ผู้จัดการรายวัน - พันธมิตรฯนับหมื่นแห่ร่วมงานพระราชทานเพลิงศพ "สารวัตรจ๊าบ" ตำรวจพันธมิตรฯแน่นวัด "อานันท์" ซัด"ทักษิณ" ต้นตอปัญหา และเป็นคนเดียวที่จะปลดล็อกได้ ระบุการฆ่าประชาชนไม่ใช่สิ่งสวยงาม "สนธิ"ชี้ "ระบอบทักษิณ"ซื้อบิ๊กทหาร-ตำรวจ เป้าหมายล้มล้างสถาบันเบื้องสูง "สุริยะใส" เตือนขณะนี้เป็นช่วง 7 วันอันตราย ก่อนศาลพิพากษาโทษ "แม้ว-เมีย" เชื่อสมุนจะวิ่งกันหัวปั่น ทำทุกวิถีทางเพื่อให้นายใหญ่รอดคุก จับตามติ ครม.ตั้งกรรมการสอบฯ ตำรวจฆ่าประชาชนเป็นคนกลาง มีจริยธรรมจริงหรือไม่ เผยเตรียมแผนรณรงค์ "บอยคอต-โซเชียล แซงชั่น" ตำรวจชั่ว ขณะเดียวกันเตรียมนำผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุ "7 ตุลาทมิฬ" เข้าร้องป.ป.ช. 17 ต.ค.นี้ ไล่บี้เอาผิดฆาตกรอำมหิตตั้งแต่ผู้บงการยันผู้ลงมือ
ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศงานพระราชทานเพลิงศพ พ.ต.ท.เมธี ชาติมนตรี หรือ "สารวัตรจ๊าบ" หัวหน้าการ์ดอาสาภาคอีสานของพันธมิตรฯ ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 7 ต.ค.ที่เมรุวัดโสมนัสวรวิหาร กรุงเทพฯ วานนี้ (14 ต.ค.) ตั้งแต่ช่วงบ่ายเป็นต้นมา ได้มีเหล่าบรรดาพันธมิตรฯนับหมื่นคน เดินทางเข้ามาร่วมไว้อาลัยกันอย่างแน่นขนัดเต็มพื้นที่วัด จนล้นออกมายังลานจอดรถด้านนอก
ทั้งนี้ ก่อนที่พิธีจะเริ่ม สมณะโพธิรักษ์ แห่งสันติอโศก ได้แสดงปาฐกถา จากนั้นตัวแทนพันธมิตรฯ อ่านคำไว้อาลัย ก่อนที่วงดนตรีกรรมาชนบรรเลงเพลง "เทียนแห่งธรรม" โดยมีแกนนำพันธมิตรฯ ทั้ง 5 พร้อมด้วยแกนนำพันธมิตรฯรุ่น 2 นำโดย นายศิริชัย ไม้งาม
นอกจากนี้ ยังมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) นำทีม ส.ส.อาทิ นายกรณ์ จาติกวณิชย์ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ อดีต ส.ว. นายการุญ ใสงาม อดีต ส.ว. นายไชยวัฒน์ สินธุวงศ์ นายเทิดภูมิ ใจดี โดยมีนายอานันท์ ปันยารชุน เป็นประธานในพิธี
ต่อเวลา 15.35 น. ภายหลังจากที่ น.ส.เพ็ญพิมล ใสงาม ภรรยา ได้อ่านคำไว้อาลัย พ.ต.ท.เมธี สามีเสร็จสิ้น กลุ่มพันธมิตรฯ ที่มาร่วมงานนับหมื่นคนได้นำ "มือตบ" มาตบจนเสียงดังสนั่นไปทั่ววัด
นอกจากนี้ผู้ที่มาร่วมงานศพจะได้รับแจกหนังสือ "ตำรวจพันธมิตรฯ" ซึ่งเป็นการรวบรวมชีวประวัติของ พ.ต.ท.เมธี พร้อมด้วยบทกวี และคำไว้อาลัย นอกจากนี้ ยังมีรูปถ่ายของสารวัตรจ๊าบ และโบว์สีดำไว้อาลัย แจกจ่ายให้กับผู้ที่มาร่วมไว้อาลัยอีกด้วย
น.ส.เพ็ญพิมล เผยว่า รู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงพระราชทานเพลิงให้กับสามี ภาพสุดท้ายที่ประทับใจในตัวสามีคือ ภาพที่เป็นหัวหน้าการ์ด คอยดูแลไม่ให้พันธมิตรฯ ปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตนยังยืนยันแม้ว่า แม้จะสูญเสียสามีไปอย่างไม่มีวันกลับ ตนจะมาชุมนุมต่อสู้ร่วมกับพันธมิตรฯต่อไปจนกว่าจะได้รับชัยชนะ
ชี้ "ทักษิณ"ต้องปลดล็อกเอง
ด้านนายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังเป็นประธานพิธีพระราชทานเพลิงศพ พ.ต.ท.เมธี ถึงสถานการณ์บ้านเมืองว่า ทุกคนรู้ว่า จุดที่น่าห่วงใยอยู่ตรงไหน แต่ปัญหาการเมืองมันเป็นปัญหาความแตกแยก
ผู้สื่อข่าวถามว่า มองว่าปัญหาในขณะนี้อยู่ตรงจุดไหน นายอานันท์ กล่าวว่า ด้วยความเคารพ ตนรู้สึกว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นคนเดียวที่จะปลดล็อกได้ ผู้สื่อข่าวถามว่า หมายความว่า พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่เบื้องหลังเหตุวุ่นวายในบ้านเมือง นายอานันท์ กล่าวว่า ไม่ได้มีการกล่าวหาอะไร พ.ต.ท.ทักษิณ
เมื่อถามย้ำว่า เหตุใดจึงคิดเช่นนั้น นายอานันท์ กล่าวว่า ดูจากเหตุการณ์ทั่วไป และเหตุการณ์ที่ผ่านมาก็รู้ว่า มาจากจุดนั้น เมื่อซักต่อว่า หากพ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ปลดล็อกจะทำอย่างไร นายอานันท์ กล่าวว่า ตนไม่รู้ ก็ต้องหวังว่าจะดี ไม่มีอะไรแนะนำคุณทักษิณ ถ้าคุณทักษิณ ตั้งใจจริงที่จะให้การเมืองมันผ่อนคลาย คุณทักษิณเป็นคนฉลาด มีวิจารณญาณเพียงพอที่จะทำได้เลย โดยไม่ต้องมีใครแนะนำ
ย้ำทุกฝ่ายรู้ดีว่าจะปลดล็อกได้อย่างไร
ผู้สื่อข่าวถามว่า แสดงว่ารัฐบาลนี้ไม่สามารถปลดล็อกได้ นายอานันท์ กล่าวว่าไม่รู้ว่ารัฐบาลนี้มีความอิสระพอเพียงหรือไม่ที่จะปลดล็อก เมื่อถามว่าในฐานะที่เคยเป็นนายกรัฐมนตรี จะแก้ปัญหาขณะนี้อย่างไร นายอานันท์ กล่าวว่า ไม่รู้ พูดได้ แต่ไม่มีอำนาจและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรง เป็นเรื่องลำบากที่คนข้างนอกจะไปพูด เพราะไม่มีข้อมูลเพียงพอ แต่ละคนต้องรู้ว่า ตัวเองมีบทบาทโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจที่ให้มีการแบ่งค่ายกัน ระหว่างระบอบทักษิณ กับคนที่บอกว่าปกป้องระบอบประชาธิปไตย ที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แต่ละฝ่ายควรรู้ดีว่า บทบาทของตัวเองที่จะปลดล็อกเรื่องที่เกิดขึ้นได้อย่างไร
ผู้สื่อข่าวถามว่า เป็นห่วงความรุนแรงหลังจากนี้หรือไม่ อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่รู้ มีแต่ความหวังว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นรุนแรง เพราะเหตุการณ์ที่ผ่านมาวันที่ 7 ต.ค. ได้นำความเศร้าโศก ผิดหวัง มาสู่ประชาราษฎร์ เมื่อถามว่า หากมีรัฐบาลแห่งชาติจริง พร้อมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี หรือไม่ นายอานันท์ กล่าวว่า ไม่รู้ ตนจะไม่ตอบคำถามที่เกิดจากการสมมติ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะเดินทางกลับนายอานันท์ ได้ถือมือตบขนาดเล็กขึ้นรถยนต์ส่วนตัวไปด้วย โดยระบุว่า มีพันธมิตรฯเอามาให้ ซึ่งตนจะเอาไปให้หลานที่บ้านตบเล่น
