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
นายวรินทร์ เทียมจรัส ส.ว.สรรหา ได้กล่าวเรียกร้องให้ ศาลรัฐธรรมนูญ เร่งนำคดียุบพรรคพลังประชาชน พรรคชาติไทย และพรรคมัฌชิมา เข้าสู่การวินิจฉัยโดยด่วน ปัญหาก็จะได้ยุติไป
นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) กล่าวว่าการที่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม และพรรคร่วมรัฐบาลยังแสดงความนิ่งเฉยหลังจากผู้บัญชาการเหล่าทัพออกมากดดันให้ลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์การสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเมื่อวันที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมา อยากจะถามว่านายกรรัฐมนตรีจะรอให้นองเลือดอีกครั้งหรืออย่างไร กระหายอยากใช้ความรุนแรงกันนักใช่หรือไม่
คนตายไป 2 บาดเจ็บไป 400 กว่าคน แต่ท่านไม่รับผิดชอบอะไรเลยและคนในพรรคพลังประชาชนเองที่บอกว่าต่อไปนี้ต้องก่อสงครามประชาชน ผมอยากถามว่าจากพรรคไทยรักไทยถึงพรรคพลังประชาชนต้องการให้เปลี่ยนแปลง ด้วยการนองเลือดใช่หรือไม่ วิธีการประชาธิปไตยท่านไม่ใช้ใช่หรือไม่ นี่คือคำถามของสังคม ประธานวิปรัฐบาล กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า เท่าที่ฟังเสียงของผบ.เหล่าทัพ ถ้านายกรัฐมนตรีไม่ทำอะไรจะเกิดอะไรขึ้น นายสาทิตย์ กล่าวว่าตนคิดว่านั่นเป็นท่าทีประชาธิปไตยที่สุดเท่าทีเกิดขึ้น และรัฐบาลซึ่งอ้างตัวว่าเป็นประชาธิปไตยอย่างน้อยที่สุดต้องฟัง ตนยังเห็นว่ารัฐบาลที่มาจากประชาธิปไตย อย่างพรรคพลังประชาชนนั้นจะเป็นกรณีแรกของโลก ที่เป็นรัฐบาลประชาธิปไตยที่ไม่รับผิดชอบอะไรเลย แม้ว่ารัฐบาลตัวเองจะสั่งการให้มีการสลายชุมนุมเกิดคนเจ็บและคนตาย
อย่างนี้ต้องถือว่าเป็นเชื้อประชาธิปไตยรุ่นใหม่กลายพันธุ์ที่ดื้อยายิ่งกว่า เชื้อเอดส์เสียอีก ก็เลยเกิดคำถามเหมือนกันว่าต้องการให้นองเลือดยิ่งกว่านี้ หรืออย่างไรจึงจะยอมเปลี่ยนแปลง นายสาทิตย์ กล่าว
ประธานวิปฝ่ายค้าน กล่าวอีกว่า ตนดูความดื้อของรัฐบาลแล้วมืดมนมากถ้ารัฐบาลยังยืนกระต่ายขาเดียวและดื้อต่อไปอย่างนี้ ยากที่จะคาดเดาแต่พรรคประชาธิปัตย์เป็นห่วงมากต่อสถานการณ์นี้จึงเรียกร้องมาตอลดว่าเรายอมทุกอย่างในกรณีที่จะนำไปสู่การแก้วิกฤติจะยุบสภาหรือวิธีการอื่นเราก็พร้อมที่จะสนับสนุนแนวทางเหล่านั้น แต่ต้องเป็นกระบวนการตามระบอบประชาธิปไตยเพราะฉะนั้นข้อเรียกร้องต่างๆ อยู่บนพื้นฐานของความสำนึกของคนที่เล่นการเมืองตามระบอบเพราะฉะนั้นเราก็ยังคิดว่าอย่างน้อยที่สุดแรงกดดันมาถึงขนาดนี้แล้ว มันก็ต้องทบทวนกันบ้าง แต่พรรคก็ยังคิดและมองในแง่ดีว่ามาถึงจุดนี้แล้วก็น่าที่จะทบทวนกัน
ถ้ายังดื้อดึงต่อไปอีกก็จะเกิดการนองเลือดเพราะการเตรียมคนของอีกฝ่าย ที่ประกาศว่าเขาพร้อมทำสงครามประชาชน ผมกลัวว่าเวลาของประเทศจะเหลือน้อยกว่าเวลาของรัฐบาล
