xs
xsm
sm
md
lg

ด่วน! ปรับใหญ่ ครม.ไปไม่รอด

เผยแพร่:   โดย: ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

สถานการณ์ล้อมปราบประชาชน และปลุกระดมอันธพาลของรัฐบาลไปทำร้ายร่างกายและฆ่าประชาชน ตลอดจนทำลายทรัพย์สินที่ใช้ในการจัดเวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่จังหวัดอุดรธานี ถือเป็นความอุกอาจ เหิมเกริม และย่ำยีกฎหมายบ้านเมืองด้วยความเลวทรามต่ำช้า ประเทศชาติได้กลายเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนตกต่ำถึงขีดสุด

นายสุพจน์ เลาวัณย์ศิริ
ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี ได้ออกแถลงการณ์เมื่อวันจันทร์ที่ 28 กรกฎาคม 2551 สรุปใจความว่าจะต้องมีการดำเนินคดีอย่างเด็ดขาด จึงขอให้ประชาชนที่มีภาพถ่ายเหตุการณ์วิดีโอ ขอให้ส่งมาทางจังหวัด จะได้เป็นหลักฐานดำเนินการกับผู้กระทำความผิดทุกราย และย้ำว่าไม่เคยห้ามคนที่ไม่ใช่ชาวอุดรธานี เดินทางมาชุมนุมที่จังหวัดอุดรธานี

แม้จะเป็นแถลงการณ์ที่เข้มแข็งและมีความตั้งใจของผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี ที่มีอายุราชการเหลืออีกเพียงแค่ 2 เดือนก่อนเกษียณ แต่ภารกิจในแถลงการณ์นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยเมื่อคนไทยส่วนใหญ่ไม่สามารถไว้วางใจอำนาจของรัฐบาลได้

แกนนำที่นำอันธพาลมาทำร้ายประชาชนที่ชื่อ นายอุทัย แสนแก้ว สมาชิกพรรคพลังประชาชน น้องชายนายธีระชัย แสนแก้ว รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในขณะที่นายขวัญชัย สาระคำ (นายขวัญชัย ไพรพนา) แกนนำอีกหนึ่งคนมีตำแหน่งทางการเมืองกินเงินเดือนจากภาษีประชาชนเป็นประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และเป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง

สำทับด้วยหลักฐานเป็นภาพวิดีทัศน์ที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง คาดหัวด้วยผ้าสีแดง เพื่อเป็นกำลังใจให้กับกลุ่มมวลชนของนายขวัญชัยอย่างชัดเจน

ความโยงใยของกลุ่มอันธพาลการเมืองกับนักการเมืองที่ยังบริหารบ้านเมืองอยู่ในเวลานี้เราจะยังไว้ใจเจ้าหน้าที่ตำรวจ และเจ้าหน้าที่รัฐ ได้อยู่หรือไม่?

การปล่อยอันธพาลของรัฐบาลล้อมปราบทำร้ายร่างกาย และพยายามเข่นฆ่าประชาชนอย่างโหดเหี้ยม ด้วยอาวุธ มีด ขวาน ท่อนเหล็ก ท่อนไม้ ไม้หน้าสามตอกตะปูโผล่ปลายแหลม ต่อหน้าเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ก็ดี การเตรียมรถเก็บศพ รถพยาบาล เรือเก็บคนเจ็บในหนองประจักษ์ การดับไฟฟ้า ตลอดจนการปิดกั้นไม่ให้ผู้สื่อข่าวเข้าไปในช่วงระยะเวลาการขนส่งผู้ได้รับบาดเจ็บนั้น ทำให้ประชาชนจำนวนมากย่อมสงสัยได้ว่าเป็นขบวนการล้อมปราบและเข่นฆ่าประชาชนและมีผู้เสียชีวิต ใช่หรือไม่?

เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ การที่นายขวัญชัย สาระคำ และนายอุทัย แสนแก้วได้เข้ามอบตัวต่อผู้กำกับอุดรธานี หรือการลาออกจากตำแหน่งข้าราชการการเมืองก็ดี ย่อมถูกมองได้ว่าเป็นอุบายเพื่อ “เสียเบี้ยเพื่อรักษาขุน” ตัดตอนและอุ้มกันเอง