อานันท์"ชี้ฆ่า ปชช.ไม่ใช่สิ่งสวยงาม
ก่อนหน้านี้ช่วงบ่ายนายอานันท์ ได้นำกระเช้าผลไม้เข้าเยี่ยม และให้กำลังใจนางวิชุดา ระดับปัญญาวุฒิ มารดาน.ส.อังคณา หรือ "น้องโบว์" ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์สลายการชุมนุม จนตัวเองได้รับบาดเจ็บสูญเสียนิ้วเท้า พักรักษาตัวที่โรงพยาบาลศิริราช โดยนายอานันท์ ระบุว่า จากการพูดคุยกับนางวิชุดา มีสภาพร่างกายฟื้นสู่สภาพปกติ ส่วนสภาพจิตใจมีความมั่นคงแน่วแน่ เชื่อว่าอีก 2 วันน่าจะกลับไปพักฟื้นที่บ้านได้
ทั้งนี้ ตนไม่ต้องการให้มีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นอีก เพราะที่ผ่านมาที่มีการเสียเลือดเนื้อมาถึง 3 ครั้ง นับตั้งแต่เหตุการณ์ 14 ตุลา ก็เพียงพอแล้วสำหรับคนไทย การฆ่าประชาชนไม่ใช่สิ่งสวยงาม ส่วนตำรวจที่บาดเจ็บและเสียชีวิต ก็ไม่ใช่สิ่งสวยงามเช่นกัน
"ทักษิณ"ซื้อบิ๊กทหาร-ตร.ล้มสถาบันฯ
เมื่อเวลา 21.15 น. นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ขึ้นเวทีที่ทำเนียบฯ ได้ย้ำให้พี่น้องเดินหน้าขยายการบอยคอตหนังสือพิมพ์ 3 ฉบับต่อไปจนถึงที่สุด นั่นคือ ข่าวสด มติชน และมติชนสุดสัปดาห์ และเพิ่มอีกหนึ่งฉบับคือ ประชาชาติธุรกิจ เพื่อเห็นแก่วีรชนของเราที่ได้รับบาดเจ็บ และเสียชีวิต
จากนั้นนายสนธิ ได้กล่าวว่า ณ วันนี้เราสามารถสรุปได้แล้วว่า สาเหตุที่เราต่อสู้เพื่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และราชบัลลังก์ เพราะถ้าสถาบันพระมหากษัตริย์มั่นคง ชาติก็มั่นคง ขณะเดียวกัน ถ้าสถาบันไม่มั่นคงชาติก็ไม่มั่นคงไปด้วย
"ให้พวกเราคิดสักนิดว่า ตั้งแต่ปี 2544 จนถึงวันนี้ พวกมันยังไม่หยุดจาบจ้วง วันนี้ที่เวทีสนามหลวง ยังด่าสถาบันพระมหากษัตริย์ วันนี้มันเปิดหน้าชกแล้ว" นายสนธิ กล่าว และว่าระบอบทักษิณ เอาเงินไปซื้อรากหญ้า ซื้อตำรวจ และทหาร ที่มีอำนาจบางคน ซึ่งตอนนี้เรารู้แล้วว่าเป็นใคร เพราะแม้ประชาชนถูกฆ่า มันก็ไม่ออกมา เห็นเกมของพวกมันแล้วหรือยัง
"นี่คือเกมทำลายของทักษิณ เกมการเมือง เกมในสภา ถือว่าเกมลวง แต่ยังมีก้างขวางคอที่ยิ่งใหญ่สุดคือพวกเราที่ทำเนียบฯ และที่สะพานมัฆวานฯ เท่านั้น จำได้หรือไม่ที่เคยบอกว่าราชบัลลังก์มีแต่พวกเราเท่านั้น และให้จำไว้ว่า เป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างยิ่งยวด" นายสนธิ กล่าว และว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ ต้องมีประชาชน ซึ่งเวลานี้มีประชาชน 2 ส่วน ส่วนหนึ่งคือพวกเราที่ยอมตายเพื่อปกป้องราชบัลลังก์ ขณะที่อีกส่วนหนึ่งที่ยังเข้าไม่ถึงข้อมูล
นายสนธิ กล่าวว่า ตนเองมานั่งทบทวนในเรื่องคดีความต่างๆ หรือเรื่องชั่วๆ ต่างๆ พวกมันไม่เคยยี่หระ เพราะวัตถุประสงค์ของพวกมันคือ ต้องการสลายพวกเรา และเป้าหมายของมันคือ ต้องการล้มล้างราชบัลลังก์
"นายวีวะ และนายจักรภพ พูดว่าไม่ต้องไปเจรจากับพันธมิตรฯ แต่ต้องไปเจรจากับเจ้าของพันธมิตรฯ ดังนั้น ถ้าพวกเอ็งไม่ยอมรับสถาบันพระมหากษัตริย์ ก็ให้ใสหัวออกไป เพราะพวกเราต้องการสถาบันพระมหากษัตริย์ และจะปกป้องด้วยชีวิต" นายสนธิ กล่าว และว่า วันนี้ชัดเจนแล้วว่าเป็นการต่อสู้ระหว่างคนที่เอาพระมหากษัตริย์ กับฝ่ายที่ไม่เอาสถาบันพระมหากษัตริย์ ให้เลือกเอา และนี่คือสงครามครั้งสุดท้าย เราถอยไม่ได้แม้แต่ก้าวเดียว
นายสนธิ สรุปว่า สาเหตุที่พวกเราเหล่าพันธมิตรฯ มารวมกันเป็นหนึ่งเดียวจนถึงบัดนี้ก็มาจากสาเหตุที่เรารักพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระราชินีนาถ และราชวงค์นั่นเอง ดังนั้นการเมืองใหม่ต้องเริ่มที่สถาบันพระมหากษัตริย์ พระมหากษัตริย์ที่ทรงทศพิธราชธรรมนั่นเอง เพราะจะทำให้ประชาธิปไตยมั่นคง และชาติมั่นคง
จับตากก.สอบสวนเหตุการณ์7ตุลา
เมื่อเวลา10.00 น.วานนี้ (14 ต.ค.) ที่ห้องผู้สื่อข่าวทำเนียบรัฐบาล นายพิภพ ธงไชย แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลเตรียมแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้ความรุนแรงสลายผู้ชุมนุมเมื่อวันที่ 7 ต.ค.ว่า นายสมชาย วงสวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ไม่มีสิทธิที่จะตั้งคณะกรรมการตรวจสอบฯ เพราะนายสมชาย อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์และเป็นความผิดของตัวเอง ดังนั้น นายสมชาย ควรจะลาออกเพื่อรับผิดชอบกับเหตุการณ์นี้
"แม้นายกฯจะพยายามตั้งให้นายปรีชา พานิชวงศ์ อดีตรองประธานศาลฎีกามาเป็นประธานในการตรวจสอบ แต่ควรให้คณะกรรมการเป็นองค์กรอิสระ เช่น คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) หรือมาจาก ส.ส.ฝ่ายค้าน ส.ว.เข้ามาตรวจสอบให้อิสระในการเลือกคนดีเข้ามาเป็นคณะกรรมการ ซึ่งต้องดูท่าทีว่าบุคคลที่เป็นคณะกรรมการมีอำนาจในการตัดสินใจในการสอบสวนเต็มที่ ต้องตรวจสอบในระยะเวลาที่สั้นและสุดท้ายเมื่อผลออกมาแล้วรัฐบาลจะปฏิบัติตามหรือไม่" นายพิภพ กล่าว
นายพิภพ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ พันธมิตรฯได้ตรวจสอบโดยรวบรวมหลักฐานเพื่อฟ้องร้องในกระบวนการศาล เนื่องจากที่ผ่านมาไม่เคยมีผู้ใดที่ฆ่าประชาชนกลางเมืองหลวงแล้วจะถูกลงโทษ เพราะกระบวนการยุติธรรมไม่สามารถทำงานได้ ดังนั้น พูดได้เต็มปากเลยว่า รัฐบาลไม่ยอมรับผิดชอบจะเห็นได้จากการพยายามทำลายหลักฐาน ทั้งฉีดน้ำ หรือทาสีพ่นทับที่เกิดเหตุ หรือไม่ยอมย้ายนายตำรวจที่รับผิดชอบต่อเหตุการณ์ เห็นได้ชัดว่ารัฐบาลไม่มีความจริงใจ