น.ส.รสนา โตสิตระกูล ส.ว.กทม. แถลงภายหลังการประชุม ว่า สิ่งที่เห็นชัดชัดเจนในขณะนี้คือ รัฐบาลใช้ความรุนแรงสลายการชุมนุมเกินกว่าเหตุ ซึ่งรัฐบาล ต้องแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกและยุบสภา รวมทั้งยุติการกระทำใดๆ ทั้งสิ้น ส่วนการดำเนินคดีอาญาต้องมีการตรวจสอบต่อไป
ทั้งนี้จากการข้อมูลที่ได้การชี้แจงพบว่า มีการเบิกใช้แก็สน้ำตาที่ผลิตสหรัฐอเมริกาแต่พบว่าในการสลายการชุมนุมได้มีการใช้แก๊สน้ำจากสาธารณรัฐประชาชนจีน ทั้งที่ได้เบิกจากคลังไปหมดแล้วโดยในวันสลายการชุมนุมได้มีการเบิกไป 2-3 ระลอก จำนวนนับพันลูก ก่อนวันที่ 7 ต.ค.และในช่วงวันที่ 8-9 ก็ยังเบิกจากคลังอยู่ ต่อมาหลังวันที่ 9 ต.ค.ก็นำมาส่งคืนคลัง แต่หลังจากกลุ่ม 40 ส.ว.และผู้เสียหาย จากเหตุการณ์ไปฟ้องต่อศาลปกครองเพื่อให้ศาลคุ้มครองไม่ให้มีการสลายการชุมนุมจึงได้มีนำแก๊สน้ำตาไปคืนคลังจนหมด
นายอนันต์ อริยะชัยพานิชย์ ส.ว.สุรินทร์ ประธานคณะกรรมาธิการ การสาธารณสุข กล่าวว่า จากการประชุมร่วมของ 3 คณะกรรมาธิการ ได้เชิญคณะแพทย์ที่ให้การรักษาผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 7 ต.ค.และเชิญสภาทนายความเข้าให้ข้อมูล ที่ประชุมเห็นว่า การสลายการชุมนุมของคนหมู่มาก ด้วยการใช้ความรุนแรงขนาดนี้ถือว่าไม่เหมาะสมทำให้มีผู้บาดเจ็บหลายร้อยคนและมีผู้เสียชีวิตและพิการ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านวัตถุระเบิดยืนยันว่า สาเหตุที่ทำให้มีผู้บาดเจ็บ เสียชีวิตเกิดจากแก๊สน้ำตาให้มีการฉีกขาดของอวัยวะ ซึ่งการสั่งให้มีการใช้แก๊สน้ำตา ถือว่าไม่เหมาะสม ดังนั้นผู้ที่เกี่ยวข้องในการสั่งการคือรัฐบาลต้องแสดงความรับผิดชอบอย่างใดอย่างหนึ่ง
นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย ส.ว.สรรหา ประธานคณะกรรมาธิการสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า ขณะนี้ได้ข้อยุติในเบื้องต้นแล้วว่า ผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บมาจากอาวุธประเภทใด ถูกหลักในการสลายการชุมนุมตามหลักสากลหรือไม่ ซึ่งทางสภาทนายความจะนำข้อมูลทั้งหมดที่ได้รับไปประมวลเพื่อดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้อง ซึ่งเจตนาของเรา ต้องการให้มีผู้รับผิดชอบการสลายการชุมนุมของรัฐบาลควรมีขอบเขต ยึดหลักตามขั้นตอน เราไม่ต้องการให้เกิดเหตุแบบนี้เกิดขึ้นเอง ดังนั้นจะต้องมีผู้ถูกลงโทษตามกระบวนการ และรับบาลต้องแสดงความรับผิดชอบในการสั่งการ
นายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา กล่าวว่า การที่นายกรัฐมนตรียืนยันไม่ลาออก ยุบสภา จากเหตุการณ์ 7 ต.ค.จนทำให้มีผู้เสียชีวิต 2 คนบาดเจ็บกว่า 400 คน แสดงให้เห็นถึงความไม่รับผิดชอบของรัฐบาล การตั้งคณะกรรมการฯ ขึ้นมาสอบสวนก็ไม่มีความน่าเชื่อถือ เป็นการเตะถ่วงเวลา เป็นการไม่รับผิดชอบต่อสิ่งที่ทำลงไป
นอกจากนี้ มีความพยายามแทรกแซงการทำงาน เช่น การทำหน้าที่ของ พ.ญ คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ซึ่งรัฐบาลบอกว่า เมื่อคณะกรรมการสอบสวนเสร็จแล้วก็ต้องตั้งคณะกรรมการลงโทษผู้กระทำผิด ซึ่งขั้นตอนนี้จะต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 4-5 เดือนมันช้าไปแล้วกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
