xs
xsm
sm
md
lg

แรงงานอพยพจากเอเชียผวาตกงาน ขณะวิกฤตการเงินลุกลามทั่วโลก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เอเอฟพี - สำนักข่าวเอเอฟพีออกรายงานข่าวพูดถึงอาการอกสั่นขวัญแขวนในหมู่แรงงานอพยพชาวเอเชีย ที่ต้องเผชิญกับผลพวงของวิกฤตการเงินที่ลุกลามทั่วโลก ทั้งความเป็นไปได้ในการสูญเสียงาน ตลอดจนชะตาชีวิตของครอบครัวที่อาศัยอยู่ในบ้านเกิด

ขณะที่พายุวิกฤตการเงินทั่วโลกพัดพาอาการหวาดแผ่ผวาปกคลุมทั่วตลาดหุ้นเอเชีย คริสตี อาร์เซียกา สาวใช้ชาวฟิลิปปินส์ ก็กระวนกระวายใจไม่แพ้กัน แม้เธอจะไม่ได้ถือหุ้นไว้ซักหน่วยก็ตามที

พักหลังมานี้ เจ้านายของอาร์เซียกาซึ่งเป็นนักธุรกิจ เริ่มมีอาการฉุนเฉียวมากยิ่งขึ้น ขณะที่เขามองการลงทุนของตนเองถูกกลืนกินไป ท่ามกลางรายงานความเคลื่อนไหวราคาหุ้นที่เต็มไปด้วยสีแดงทั้งกระดาน และสาวใช้วัย 46 ปีผู้นี้ ก็มักต้องรองรับอารมณ์ต่าง ๆ นานาของเจ้านายเป็นประจำ

"เจ้านายของฉันจะตื่นขึ้นมาดูโทรทัศน์ทุก ๆ เช้า เพื่อตรวจสอบรายงานตลาดหุ้นล่าสุด ตั้งแต่ก่อนที่เขารับประทานอาหารเช้าด้วยซ้ำไป บ่อยครั้งเขามักจะเกรี้ยวกราดและบอกว่า อาจจะส่งฉันกลับบ้านก่อนที่สัญญาการจ้างงานจะสิ้นสุด" อาร์เซียกา กล่าว

แรงงานอพยพจำนวนนับหมื่นนับแสน ซึ่งทำงานเป็นคนรับใช้, พนักงานร้านอาหารและกรรมกรในนครต่าง ๆ อันแสนจะมั่งคั่งแถบเอเชีย อาทิ สิงคโปร์หรือฮ่องกง พากันวิตกกังวลว่า การชะลอตัวทางเศรษฐกิจและมาตรการการประหยัดค่าใช้จ่าย อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากวิกฤตการเงิน อาจส่งผลกระทบกับกระเป๋าเงินของนายจ้าง และในที่สุดพวกเขาอาจต้องตกงาน

นั่นหมายความว่า ค่าแรงที่คนงานส่งกลับบ้านอย่างต่อเนื่องเพื่อจุนเจือครอบครัวที่ยากจนของพวกเขา ก็จะสูญสิ้นตามไปด้วย - - แล้วยังรวมถึงเงินค่าอาหาร, เสื้อผ้าและการศึกษาอีก

วิลเลียม โกอิส ผู้ประสานงานภาคพื้นทวีปขององค์การ "ไมแกรนต์ ฟอรั่ม อิน เอเชีย" กล่าวว่า มาตรการการตัดลดค่าใช่จ่ายครั้งใหญ่ จะทำให้ปัญหาความยากจนในประเทศบ้านเกิดของแรงงานอพยพทวีความเลวร้ายลงอีก

"ฟิลิปปินส์, อินโดนีเซีย, บังกลาเทศและศรีลังกา ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นผู้ส่งออกแรงงานมนุษย์รายใหญ่ จะได้รับผลกระทบไปเต็มๆ"

ด้านธนาคารกลางของฟิลิปปินส์แถลงว่า แรงงานอพยพส่งเงินกลับมาตุภูมิรวมทั้งสิ้น 9,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตลอดช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ และคาดว่าน่าจะสูงถึง 15,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตลอดทั้งปี 2008

- - ศก.ชะลอตัว แรงงานอพยพหลายล้านอาจต้องกลับบ้าน - -

อีกปัญหาหนึ่งที่จะตามมาคือ แรงงานอพยพจำนวนมหาศาลที่เอกสารไม่ถูกต้อง ซึ่งแอบลักลอบทำงานอยู่ในฮ่องกง, ญี่ปุ่น, มาเลเซีย, สิงคโปร์ และเกาหลีใต้ โกอิสกล่าว