"เรากังวลประสบการณ์ที่ผ่านมา เพราะกรรมการที่รัฐบาลตั้งขึ้นมาในอดีต รัฐบาลไม่ปฏิบัติตามเลย ไม่มีความชอบธรรมในการสอบสวนเหตุการณ์ใหญ่ๆ ขณะที่มติคณะรัฐมนตรีในวันนี้ที่รัฐบาลจะตั้งและให้อำนาจกรรมการฯก็ไม่ควรผูกพันอะไรเลย ทั้งรัฐบาลหรือใกล้ชิดกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยเฉพาะกรรมการฯต้องมีจริยธรรมในการสอบสวน" นายพิภพ กล่าว
อัด"นายกฯฆ่าประชาชน"ต้องออก
เมื่อถามว่าพันธมิตรฯ ประเมินว่าจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนายกฯจะลาออกหรือยุบสภา นายพิภพ กล่าวว่า ขอย้ำว่านายกฯต้องลาออก แม้อยู่ไปก็สร้างปัญหาให้กับประเทศชาติ จากเหตุการณ์ปะทะกันวันที่ 7 ต.ค.ที่ผ่านมา เห็นได้ชัดว่า นายกฯฆ่าประชาชน และยังไม่ยอมลาออก เหตุการณ์ดังกล่าว ถือเป็นฟางเส้นสุดท้าย ของความรุนแรงที่เกิดขึ้น ซึ่งต่อจากนี้ไปกระบวนการทางสังคม เช่น บอยคอต (Boycott) หรือ โซเชียล แซงค์ชั่น (S Sanction) ต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ จะมีการรณรงค์เพิ่มขึ้น เนื่องจากข้อมูลใหม่ๆ จะออกมามาก ดังนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ใช้ความรุนแรง ต้องยอมรับว่า เมื่อกระทำผิด ผลกระทบก็จะเกิดกับตัวเอง และครอบครัวอย่างแน่นอน
นายพิภพ กล่าวว่า แกนนำพันธมิตรฯยังไม่มีการกำหนดดาวกระจายไปยังพื้นที่ต่างๆ เนื่องจากยังไม่มีข้อสรุปในแกนนำ ขณะที่การเมืองใหม่ภาคประชาชน ได้ก่อรูปก่อร่างชัดเจนแล้ว เชื่อว่าไม่เร็วไม่ช้า หรือ 6-7 ปี การเมืองใหม่น่าจะมีความเป็นรูปธรรม ขณะเดียวกันประชาธิปไตยในการมีส่วนร่วม หรือ การตรวจสอบที่เกิดจากภาคประชาชนก็เกิดขึ้นแล้ว
"ในวันนี้ (15 ต.ค.) เวลา 06.00 น.พันธมิตรฯจะจัดพิธีกรรมทางศาสนาทั้ง 3 ศาสนา ขณะเดียวกันจะได้นิมนต์พระสงฆ์ จากหลายวัดมารับบิณฑบาต ตั้งแต่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ มาจนถึงแยกสวนมิสกวัน เข้ามายังภายในทำเนียบรัฐบาล เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ 7 ต.ค."นายพิภพ กล่าว
พธม.หิ้วคนเจ็บร้องปปช.17 ต.ค.นี้
ที่เวทีพันธมิตรฯในทำเนียบฯ เวลา 19.00 น. นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรฯ แถลงถึงกรณีการดำเนินคดีกับตำรวจ และข้าราชการการเมือง กรณีสั่งปราบปรามประชาชน ที่หน้ารัฐสภา เมื่อวันที่ 7 ต.ค.ว่า ขณะนี้ ป.ป.ช.ได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบแล้ว แต่อำนาจหน้าที่นั้น สามารถดำเนินการได้เพียงแค่ข้าราชการประจำเท่านั้น ทั้งๆที่มีความชัดเจนจนสามารถโยงไปถึงฝ่ายการเมืองได้ ดังนั้น พันธมิตรฯจึงจะนำผู้ป่วย ผู้ได้รับบาดเจ็บ และครอบครัวของผู้เสียชีวิต ไปร้องต่อป.ป.ช.ในวันที่ 17 ต.ค . เวลา 14.00 น. โดยกล่าวโทษตั้งแต่ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย ตลอดจน ผบ.ตร. ผบช.น. และ รอง ผบช.น.ทั้งหมดไม่ต่ำกว่า 10 ราย
นายสุริยะใส ยังกล่าวถึงกรณีที่พรรคพลังประชาชน (พปช.) เข้าแจ้งความเอาผิดแกนนำพันธมิตรฯรุ่นสอง ฐานทำให้ตกใจว่า แสดงให้เห็นว่า พปช. ไม่รู้สึกเสียใจ หรือแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเลย ยังคงมุ่งกล่าวโทษ เอาโทษพันธมิตรฯ อย่างต่อเนื่อง ทั้งๆ ที่ขณะนี้รัฐบาลเองก็ตกเป็นจำเลยสังคม แต่วิปรัฐบาลกลับมีมติให้แจ้งความ ดังนั้น เรื่องนี้จึงน่าจะเป็นการแก้เกี้ยวเท่านั้น เพราะไม่รู้จะอธิบายต่อประชาคมโลกอย่างไร ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จึงต้องใช้วิธีการแจ้งความ อย่างไรก็ตาม คนที่ดำเนินการแจ้งความนั้นก็ต้องระวัง ข้อหาแจ้งความเท็จด้วย โดยพันธมิตรฯ จะปรึกษากับทีมทนายความ ถึงกรณีนี้ด้วย
ส่วนที่นายอานันท์ ปัญยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ว่า สถานการณ์ขณะนี้จะปลดล็อกได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับคนชื่อพ.ต.ท.ทักษิณ เพียงคนเดียวนั้น นายสุริยะใส กล่าวว่า ตรงนี้ไม่มีอะไรเกินความเป็นจริง และไม่ต่างจากที่พันธมิตรฯรู้สึก เพราะรัฐบาลนี้เป็นเพียงแค่หุ่นเชิด คนบงการตัวจริงคือ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งขณะนี้ได้หันมาใช้เกมมวลชน แบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน ตั้งแต่การประกาศไม่ยุบสภา และไม่ลาออก จนมาถึงการนำนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี มาจัดรายการความจริงวันนี้
"ขณะนี้อยู่ในช่วงของ 7 วันอันตราย ซึ่งอาจจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น ก่อนวันที่ 21 ต.ค.ซึ่งจะมีการพิจารณาคดีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ได้ ทั้งนี้ ในวันนี้ในช่วงเย็นแกนนำพันธมิตรฯจะประชุมกันว่าจะไปรณรงค์ และเปิดโปงความเป็นจริงถึงเหตุการณ์ 7 ต.ค.ที่เกิดขึ้นที่ไหนบ้าง" นายสุริยะใส กล่าว
แผนตัดตอนหยุดคดีแค่ตำรวจ
นายสุริยะใส กล่าวด้วยว่า ขณะนี้เริ่มมีการตัดตอนโดยบีบตำรวจที่บัญชาการให้ปราบปรามประชาชน ทยอยออกมาแสดงความรับผิดชอบ โดยออกมาบอกว่าพร้อมรับผิดชอบ และจากนั้นก็ลาออก ตรงนี้เป็นการตัดตอน เพื่อไม่ให้สาวไปถึงรัฐบาล