เหมือนกรณีก่อนหน้านี้ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจทำท่าขึงขังเพื่อดำเนินคดีกับนายจักรภพ เพ็ญแข
ในข้อหาดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ หลังจากนั้น นายจักรภพ เพ็ญแข ก็ได้ประกาศลาออกเพื่อรักษาขุน หลังจากกระแสข่าวเบาบางลงไม่นานก็โยกคดีนี้ไปให้พรรคพวกตัวเองดูแล เตะถ่วงคดี และโอบอุ้มกันเองในที่สุด

จึงไม่น่าแปลกใจที่แก๊งอันธพาลของรัฐบาลหุ่นเชิดขายชาติได้เข้ามอบตัวต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจอุดรธานี แล้วมีการแจ้งข้อหาว่าทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 215 ฐานมั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือไม่เกิน 2 ปี แล้วมีการปล่อยตัวโดยไม่ต้องมีหลักประกัน

ตามภาพที่ปรากฏในสื่อสารมวลชน ประชาชนย่อมเห็นชัดเจนว่านี่คือการวางแผนและการพยายามฆ่าประชาชนโดยไตร่ตรองเอาไว้ก่อน มีการเผาและทำลายทรัพย์สินของทางราชการและผู้อื่น โดยที่เจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่ยอมดำเนินคดีนี้แต่ประการใด ดังนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจพึงจะต้องระวังตัวให้ดี เพราะนอกจากจะต้องถูกดำเนินคดีฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 แล้ว การช่วยให้ผู้กระทำความผิดไม่ต้องรับโทษหรือรับโทษน้อยลง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 200 ซึ่งมีโทษจำคุกถึง 7 ปี เพราะเป็นการตั้งข้อหาที่ส่อไปในทางช่วยเหลือผู้กระทำความผิด และยังละเว้นตัดตอนไม่เอาผู้กระทำความผิดอื่นมาดำเนินคดีอีกด้วย

ภาวะบ้านป่าเมืองเถื่อนที่เกิดขึ้นจนคนไทยและต่างชาติต้องออกแถลงการณ์ประณามรัฐบาลเป็นที่อับอายขายหน้าเป็นอย่างยิ่ง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่รัฐบาลจะต้องออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อให้ตัวเองรอดในทุกวิถีทาง

ประการแรก ได้เกิดกระแสข่าวสร้างความหวาดกลัวให้กับพี่น้องประชาชนของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ด้วยการตั้งขบวนการอันธพาลของรัฐบาลหุ่นเชิดขายชาติให้เตรียมทำร้ายและพยายามฆ่าประชาชนที่ชุมนุมอย่างโหดเหี้ยม แล้วประกาศภาวะฉุกเฉินเพื่อล้มกระดานโดยอ้างว่าประชาชนสองฝ่ายปะทะกัน

ประการที่สอง เดินหน้าที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อลบความผิดตัวเองและพวกพ้องที่ได้กระทำผิดสำเร็จไปแล้ว เพื่อดำรงสถานภาพของรัฐบาลให้ได้นานที่สุด

ประการที่สาม สร้างกลไกไม่ให้เกิดสุญญากาศทางการเมืองเกิดขึ้น ด้วยการดึงคนนอกที่ไม่ได้อยู่ในพรรคพลังประชาชน และไม่เคยอยู่ในคณะรัฐมนตรีมาก่อนมาเข้าร่วมกับคณะรัฐมนตรีเพื่อที่อย่างน้อยจะได้ทำหน้าที่รักษาการนายกรัฐมนตรีได้ โดยไม่ยอมให้เกิดสุญญากาศทางการเมืองเป็นอันขาด

ชื่อของ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ จึงได้ปรากฏเป็นข่าวว่าจะมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยโยกย้าย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ให้ไปอยู่ที่อื่น ซึ่งอาจไปเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข หรือรองนายกรัฐมนตรี

ส่วนกระแสข่าวเบื้องลึกที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิดก็คือการเชื้อเชิญ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จะมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หรือรองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง เพื่อหวังจะสยบแรงกระเพื่อมทางการทหาร ที่สำคัญหาก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณได้มาเป็นรองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง ด้วยความหวังว่าจะมาเป็นรักษาการนายกรัฐมนตรีแทนนายสมัคร สุนทรเวชได้อีกด้วย หากเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองด้วยขบวนการยุติธรรมในคดีใดคดีหนึ่ง