"ในช่วงที่เศรษฐกิจทรุดตัว สิ่งที่รัฐบาลต่าง ๆ จะทำเป็นอันดับแรกคือ การปราบปรามแรงงานอพยพที่เอกสารไม่ถูกต้อง เนื่องจากพวกเขาถูกมองว่า เป็นภาระทางเศรษฐกิจและเป็นปัญหาสังคม" โกอิสกล่าว

ผู้ประสานงานไมแกรนต์ ฟอรั่ม อิน เอเชีย บอกต่อว่า มีแรงงานอพยพจากเอเชียมากกว่า 53 ล้านชีวิต ทำมาหากิน
อยู่ทั่วทุกมุมโลก เฉพาะอย่างยิ่งชาติอาหรับร่ำรวยในอ่าวเปอร์เซียและแถบตะวันออกกลาง โดยมีอัตราส่วนมากทีเดียว ที่เป็นแรงงานทักษะต่ำถึงปานกลาง

แม้ว่าจนถึงตอนนี้ จะยังไม่มีรายงานการเลิกจ้างครั้งมหาศาล แต่คนงานหลายคนก็ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวเอเอฟพีว่า พวกเขารู้สึกเป็นกังวลอย่างมาก

"จริง ๆ ผมไม่เข้าใจเรื่องสาเหตุของวิกฤตการการเงินมากนักหรอก ผมเพียงวิตกว่า บริษัทของผมจะได้รับผลกระทบเท่านั้น" แรงงานชาวบังกลาเทศผู้หนึ่งกล่าว ขณะใช้เครื่องขุดเจาะขุดบริเวณใกล้ ๆ หมู่บ้านจัดสรรแถบชานเมือง

ในสิงคโปร์ การเลิกจ้างคนรับใช้รายหนึ่ง จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในบ้าน อย่างน้อย 600 ดอลลาร์สิงคโปร์ (ราว 407 ดอลลาร์สหรัฐฯ) ต่อเดือน

นายจ้างหลายคนต้องเผชิญกับพิษตลาดหุ้น ตลอดจนตราสารการเงินต่าง ๆ ซึ่งมูลค่าร่อยหรอลงเรื่อย ๆ จากผลพวงของวิกฤตซับไพรม์

อีกด้านหนึ่ง ชาวต่างชาติที่เดินทางมาท่องเที่ยวที่สิงคโปร์ก็ลดน้อยลงในช่วง 3 เดือนนับจนถึงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา จนอาจทำให้ภัตตาคาร, ร้านค้าต่าง ๆ ซึ่งหลายแห่งว่า จ้างแรงงานอพยพชาวฟิลิปปินส์และจีน ต้องตัดลดค่าใช้จ่ายเพื่อความอยู่รอด

การชะลอตัวในอุตสาหกรรมการก่อสร้างก็เช่นกัน ย่อมส่งผลกระทบต่อแรงงานอพยพหลายหมื่นคนทั้งจากบังกลาเทศ, อินเดีย, พม่า, ไทยและจีน

ในดินแดนฮ่องกง อันเป็นถิ่นพำนักของชาวฟิลิปปินส์ส่วนราว 150,000 ชีวิต ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสาวใช้ หรือทำงานตามบาร์และภัตตาคาร พากันหวาดผวาถึงผลกระทบจากวิกฤตการเงิน และเริ่มสะท้อนความรู้สึกผ่านทางชุมชนของตนเองที่ถักทอขึ้นอย่างเข้มข้น

"แรงงานอพยพรู้สึกกังวลใจมาก ๆ" อีมาน วิลลานิววา เลขาธิการกลุ่ม "ยูไนเต็ด ฟิลิปปิโนส อิน ฮ่องกง"
ซึ่งเป็นกลุ่มเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิของแรงงานอพยพ กล่าว พร้อมกับชี้ว่า สิ่งที่วิตกกันเป็นอันดับแรกคือ อาจต้องออกจากงาน

นอกจากนี้ วิลลานิววากล่าวด้วยว่า แรงงานอพยพหลายคน กังวลเรื่องความปลอดภัยในการลงทุนของตนเองด้วย

"หลายคนซื้อประกันการศึกษา เพื่อให้แน่ใจว่า บุตรหลานของพวกเขา จะสามารถเข้าเรียนถึงระดับมหาวิทยาลัย หรือไม่ก็สมัครเข้ากองทุนบำนาญ พวกเขากังวลถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับเงินของพวกเขา"
กำลังโหลดความคิดเห็น