ผู้สื่อข่าวถามว่า การที่นำนายสมัคร มาจัดรายการความจริงวันนี้ จะยิ่งทำให้อุณหภูมิทางการเมืองสูงขึ้นหรือไม่ นายสุริยะใส กล่าวว่า จะยิ่งร้อนแรงขึ้น ซึ่งต้องถามว่า การนำนายสมัคร มาจัดรายการนั้น เพื่ออะไร และที่แน่นอน คือ นโยบาย ข้อ 1.1 ของรัฐบาล ที่ระบุว่าจะเดินหน้าเรื่องความสมานฉันท์นั้นเป็นการโกหก ไม่เป็นความจริง
เมื่อถามว่า เอกสารหลักฐานที่จะมอบให้กับ ป.ป.ช. เพื่อดำเนินคดีกับข้าราชการการเมืองนั้น มีความมั่นใจมากน้อยแค่ไหน นายสุริยะใส กล่าวว่า ตรงนี้จะต้องทำให้เป็นบรรทัดฐาน เพราะถ้าหากนำคนผิดมาลงโทษไม่ได้ ก็จะไม่สามารถบอกได้ว่า วันที่ 7 ต.ค.จะเป็นความรุนแรงครั้งสุดท้าย และจะไม่มีการโทษว่า เป็นเรื่องของการไปซื้อแก๊สน้ำตามา โดยไม่ดูตาม้าตาเรือ ซึ่งแสดงถึงความไม่รับผิดชอบ ดังนั้น ป.ป.ช.จะต้องเรียกรายงานการประชุม มติครม.คืนวันที่ 6 ต.ค. มาดู มาตรวจสอบ ซึ่งถ้าหากไม่เจอ ก็ถือเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่จะต้องอธิบายให้ได้ว่า สาเหุตุที่ไม่เจอนั้นเพราะอะไร เพราะเท่าที่ทราบ มีข้าราชการ การเมืองระดับสูง อย่างนั้อย 2 คน ที่มีส่วนร่วมในการบงการด้วย
ส่วนคณะกรรมการตรวจสอบที่มีการตั้งขึ้นนั้น นายสุริยะใส กล่าวว่า ถือเป็นเรื่องที่ดีเราไม่ปฏิเสธ แต่พันธมิตรฯ ยังเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม และกลไกตามรัฐธรรมนูญมากกว่า และเชื่อว่าหลักฐานมี่มีอยู่จะนำไปสู่การนำคนผิดไปลงโทษได้
รพ.วชิรฯถวายรายงานฉ.1 พระราชินี
นพ.ชัยวัน เจริญโชคทวี ผอ.โรงพยาบาลวชิรพยาบาล เปิดเผยว่า ผู้บาดเจ็บที่ยังพักรักษาตัวอยู่ที่ รพ.วชิรพยาบาล วานนี้เหลือ 9 รายจากเดิม 11 ราย โดยวานนี้กลับบ้านไป 2 ราย สำหรับผู้ที่พักรักษาตัวอยู่ขณะนี้ส่วนใหญ่อาการดีขึ้นเป็นลำดับ ทั้งนี้ รพ.วชิรพยาบาล ได้ส่งรายงานฉบับที่ 1 ไปยังกองราชเลขาธิการในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เรียบร้อยแล้ว
สำหรับผู้ต้องการร่วมบริจาคเงินช่วยเหลือกรณีผู้บาดเจ็บจากเหตุสาธารณภัย สามารถโอนมาได้ที่บัญชีมูลนิธิวชิรพยาบาล บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาย่อยสามเสน เลขบัญชี 073-2-06483-3
ชี้ "ธัญญา" อาการยังเหมือนเดิม
นพ.วันชัย กล่าวต่อว่า สำหรับผู้ที่ยังต้องอยู่ในห้องไอซียู คือ นายธัญญา กุลแก้ว ซึ่งอาการเหมือนเดิมไม่รู้สึกตัว แต่ไม่มีอะไรเลวร้ายลง ซึ่งในรายของนายธัญญา มีการประเมินผลทุกวัน เพราะกลัวผลแทรกซ้อนจากการไม่รู้สึกตัว ขณะนี้ตรวจด้วยวิธีพิเศษทุกวัน เช่น เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ สมอง หัวใจ ปอด ปัสสาวะ บาดแผล โดยมุ่งหวังว่าจะสามารถป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากการไม่รู้สึกตัว เหตุผลที่ประเมินทุกวันเพราะเป็นภาวะวิกฤติและบาดแผลสกปรกมากมีโอกาสติดเชื้อสูง และผ่านภาวการณ์เสียเลือดมากทิ้งระยะเวลายาวนานพอสมควร ซึ่งจะมีผลต่อหัวใจและสมอง แพทย์ได้พยายามป้องกัน
ส่วนผลเอกซเรย์สมองก็พบภาวะสมองบวมกับกะโหลกแตก ซึ่งเป็นภาวะเดิม ๆ ตั้งแต่เริ่มต้น ตอนนี้พยายามรักษาสมองให้ยุบบวมลง คาดว่าถ้ายุบลงภาวะหัวใจดีขึ้น ก็น่าจะฟื้นขึ้น ส่วนหากฟื้นขึ้นมาแล้วจะเป็นอย่างไร ในทางการแพทย์ถือว่าบาดเจ็บหลายอวัยวะพร้อมกัน เป็นภาวะผลกระทบต่อร่างกายอย่างรุนแรง ซึ่งหลังหายจากบาดเจ็บแล้วไม่เหมือนเดิมแน่นอน แต่ต้องประเมินอีกครั้ง
สำหรับ น.ส.นาฏยา ธิยา ยังอยู่ในเบิร์นยูนิต รู้สึกตัวดี อาการโดยทั่วไปดีขึ้นกว่าเดิม แต่บาดแผลยังมีลักษณะความรุนแรงของบาดแผล กระดูกหักที่ขาก็ยังมีลักษณะน่าเป็นห่วง ด้านนายประภาส ศรีสุพัฒนกุล ซึ่งเพิ่งย้ายเข้าไปไอซียูอาการทั่วไปเหมือนเดิมและภาวการณ์ติดเชื้อที่คาดว่าจะมีเกิดขึ้นจากบาดแผล ขณะนี้รอผลการเพาะเชื้อ และได้ให้ยาฆ่าเชื้อโรคไปแล้ว โดยทั่วไปอาการไม่เลวร้ายลงกว่าเดิม ส่วน ส.ต.อ.จักรา ขันธชัย อาการดีขึ้นมาก สามารถย้ายออกจากห้องไอซียูไปอยู่ตึกศัลยกรรมพิเศษได้แล้ว ยังพูดไม่ได้เพราะยังเจาะคอและให้อาหารทางสายยางอยู่ แต่ถือว่ารอดพ้นจากอาการวิกฤตแล้ว
เริ่มให้อาหารทางสายยาง"ตี๋-ชิงชัย"
นพ.ธันต์ สุภัทร์พันธุ์ ผอ.โรพยาบาลรามาธิบดี กล่าวถึงอาการล่าสุดของนายชิงชัย อุดมเจริญกิจ หรือ ตี๋ ศิลปินอิสระ ที่ได้รับบาดเจ็บมือขวาและลำคอ หลอดลมฉีกขาดว่า วานนี้นายชิงชัยยังคงรักษาตัวในห้องไอซียู มีอาการไข้ต่ำๆ แพทย์เริ่มให้อาหารทางสายยางได้ รวมทั้งลดการใช้เครื่องช่วยหายใจ แต่ต้องเฝ้าติดตามอาการอย่างใกล้ชิด เนื่องจากมีโอกาสที่เกิดอาการแทรกซ้อนได้ โดยได้วางแผนเย็บซ่อมแซมหลอดลมที่ฉีกขาด ซึ่งต้องรอให้หลอดลมที่ยังมีอาการบวมก่อน
"ต้องดูอีกทีว่าจะสามารถซ่อมหลอดลมได้มากน้อยแค่ไหน จริงๆ แล้วขณะนี้ผู้ป่วยสามารถพูดได้ แต่ไม่มีเสียง แม้กล่องเสียงจะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก แต่ผู้ป่วยยังไม่มีแรงทำให้ไม่สามารถเปล่งเสียได้ อย่างไรก็ตาม นายชิงชัยคงไม่เป็นปกติ 100% ต้องสูญเสียสมรรถภาพบางส่วน แต่จะมากน้อยแค่ไหนจะต้องดูอาการต่อไป แต่ที่แน่ชัดแล้วคือผู้ป่วยต้อสูญเสียมือขวาไป"
นพ.ธันต์ กล่าวต่อว่า ส่วนผู้ป่วยรายอื่นๆ อาการดีขึ้น รวมยังคงมีผู้ป่วยนอนรักษาตัวโรงพยาบาลทั้งสิ้น 6 คน ออกจากโรงพยาบาลในวันนี้ 4 คน ทางโรงพยาบาลได้ตั้งคณะกรรมการเพื่อดูแลเรื่องการจัดการเงินพระราชทานของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับผู้ได้รับบาดเจ็บด้วย
"รุ่งทิวา" อาการคงเดิม