เรียกได้ว่าเป็นประโยชน์ต่างตอบแทนเรื่องส่วนตัวที่มีชาติเป็นเดิมพัน เพราะหากเป็นเช่นนี้ นายสมัคร สุนทรเวช อาจจะมั่นใจว่าตัวเองจะไม่ถูกรัฐประหารและสามารถอำพรางตัวเองในการรับใช้ระบอบทักษิณ แต่อีกด้านหนึ่ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ก็ได้ตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่สามารถปกป้องตำแหน่ง ผบ.ตร. ของน้องชายตัวเอง พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ และตำแหน่ง ผบ.ทบ.ของน้องรักตัวเอง พล.อ.อนุพงศ์ เผ่าจินดา ได้

เพราะเหตุนี้ใช่หรือไม่ พล.อ.อนุพงศ์ เผ่าจินดา จึงมองเรื่องการเสียดินแดนรอบปราสาทพระวิหารว่าเป็นเรื่อง “ไกลตัว” และให้สัมภาษณ์ในฐานะรอง ผอ.รมน. ปฏิบัติหน้าที่แทน ผอ.รมน.ต่อกรณีการล้อมปราบและฆ่าประชาชนว่าตัวเอง “ไม่มีอำนาจ” เพื่อเอาใจรัฐบาลแบบไม่ลืมหูลืมตา?

เป็นเพราะโครงการจัดซื้อจัดหา “รถหุ้มเกราะ” มันปิดหูจนไม่ได้ยินเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของประชาชนที่ถูกทำร้ายจากอันธพาลของรัฐบาลอย่างโหดเหี้ยม ใช่หรือไม่?

หรือเป็นเพราะตำแหน่งหน้าที่และการโยกย้ายข้าราชการในเดือนกันยายนนี้มันบังตาจนบอดมองไม่เห็นการสั่นคลอนความมั่นคงภายในของชาติ และการเสียดินแดนของชาติ ใช่หรือไม่?

การเคลื่อนไหวทางการเมืองทั้งสามประการของรัฐบาล ทั้งการใช้แก๊งอันธพาลของรัฐบาลทำลายพันธมิตรฯ แก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อฟอกตัวเอง และปรับ ครม.เพื่อรักษาเก้าอี้และสยบอำนาจทหารนั้น ย่อมไม่สามารถทำให้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก้มหัวยอมพ่ายแพ้ได้

เพราะถ้าหากมีแก๊งอันธพาลของรัฐบาลหุ่นเชิดชายชาติมาทำร้ายร่างกาย ชีวิต และทรัพย์สินของพี่น้องพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยแล้ว ก็เชื่อได้ว่าพี่น้องประชาชนคงจะไม่อยู่เฉยและมีสัญชาตญาณที่จะใช้สิทธิเพื่อปกป้องตัวเองอย่างถึงที่สุด ด้วยจำนวนประชาชนที่เพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมเป็นหลายเท่าทวีคูณ

รัฐบาลอาจจะได้เห็นทหารหาญอย่างชนิดไม่คาดคิดมาก่อนว่าพร้อมจะยืนอยู่ข้างประชาชน!

สำคัญยิ่งกว่าคือกฎแห่งกรรมที่ต้องตระหนักอยู่เสมอว่า ชีวิตพี่น้องพันธมิตรฯ 1 คน ก็มีลมหายใจไม่ต่างจากชีวิต ลูกๆ ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ลูกๆ ของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ที่หากทำอะไรที่เลวร้ายต่อชีวิตของพี่น้องพันธมิตรฯ แล้ว จะต้องระวังว่ากรรมจะตามทันอย่างทุกข์ทรมานที่สุดไปตลอดชีวิตเอาไว้ด้วย


ส่วนความฝันของรัฐบาลที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อฟอกความผิดของตัวเอง ก็ต้องขอเชิญเข้าสู่กระบวนการถอดถอน และการวินิจฉัยของคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่จะต้องวินิจฉัยและยุบพรรคการเมืองทั้งหลายที่กำลังจะแก้ไขกฎหมายที่เป็นผลประโยชน์ทับซ้อน งานนี้ประชาชนจะได้ล้างนักการเมืองน้ำเน่าๆ ได้อีกจำนวนมากให้พ้นไปจากการเมืองไทย

ส่วนความฝันของรัฐบาลที่พยายามนำ “คนนอก” มาเพื่ออำพรางดำรงระบอบทักษิณให้คงอยู่ต่อไปพร้อมๆ กับการรักษาอำนาจตัวเอง “คนนอก” ทั้งหลายที่กำลังจะเข้าสู่การเมืองในระบอบทักษิณเหล่านั้นระวังจะต้องกลายเป็นเป้าหมายต่อไปในการถูกกำจัดไปพร้อมกับระบอบทักษิณในที่สุด
กำลังโหลดความคิดเห็น