นายวรินทร์ เทียมจรัส ส.ว.สรรหา ได้กล่าวเรียกร้องให้ ศาลรัฐธรรมนูญ เร่งนำคดียุบพรรคพลังประชาชน พรรคชาติไทย และพรรคมัฌชิมา เข้าสู่การวินิจฉัยโดยด่วน ปัญหาก็จะได้ยุติไป
นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) กล่าวว่าการที่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม และพรรคร่วมรัฐบาลยังแสดงความนิ่งเฉยหลังจากผู้บัญชาการเหล่าทัพออกมากดดันให้ลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์การสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเมื่อวันที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมา อยากจะถามว่านายกรรัฐมนตรีจะรอให้นองเลือดอีกครั้งหรืออย่างไร กระหายอยากใช้ความรุนแรงกันนักใช่หรือไม่
คนตายไป 2 บาดเจ็บไป 400 กว่าคน แต่ท่านไม่รับผิดชอบอะไรเลยและคนในพรรคพลังประชาชนเองที่บอกว่าต่อไปนี้ต้องก่อสงครามประชาชน ผมอยากถามว่าจากพรรคไทยรักไทยถึงพรรคพลังประชาชนต้องการให้เปลี่ยนแปลง ด้วยการนองเลือดใช่หรือไม่ วิธีการประชาธิปไตยท่านไม่ใช้ใช่หรือไม่ นี่คือคำถามของสังคม ประธานวิปรัฐบาล กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า เท่าที่ฟังเสียงของผบ.เหล่าทัพ ถ้านายกรัฐมนตรีไม่ทำอะไรจะเกิดอะไรขึ้น นายสาทิตย์ กล่าวว่าตนคิดว่านั่นเป็นท่าทีประชาธิปไตยที่สุดเท่าทีเกิดขึ้น และรัฐบาลซึ่งอ้างตัวว่าเป็นประชาธิปไตยอย่างน้อยที่สุดต้องฟัง ตนยังเห็นว่ารัฐบาลที่มาจากประชาธิปไตย อย่างพรรคพลังประชาชนนั้นจะเป็นกรณีแรกของโลก ที่เป็นรัฐบาลประชาธิปไตยที่ไม่รับผิดชอบอะไรเลย แม้ว่ารัฐบาลตัวเองจะสั่งการให้มีการสลายชุมนุมเกิดคนเจ็บและคนตาย
อย่างนี้ต้องถือว่าเป็นเชื้อประชาธิปไตยรุ่นใหม่กลายพันธุ์ที่ดื้อยายิ่งกว่า เชื้อเอดส์เสียอีก ก็เลยเกิดคำถามเหมือนกันว่าต้องการให้นองเลือดยิ่งกว่านี้ หรืออย่างไรจึงจะยอมเปลี่ยนแปลง นายสาทิตย์ กล่าว
ประธานวิปฝ่ายค้าน กล่าวอีกว่า ตนดูความดื้อของรัฐบาลแล้วมืดมนมากถ้ารัฐบาลยังยืนกระต่ายขาเดียวและดื้อต่อไปอย่างนี้ ยากที่จะคาดเดาแต่พรรคประชาธิปัตย์เป็นห่วงมากต่อสถานการณ์นี้จึงเรียกร้องมาตอลดว่าเรายอมทุกอย่างในกรณีที่จะนำไปสู่การแก้วิกฤติจะยุบสภาหรือวิธีการอื่นเราก็พร้อมที่จะสนับสนุนแนวทางเหล่านั้น แต่ต้องเป็นกระบวนการตามระบอบประชาธิปไตยเพราะฉะนั้นข้อเรียกร้องต่างๆ อยู่บนพื้นฐานของความสำนึกของคนที่เล่นการเมืองตามระบอบเพราะฉะนั้นเราก็ยังคิดว่าอย่างน้อยที่สุดแรงกดดันมาถึงขนาดนี้แล้ว มันก็ต้องทบทวนกันบ้าง แต่พรรคก็ยังคิดและมองในแง่ดีว่ามาถึงจุดนี้แล้วก็น่าที่จะทบทวนกัน
ถ้ายังดื้อดึงต่อไปอีกก็จะเกิดการนองเลือดเพราะการเตรียมคนของอีกฝ่าย ที่ประกาศว่าเขาพร้อมทำสงครามประชาชน ผมกลัวว่าเวลาของประเทศจะเหลือน้อยกว่าเวลาของรัฐบาล