นพ.ธีรพงศ์ เจริญวิทย์ รักษาการ ผอ.โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กล่าวว่า ขณะนี้อาการของนางรุ่งทิวา ธาตุนิยม ยังคงเหมือนเดิมทุกประการ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เนื่องจากการผ่าตัดทางสมองต้องใช้ระยะเวลาในการเฝ้าสังเกตอาการนาน ไม่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้ แต่ต้องเฝ้าติดตามอาการอย่างใกล้ชิดวันต่อวัน
ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศงานพระราชทานเพลิงศพ พ.ต.ท.เมธี ชาติมนตรี หรือ "สารวัตรจ๊าบ" หัวหน้าการ์ดอาสาภาคอีสานของพันธมิตรฯ ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 7 ต.ค.ที่เมรุวัดโสมนัสวรวิหาร กรุงเทพฯ วานนี้ (14 ต.ค.) ตั้งแต่ช่วงบ่ายเป็นต้นมา ได้มีเหล่าบรรดาพันธมิตรฯนับหมื่นคน เดินทางเข้ามาร่วมไว้อาลัยกันอย่างแน่นขนัดเต็มพื้นที่วัด จนล้นออกมายังลานจอดรถด้านนอก
ทั้งนี้ ก่อนที่พิธีจะเริ่ม สมณะโพธิรักษ์ แห่งสันติอโศก ได้แสดงปาฐกถา จากนั้นตัวแทนพันธมิตรฯ อ่านคำไว้อาลัย ก่อนที่วงดนตรีกรรมาชนบรรเลงเพลง "เทียนแห่งธรรม" โดยมีแกนนำพันธมิตรฯ ทั้ง 5 พร้อมด้วยแกนนำพันธมิตรฯรุ่น 2 นำโดย นายศิริชัย ไม้งาม
นอกจากนี้ ยังมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) นำทีม ส.ส.อาทิ นายกรณ์ จาติกวณิชย์ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ อดีต ส.ว. นายการุญ ใสงาม อดีต ส.ว. นายไชยวัฒน์ สินธุวงศ์ นายเทิดภูมิ ใจดี โดยมีนายอานันท์ ปันยารชุน เป็นประธานในพิธี
ต่อเวลา 15.35 น. ภายหลังจากที่ น.ส.เพ็ญพิมล ใสงาม ภรรยา ได้อ่านคำไว้อาลัย พ.ต.ท.เมธี สามีเสร็จสิ้น กลุ่มพันธมิตรฯ ที่มาร่วมงานนับหมื่นคนได้นำ "มือตบ" มาตบจนเสียงดังสนั่นไปทั่ววัด
นอกจากนี้ผู้ที่มาร่วมงานศพจะได้รับแจกหนังสือ "ตำรวจพันธมิตรฯ" ซึ่งเป็นการรวบรวมชีวประวัติของ พ.ต.ท.เมธี พร้อมด้วยบทกวี และคำไว้อาลัย นอกจากนี้ ยังมีรูปถ่ายของสารวัตรจ๊าบ และโบว์สีดำไว้อาลัย แจกจ่ายให้กับผู้ที่มาร่วมไว้อาลัยอีกด้วย
น.ส.เพ็ญพิมล เผยว่า รู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงพระราชทานเพลิงให้กับสามี ภาพสุดท้ายที่ประทับใจในตัวสามีคือ ภาพที่เป็นหัวหน้าการ์ด คอยดูแลไม่ให้พันธมิตรฯ ปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตนยังยืนยันแม้ว่า แม้จะสูญเสียสามีไปอย่างไม่มีวันกลับ ตนจะมาชุมนุมต่อสู้ร่วมกับพันธมิตรฯต่อไปจนกว่าจะได้รับชัยชนะ
ชี้ "ทักษิณ"ต้องปลดล็อกเอง
ด้านนายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังเป็นประธานพิธีพระราชทานเพลิงศพ พ.ต.ท.เมธี ถึงสถานการณ์บ้านเมืองว่า ทุกคนรู้ว่า จุดที่น่าห่วงใยอยู่ตรงไหน แต่ปัญหาการเมืองมันเป็นปัญหาความแตกแยก
ผู้สื่อข่าวถามว่า มองว่าปัญหาในขณะนี้อยู่ตรงจุดไหน นายอานันท์ กล่าวว่า ด้วยความเคารพ ตนรู้สึกว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นคนเดียวที่จะปลดล็อกได้ ผู้สื่อข่าวถามว่า หมายความว่า พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่เบื้องหลังเหตุวุ่นวายในบ้านเมือง นายอานันท์ กล่าวว่า ไม่ได้มีการกล่าวหาอะไร พ.ต.ท.ทักษิณ
เมื่อถามย้ำว่า เหตุใดจึงคิดเช่นนั้น นายอานันท์ กล่าวว่า ดูจากเหตุการณ์ทั่วไป และเหตุการณ์ที่ผ่านมาก็รู้ว่า มาจากจุดนั้น เมื่อซักต่อว่า หากพ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ปลดล็อกจะทำอย่างไร นายอานันท์ กล่าวว่า ตนไม่รู้ ก็ต้องหวังว่าจะดี ไม่มีอะไรแนะนำคุณทักษิณ ถ้าคุณทักษิณ ตั้งใจจริงที่จะให้การเมืองมันผ่อนคลาย คุณทักษิณเป็นคนฉลาด มีวิจารณญาณเพียงพอที่จะทำได้เลย โดยไม่ต้องมีใครแนะนำ
ย้ำทุกฝ่ายรู้ดีว่าจะปลดล็อกได้อย่างไร
ผู้สื่อข่าวถามว่า แสดงว่ารัฐบาลนี้ไม่สามารถปลดล็อกได้ นายอานันท์ กล่าวว่าไม่รู้ว่ารัฐบาลนี้มีความอิสระพอเพียงหรือไม่ที่จะปลดล็อก เมื่อถามว่าในฐานะที่เคยเป็นนายกรัฐมนตรี จะแก้ปัญหาขณะนี้อย่างไร นายอานันท์ กล่าวว่า ไม่รู้ พูดได้ แต่ไม่มีอำนาจและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรง เป็นเรื่องลำบากที่คนข้างนอกจะไปพูด เพราะไม่มีข้อมูลเพียงพอ แต่ละคนต้องรู้ว่า ตัวเองมีบทบาทโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจที่ให้มีการแบ่งค่ายกัน ระหว่างระบอบทักษิณ กับคนที่บอกว่าปกป้องระบอบประชาธิปไตย ที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แต่ละฝ่ายควรรู้ดีว่า บทบาทของตัวเองที่จะปลดล็อกเรื่องที่เกิดขึ้นได้อย่างไร
ผู้สื่อข่าวถามว่า เป็นห่วงความรุนแรงหลังจากนี้หรือไม่ อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่รู้ มีแต่ความหวังว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นรุนแรง เพราะเหตุการณ์ที่ผ่านมาวันที่ 7 ต.ค. ได้นำความเศร้าโศก ผิดหวัง มาสู่ประชาราษฎร์ เมื่อถามว่า หากมีรัฐบาลแห่งชาติจริง พร้อมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี หรือไม่ นายอานันท์ กล่าวว่า ไม่รู้ ตนจะไม่ตอบคำถามที่เกิดจากการสมมติ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะเดินทางกลับนายอานันท์ ได้ถือมือตบขนาดเล็กขึ้นรถยนต์ส่วนตัวไปด้วย โดยระบุว่า มีพันธมิตรฯเอามาให้ ซึ่งตนจะเอาไปให้หลานที่บ้านตบเล่น
อานันท์"ชี้ฆ่า ปชช.ไม่ใช่สิ่งสวยงาม
ก่อนหน้านี้ช่วงบ่ายนายอานันท์ ได้นำกระเช้าผลไม้เข้าเยี่ยม และให้กำลังใจนางวิชุดา ระดับปัญญาวุฒิ มารดาน.ส.อังคณา หรือ "น้องโบว์" ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์สลายการชุมนุม จนตัวเองได้รับบาดเจ็บสูญเสียนิ้วเท้า พักรักษาตัวที่โรงพยาบาลศิริราช โดยนายอานันท์ ระบุว่า จากการพูดคุยกับนางวิชุดา มีสภาพร่างกายฟื้นสู่สภาพปกติ ส่วนสภาพจิตใจมีความมั่นคงแน่วแน่ เชื่อว่าอีก 2 วันน่าจะกลับไปพักฟื้นที่บ้านได้
ทั้งนี้ ตนไม่ต้องการให้มีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นอีก เพราะที่ผ่านมาที่มีการเสียเลือดเนื้อมาถึง 3 ครั้ง นับตั้งแต่เหตุการณ์ 14 ตุลา ก็เพียงพอแล้วสำหรับคนไทย การฆ่าประชาชนไม่ใช่สิ่งสวยงาม ส่วนตำรวจที่บาดเจ็บและเสียชีวิต ก็ไม่ใช่สิ่งสวยงามเช่นกัน
"ทักษิณ"ซื้อบิ๊กทหาร-ตร.ล้มสถาบันฯ
เมื่อเวลา 21.15 น. นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ขึ้นเวทีที่ทำเนียบฯ ได้ย้ำให้พี่น้องเดินหน้าขยายการบอยคอตหนังสือพิมพ์ 3 ฉบับต่อไปจนถึงที่สุด นั่นคือ ข่าวสด มติชน และมติชนสุดสัปดาห์ และเพิ่มอีกหนึ่งฉบับคือ ประชาชาติธุรกิจ เพื่อเห็นแก่วีรชนของเราที่ได้รับบาดเจ็บ และเสียชีวิต
จากนั้นนายสนธิ ได้กล่าวว่า ณ วันนี้เราสามารถสรุปได้แล้วว่า สาเหตุที่เราต่อสู้เพื่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และราชบัลลังก์ เพราะถ้าสถาบันพระมหากษัตริย์มั่นคง ชาติก็มั่นคง ขณะเดียวกัน ถ้าสถาบันไม่มั่นคงชาติก็ไม่มั่นคงไปด้วย
"ให้พวกเราคิดสักนิดว่า ตั้งแต่ปี 2544 จนถึงวันนี้ พวกมันยังไม่หยุดจาบจ้วง วันนี้ที่เวทีสนามหลวง ยังด่าสถาบันพระมหากษัตริย์ วันนี้มันเปิดหน้าชกแล้ว" นายสนธิ กล่าว และว่าระบอบทักษิณ เอาเงินไปซื้อรากหญ้า ซื้อตำรวจ และทหาร ที่มีอำนาจบางคน ซึ่งตอนนี้เรารู้แล้วว่าเป็นใคร เพราะแม้ประชาชนถูกฆ่า มันก็ไม่ออกมา เห็นเกมของพวกมันแล้วหรือยัง
"นี่คือเกมทำลายของทักษิณ เกมการเมือง เกมในสภา ถือว่าเกมลวง แต่ยังมีก้างขวางคอที่ยิ่งใหญ่สุดคือพวกเราที่ทำเนียบฯ และที่สะพานมัฆวานฯ เท่านั้น จำได้หรือไม่ที่เคยบอกว่าราชบัลลังก์มีแต่พวกเราเท่านั้น และให้จำไว้ว่า เป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างยิ่งยวด" นายสนธิ กล่าว และว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ ต้องมีประชาชน ซึ่งเวลานี้มีประชาชน 2 ส่วน ส่วนหนึ่งคือพวกเราที่ยอมตายเพื่อปกป้องราชบัลลังก์ ขณะที่อีกส่วนหนึ่งที่ยังเข้าไม่ถึงข้อมูล
นายสนธิ กล่าวว่า ตนเองมานั่งทบทวนในเรื่องคดีความต่างๆ หรือเรื่องชั่วๆ ต่างๆ พวกมันไม่เคยยี่หระ เพราะวัตถุประสงค์ของพวกมันคือ ต้องการสลายพวกเรา และเป้าหมายของมันคือ ต้องการล้มล้างราชบัลลังก์
"นายวีวะ และนายจักรภพ พูดว่าไม่ต้องไปเจรจากับพันธมิตรฯ แต่ต้องไปเจรจากับเจ้าของพันธมิตรฯ ดังนั้น ถ้าพวกเอ็งไม่ยอมรับสถาบันพระมหากษัตริย์ ก็ให้ใสหัวออกไป เพราะพวกเราต้องการสถาบันพระมหากษัตริย์ และจะปกป้องด้วยชีวิต" นายสนธิ กล่าว และว่า วันนี้ชัดเจนแล้วว่าเป็นการต่อสู้ระหว่างคนที่เอาพระมหากษัตริย์ กับฝ่ายที่ไม่เอาสถาบันพระมหากษัตริย์ ให้เลือกเอา และนี่คือสงครามครั้งสุดท้าย เราถอยไม่ได้แม้แต่ก้าวเดียว
นายสนธิ สรุปว่า สาเหตุที่พวกเราเหล่าพันธมิตรฯ มารวมกันเป็นหนึ่งเดียวจนถึงบัดนี้ก็มาจากสาเหตุที่เรารักพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระราชินีนาถ และราชวงค์นั่นเอง ดังนั้นการเมืองใหม่ต้องเริ่มที่สถาบันพระมหากษัตริย์ พระมหากษัตริย์ที่ทรงทศพิธราชธรรมนั่นเอง เพราะจะทำให้ประชาธิปไตยมั่นคง และชาติมั่นคง
จับตากก.สอบสวนเหตุการณ์7ตุลา
เมื่อเวลา10.00 น.วานนี้ (14 ต.ค.) ที่ห้องผู้สื่อข่าวทำเนียบรัฐบาล นายพิภพ ธงไชย แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลเตรียมแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้ความรุนแรงสลายผู้ชุมนุมเมื่อวันที่ 7 ต.ค.ว่า นายสมชาย วงสวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ไม่มีสิทธิที่จะตั้งคณะกรรมการตรวจสอบฯ เพราะนายสมชาย อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์และเป็นความผิดของตัวเอง ดังนั้น นายสมชาย ควรจะลาออกเพื่อรับผิดชอบกับเหตุการณ์นี้
"แม้นายกฯจะพยายามตั้งให้นายปรีชา พานิชวงศ์ อดีตรองประธานศาลฎีกามาเป็นประธานในการตรวจสอบ แต่ควรให้คณะกรรมการเป็นองค์กรอิสระ เช่น คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) หรือมาจาก ส.ส.ฝ่ายค้าน ส.ว.เข้ามาตรวจสอบให้อิสระในการเลือกคนดีเข้ามาเป็นคณะกรรมการ ซึ่งต้องดูท่าทีว่าบุคคลที่เป็นคณะกรรมการมีอำนาจในการตัดสินใจในการสอบสวนเต็มที่ ต้องตรวจสอบในระยะเวลาที่สั้นและสุดท้ายเมื่อผลออกมาแล้วรัฐบาลจะปฏิบัติตามหรือไม่" นายพิภพ กล่าว
นายพิภพ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ พันธมิตรฯได้ตรวจสอบโดยรวบรวมหลักฐานเพื่อฟ้องร้องในกระบวนการศาล เนื่องจากที่ผ่านมาไม่เคยมีผู้ใดที่ฆ่าประชาชนกลางเมืองหลวงแล้วจะถูกลงโทษ เพราะกระบวนการยุติธรรมไม่สามารถทำงานได้ ดังนั้น พูดได้เต็มปากเลยว่า รัฐบาลไม่ยอมรับผิดชอบจะเห็นได้จากการพยายามทำลายหลักฐาน ทั้งฉีดน้ำ หรือทาสีพ่นทับที่เกิดเหตุ หรือไม่ยอมย้ายนายตำรวจที่รับผิดชอบต่อเหตุการณ์ เห็นได้ชัดว่ารัฐบาลไม่มีความจริงใจ
"เรากังวลประสบการณ์ที่ผ่านมา เพราะกรรมการที่รัฐบาลตั้งขึ้นมาในอดีต รัฐบาลไม่ปฏิบัติตามเลย ไม่มีความชอบธรรมในการสอบสวนเหตุการณ์ใหญ่ๆ ขณะที่มติคณะรัฐมนตรีในวันนี้ที่รัฐบาลจะตั้งและให้อำนาจกรรมการฯก็ไม่ควรผูกพันอะไรเลย ทั้งรัฐบาลหรือใกล้ชิดกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยเฉพาะกรรมการฯต้องมีจริยธรรมในการสอบสวน" นายพิภพ กล่าว
อัด"นายกฯฆ่าประชาชน"ต้องออก
เมื่อถามว่าพันธมิตรฯ ประเมินว่าจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนายกฯจะลาออกหรือยุบสภา นายพิภพ กล่าวว่า ขอย้ำว่านายกฯต้องลาออก แม้อยู่ไปก็สร้างปัญหาให้กับประเทศชาติ จากเหตุการณ์ปะทะกันวันที่ 7 ต.ค.ที่ผ่านมา เห็นได้ชัดว่า นายกฯฆ่าประชาชน และยังไม่ยอมลาออก เหตุการณ์ดังกล่าว ถือเป็นฟางเส้นสุดท้าย ของความรุนแรงที่เกิดขึ้น ซึ่งต่อจากนี้ไปกระบวนการทางสังคม เช่น บอยคอต (Boycott) หรือ โซเชียล แซงค์ชั่น (S Sanction) ต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ จะมีการรณรงค์เพิ่มขึ้น เนื่องจากข้อมูลใหม่ๆ จะออกมามาก ดังนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ใช้ความรุนแรง ต้องยอมรับว่า เมื่อกระทำผิด ผลกระทบก็จะเกิดกับตัวเอง และครอบครัวอย่างแน่นอน
นายพิภพ กล่าวว่า แกนนำพันธมิตรฯยังไม่มีการกำหนดดาวกระจายไปยังพื้นที่ต่างๆ เนื่องจากยังไม่มีข้อสรุปในแกนนำ ขณะที่การเมืองใหม่ภาคประชาชน ได้ก่อรูปก่อร่างชัดเจนแล้ว เชื่อว่าไม่เร็วไม่ช้า หรือ 6-7 ปี การเมืองใหม่น่าจะมีความเป็นรูปธรรม ขณะเดียวกันประชาธิปไตยในการมีส่วนร่วม หรือ การตรวจสอบที่เกิดจากภาคประชาชนก็เกิดขึ้นแล้ว
"ในวันนี้ (15 ต.ค.) เวลา 06.00 น.พันธมิตรฯจะจัดพิธีกรรมทางศาสนาทั้ง 3 ศาสนา ขณะเดียวกันจะได้นิมนต์พระสงฆ์ จากหลายวัดมารับบิณฑบาต ตั้งแต่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ มาจนถึงแยกสวนมิสกวัน เข้ามายังภายในทำเนียบรัฐบาล เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ 7 ต.ค."นายพิภพ กล่าว
พธม.หิ้วคนเจ็บร้องปปช.17 ต.ค.นี้
ที่เวทีพันธมิตรฯในทำเนียบฯ เวลา 19.00 น. นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรฯ แถลงถึงกรณีการดำเนินคดีกับตำรวจ และข้าราชการการเมือง กรณีสั่งปราบปรามประชาชน ที่หน้ารัฐสภา เมื่อวันที่ 7 ต.ค.ว่า ขณะนี้ ป.ป.ช.ได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบแล้ว แต่อำนาจหน้าที่นั้น สามารถดำเนินการได้เพียงแค่ข้าราชการประจำเท่านั้น ทั้งๆที่มีความชัดเจนจนสามารถโยงไปถึงฝ่ายการเมืองได้ ดังนั้น พันธมิตรฯจึงจะนำผู้ป่วย ผู้ได้รับบาดเจ็บ และครอบครัวของผู้เสียชีวิต ไปร้องต่อป.ป.ช.ในวันที่ 17 ต.ค . เวลา 14.00 น. โดยกล่าวโทษตั้งแต่ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย ตลอดจน ผบ.ตร. ผบช.น. และ รอง ผบช.น.ทั้งหมดไม่ต่ำกว่า 10 ราย
นายสุริยะใส ยังกล่าวถึงกรณีที่พรรคพลังประชาชน (พปช.) เข้าแจ้งความเอาผิดแกนนำพันธมิตรฯรุ่นสอง ฐานทำให้ตกใจว่า แสดงให้เห็นว่า พปช. ไม่รู้สึกเสียใจ หรือแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเลย ยังคงมุ่งกล่าวโทษ เอาโทษพันธมิตรฯ อย่างต่อเนื่อง ทั้งๆ ที่ขณะนี้รัฐบาลเองก็ตกเป็นจำเลยสังคม แต่วิปรัฐบาลกลับมีมติให้แจ้งความ ดังนั้น เรื่องนี้จึงน่าจะเป็นการแก้เกี้ยวเท่านั้น เพราะไม่รู้จะอธิบายต่อประชาคมโลกอย่างไร ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จึงต้องใช้วิธีการแจ้งความ อย่างไรก็ตาม คนที่ดำเนินการแจ้งความนั้นก็ต้องระวัง ข้อหาแจ้งความเท็จด้วย โดยพันธมิตรฯ จะปรึกษากับทีมทนายความ ถึงกรณีนี้ด้วย
ส่วนที่นายอานันท์ ปัญยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ว่า สถานการณ์ขณะนี้จะปลดล็อกได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับคนชื่อพ.ต.ท.ทักษิณ เพียงคนเดียวนั้น นายสุริยะใส กล่าวว่า ตรงนี้ไม่มีอะไรเกินความเป็นจริง และไม่ต่างจากที่พันธมิตรฯรู้สึก เพราะรัฐบาลนี้เป็นเพียงแค่หุ่นเชิด คนบงการตัวจริงคือ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งขณะนี้ได้หันมาใช้เกมมวลชน แบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน ตั้งแต่การประกาศไม่ยุบสภา และไม่ลาออก จนมาถึงการนำนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี มาจัดรายการความจริงวันนี้
"ขณะนี้อยู่ในช่วงของ 7 วันอันตราย ซึ่งอาจจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น ก่อนวันที่ 21 ต.ค.ซึ่งจะมีการพิจารณาคดีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ได้ ทั้งนี้ ในวันนี้ในช่วงเย็นแกนนำพันธมิตรฯจะประชุมกันว่าจะไปรณรงค์ และเปิดโปงความเป็นจริงถึงเหตุการณ์ 7 ต.ค.ที่เกิดขึ้นที่ไหนบ้าง" นายสุริยะใส กล่าว
แผนตัดตอนหยุดคดีแค่ตำรวจ
นายสุริยะใส กล่าวด้วยว่า ขณะนี้เริ่มมีการตัดตอนโดยบีบตำรวจที่บัญชาการให้ปราบปรามประชาชน ทยอยออกมาแสดงความรับผิดชอบ โดยออกมาบอกว่าพร้อมรับผิดชอบ และจากนั้นก็ลาออก ตรงนี้เป็นการตัดตอน เพื่อไม่ให้สาวไปถึงรัฐบาล
ผู้สื่อข่าวถามว่า การที่นำนายสมัคร มาจัดรายการความจริงวันนี้ จะยิ่งทำให้อุณหภูมิทางการเมืองสูงขึ้นหรือไม่ นายสุริยะใส กล่าวว่า จะยิ่งร้อนแรงขึ้น ซึ่งต้องถามว่า การนำนายสมัคร มาจัดรายการนั้น เพื่ออะไร และที่แน่นอน คือ นโยบาย ข้อ 1.1 ของรัฐบาล ที่ระบุว่าจะเดินหน้าเรื่องความสมานฉันท์นั้นเป็นการโกหก ไม่เป็นความจริง
เมื่อถามว่า เอกสารหลักฐานที่จะมอบให้กับ ป.ป.ช. เพื่อดำเนินคดีกับข้าราชการการเมืองนั้น มีความมั่นใจมากน้อยแค่ไหน นายสุริยะใส กล่าวว่า ตรงนี้จะต้องทำให้เป็นบรรทัดฐาน เพราะถ้าหากนำคนผิดมาลงโทษไม่ได้ ก็จะไม่สามารถบอกได้ว่า วันที่ 7 ต.ค.จะเป็นความรุนแรงครั้งสุดท้าย และจะไม่มีการโทษว่า เป็นเรื่องของการไปซื้อแก๊สน้ำตามา โดยไม่ดูตาม้าตาเรือ ซึ่งแสดงถึงความไม่รับผิดชอบ ดังนั้น ป.ป.ช.จะต้องเรียกรายงานการประชุม มติครม.คืนวันที่ 6 ต.ค. มาดู มาตรวจสอบ ซึ่งถ้าหากไม่เจอ ก็ถือเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่จะต้องอธิบายให้ได้ว่า สาเหุตุที่ไม่เจอนั้นเพราะอะไร เพราะเท่าที่ทราบ มีข้าราชการ การเมืองระดับสูง อย่างนั้อย 2 คน ที่มีส่วนร่วมในการบงการด้วย
ส่วนคณะกรรมการตรวจสอบที่มีการตั้งขึ้นนั้น นายสุริยะใส กล่าวว่า ถือเป็นเรื่องที่ดีเราไม่ปฏิเสธ แต่พันธมิตรฯ ยังเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม และกลไกตามรัฐธรรมนูญมากกว่า และเชื่อว่าหลักฐานมี่มีอยู่จะนำไปสู่การนำคนผิดไปลงโทษได้
รพ.วชิรฯถวายรายงานฉ.1 พระราชินี
นพ.ชัยวัน เจริญโชคทวี ผอ.โรงพยาบาลวชิรพยาบาล เปิดเผยว่า ผู้บาดเจ็บที่ยังพักรักษาตัวอยู่ที่ รพ.วชิรพยาบาล วานนี้เหลือ 9 รายจากเดิม 11 ราย โดยวานนี้กลับบ้านไป 2 ราย สำหรับผู้ที่พักรักษาตัวอยู่ขณะนี้ส่วนใหญ่อาการดีขึ้นเป็นลำดับ ทั้งนี้ รพ.วชิรพยาบาล ได้ส่งรายงานฉบับที่ 1 ไปยังกองราชเลขาธิการในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เรียบร้อยแล้ว
สำหรับผู้ต้องการร่วมบริจาคเงินช่วยเหลือกรณีผู้บาดเจ็บจากเหตุสาธารณภัย สามารถโอนมาได้ที่บัญชีมูลนิธิวชิรพยาบาล บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาย่อยสามเสน เลขบัญชี 073-2-06483-3
ชี้ "ธัญญา" อาการยังเหมือนเดิม
นพ.วันชัย กล่าวต่อว่า สำหรับผู้ที่ยังต้องอยู่ในห้องไอซียู คือ นายธัญญา กุลแก้ว ซึ่งอาการเหมือนเดิมไม่รู้สึกตัว แต่ไม่มีอะไรเลวร้ายลง ซึ่งในรายของนายธัญญา มีการประเมินผลทุกวัน เพราะกลัวผลแทรกซ้อนจากการไม่รู้สึกตัว ขณะนี้ตรวจด้วยวิธีพิเศษทุกวัน เช่น เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ สมอง หัวใจ ปอด ปัสสาวะ บาดแผล โดยมุ่งหวังว่าจะสามารถป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากการไม่รู้สึกตัว เหตุผลที่ประเมินทุกวันเพราะเป็นภาวะวิกฤติและบาดแผลสกปรกมากมีโอกาสติดเชื้อสูง และผ่านภาวการณ์เสียเลือดมากทิ้งระยะเวลายาวนานพอสมควร ซึ่งจะมีผลต่อหัวใจและสมอง แพทย์ได้พยายามป้องกัน
ส่วนผลเอกซเรย์สมองก็พบภาวะสมองบวมกับกะโหลกแตก ซึ่งเป็นภาวะเดิม ๆ ตั้งแต่เริ่มต้น ตอนนี้พยายามรักษาสมองให้ยุบบวมลง คาดว่าถ้ายุบลงภาวะหัวใจดีขึ้น ก็น่าจะฟื้นขึ้น ส่วนหากฟื้นขึ้นมาแล้วจะเป็นอย่างไร ในทางการแพทย์ถือว่าบาดเจ็บหลายอวัยวะพร้อมกัน เป็นภาวะผลกระทบต่อร่างกายอย่างรุนแรง ซึ่งหลังหายจากบาดเจ็บแล้วไม่เหมือนเดิมแน่นอน แต่ต้องประเมินอีกครั้ง
สำหรับ น.ส.นาฏยา ธิยา ยังอยู่ในเบิร์นยูนิต รู้สึกตัวดี อาการโดยทั่วไปดีขึ้นกว่าเดิม แต่บาดแผลยังมีลักษณะความรุนแรงของบาดแผล กระดูกหักที่ขาก็ยังมีลักษณะน่าเป็นห่วง ด้านนายประภาส ศรีสุพัฒนกุล ซึ่งเพิ่งย้ายเข้าไปไอซียูอาการทั่วไปเหมือนเดิมและภาวการณ์ติดเชื้อที่คาดว่าจะมีเกิดขึ้นจากบาดแผล ขณะนี้รอผลการเพาะเชื้อ และได้ให้ยาฆ่าเชื้อโรคไปแล้ว โดยทั่วไปอาการไม่เลวร้ายลงกว่าเดิม ส่วน ส.ต.อ.จักรา ขันธชัย อาการดีขึ้นมาก สามารถย้ายออกจากห้องไอซียูไปอยู่ตึกศัลยกรรมพิเศษได้แล้ว ยังพูดไม่ได้เพราะยังเจาะคอและให้อาหารทางสายยางอยู่ แต่ถือว่ารอดพ้นจากอาการวิกฤตแล้ว
เริ่มให้อาหารทางสายยาง"ตี๋-ชิงชัย"
นพ.ธันต์ สุภัทร์พันธุ์ ผอ.โรพยาบาลรามาธิบดี กล่าวถึงอาการล่าสุดของนายชิงชัย อุดมเจริญกิจ หรือ ตี๋ ศิลปินอิสระ ที่ได้รับบาดเจ็บมือขวาและลำคอ หลอดลมฉีกขาดว่า วานนี้นายชิงชัยยังคงรักษาตัวในห้องไอซียู มีอาการไข้ต่ำๆ แพทย์เริ่มให้อาหารทางสายยางได้ รวมทั้งลดการใช้เครื่องช่วยหายใจ แต่ต้องเฝ้าติดตามอาการอย่างใกล้ชิด เนื่องจากมีโอกาสที่เกิดอาการแทรกซ้อนได้ โดยได้วางแผนเย็บซ่อมแซมหลอดลมที่ฉีกขาด ซึ่งต้องรอให้หลอดลมที่ยังมีอาการบวมก่อน
"ต้องดูอีกทีว่าจะสามารถซ่อมหลอดลมได้มากน้อยแค่ไหน จริงๆ แล้วขณะนี้ผู้ป่วยสามารถพูดได้ แต่ไม่มีเสียง แม้กล่องเสียงจะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก แต่ผู้ป่วยยังไม่มีแรงทำให้ไม่สามารถเปล่งเสียได้ อย่างไรก็ตาม นายชิงชัยคงไม่เป็นปกติ 100% ต้องสูญเสียสมรรถภาพบางส่วน แต่จะมากน้อยแค่ไหนจะต้องดูอาการต่อไป แต่ที่แน่ชัดแล้วคือผู้ป่วยต้อสูญเสียมือขวาไป"
นพ.ธันต์ กล่าวต่อว่า ส่วนผู้ป่วยรายอื่นๆ อาการดีขึ้น รวมยังคงมีผู้ป่วยนอนรักษาตัวโรงพยาบาลทั้งสิ้น 6 คน ออกจากโรงพยาบาลในวันนี้ 4 คน ทางโรงพยาบาลได้ตั้งคณะกรรมการเพื่อดูแลเรื่องการจัดการเงินพระราชทานของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับผู้ได้รับบาดเจ็บด้วย
"รุ่งทิวา" อาการคงเดิม
นพ.ธีรพงศ์ เจริญวิทย์ รักษาการ ผอ.โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กล่าวว่า ขณะนี้อาการของนางรุ่งทิวา ธาตุนิยม ยังคงเหมือนเดิมทุกประการ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เนื่องจากการผ่าตัดทางสมองต้องใช้ระยะเวลาในการเฝ้าสังเกตอาการนาน ไม่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้ แต่ต้องเฝ้าติดตามอาการอย่างใกล้ชิดวันต่อวัน