ผู้จัดการรายวัน - คกก.สิทธิมนุษยชนแห่งชาติวางกรอบลากคอผู้บังคับบัญชา 7 ตุลาฯ ฆ่าประชาชน ไม่เว้นนักการเมือง หมอพรทิพย์เผยพบสาร RDX สารร้ายแรงประกอบระเบิด แฉตำรวจชั้นผู้ใหญ่สรุปไม่ลุยแต่ฝ่ายการเมืองบีบ แถมสั่งให้สลายตั้งแต่ตี 2 แต่ ผบ.ตร.ต่อรองเป็น 6 โมงเช้า เด็กบิ๊กจิ๋วโต้ลูกพี่ไม่ได้สั่งสลายผู้ชุมนุม ส่วน "โกวิท" บอกจะลุยต่อพร้อมหนุนพฤติกรรม "สล้าง" ขณะที่ ผบช.น.เริ่มใจฝ่อ เปิดใจกับลูกน้องบอกเสียใจ
วานนี้ (13 ต.ค.) ที่สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ นายเสน่ห์ จามริก ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยภายหลังร่วมประชุมคณะกรรมการตรวจสอบกรณีสลายการชุมนุม เมื่อวันที่ 7 ต.ค.ชุดใหญ่ว่า ขอบข่ายในการตรวจสอบจะไม่ตรวจเพียงปัญหาความรุนแรง ความสูญเสียที่เกิดขึ้นจากเหตุสลายการชุมนุม ซึ่งปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาทางการเมือง แต่จะตรวจสอบรวมไปถึงการสั่งการของผู้บังคับบัญชา ซึ่งตรงนี้ในระดับอนุกรรมการฯได้เร่งทำงานตรวจสอบเพื่อให้ประชาชน และสื่อมวลชนรับทราบข้อเท็จจริง และผ่อนคลายความวิตกกังวลเรื่องความสูญเสีย หลังจากนี้จะเชิญผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย โดยเฉพาะตำรวจระดับผู้บังคับบัญชา มาให้ข้อมูล ซึ่งต้องดูวันที่สะดวกทั้ง 2 ฝ่าย ก่อนจะสรุปพิจารณาว่าจะดำเนินการตามกฎหมายแก่ผู้กระทำผิดอย่างไรต่อไป ซึ่งถือเป็นแนวทางคณะกรรมการสิทธิฯ ต้องตรวจสอบหาความเป็นจริง
อย่างไรก็ตาม นายเสน่ห์ ย้ำว่าการตรวจสอบจะอยู่ในความรับผิดชอบ 2 ระดับ คือ 1.ผู้บังคับบัญชา 2.ความรับผิดชอบทางการเมือง หากพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องก็จะเชิญมาให้ข้อมูลด้วย
"การตรวจสอบคดีสำคัญๆ หลายคดี นักการเมือง ซึ่งการที่คณะกรรมการสิทธิฯมีการเชิญนักการเมืองบางคนมาให้ข้อมูลที่ผ่านมายังไม่ให้ความร่วมมือเท่าที่ควร แต่ในครั้งนี้คาดหวังว่านักการเมืองเหล่านั้นจะให้ความร่วมมือมาให้ข้อมูลเปิดเผยข้อเท็จจริง"
ทั้งนี้ การทำงานต้องประเมินเป็นช่วงๆ ซึ่งผู้ที่คณะกรรมสิทธิฯ เชิญมาไม่ได้เชิญมาฐานะจำเลยหรือปรักปรำ แต่จะเชิญมาเพื่อหารือประสานงานกันเพื่อให้เกิดความเข้าใจ ซึ่งคณะกรรมการสิทธิฯ ให้เกียรติทุกฝ่ายเสมอ
พบสารร้ายแรงประกอบระเบิด
พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม ในฐานะหนึ่งในคณะกรรมการ เปิดเผยก่อนเข้าร่วมประชุมกับคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติว่า จากการตรวจสอบยิงแก๊สน้ำตาพบสาร RDX ซึ่งเป็นสารร้ายแรงประกอบระเบิด จากการทดลองพบว่า แก๊สน้ำตาชนิดยิงและขว้างจากประเทศจีนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้สลายการชุมนุมเมื่อ 7 ต.ค.ที่ผ่านมาที่บริเวณหน้ารัฐสภา พบมีสาร RDX ฟุ้งกระจาย ซึ่งขณะนี้พบต้นตอของสาร RDX แล้ว ซึ่งสาร RDX ไม่มีในแก๊สน้ำตาของอเมริกา และของสเปน
นอกจากนี้ ตนได้นำชิ้นส่วนของปลอกกระสุนแก๊สน้ำตาที่พันธมิตรฯ นำมาให้แล้ว พบว่าเป็นชนิดเดียวกับของจีน ซึ่งเป็นชนิดที่มีการยิงแก๊สน้ำตามากที่สุดในวันที่ 7 ต.ค. อย่างไรก็ตาม วงกระแทกของแผลที่เกิดจากสาร RDX จะมีลักษณะเฉพาะเป็นวงกลม ซึ่งเมื่อเปรียบกับแผลของ น.ส.อังคณา ระดับปัญญาวุฒิ (น้องโบว์) ก็พบว่าตัวลูกยิงแก๊สน้ำตาจากจีนกับแผลใกล้เคียงกัน ขนาดเท่ากัน
“ได้ให้ข้อมูลทั้งหมดกับคณะกรรมการสิทธิฯ แล้ว แต่เปิดเผยให้สื่อทราบยังไม่ได้ ซึ่งข้อมูลการใช้แก๊ส พบว่าผู้ใช้ไม่ได้เป็นผู้จัดซื้อแก๊สน้ำตาจากจีน แต่มีผู้จัดหามาให้ ซึ่งไม่รู้ก่อนนำมาใช้ได้ทดลองก่อนหรือเปล่า เชื่อว่าผู้นำมาใช้ไม่รู้ว่าถืออะไรอยู่ในมือ และตำรวจได้บอกหมอว่าขณะนี้ไม่มีแก๊สน้ำตาชนิดที่เคยสั่งซื้อเมื่อปี 2538 อยู่ในคลังเก็บอาวุธแล้ว เพราะมีการเบิกไปใช้หมดแล้ว แต่ละหน่วยก็ไม่มีเก็บแก๊สน้ำตาจากจีนไว้” พญ.คุณหญิงพรทิพย์ กล่าว
ด้านนายสุรศรี โกศลนาวิน กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า การทดลองยิงแก๊สน้ำตามีความรุนแรงทั้งหมดชัดเจนอยู่แล้ว ซึ่งที่ผ่านมา 6 วันก็สรุปเบื้องต้นแล้ว อย่างไรก็ตามจะเชิญผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ และเจ้าหน้าที่ตำรวจ มาให้ข้อมูลก่อนสรุปข้อมูลนำเสนอคณะกรรมการชุดใหญ่ต่อไป
นายสุรศรีเปิดภายอีกครั้งหลังประชุมร่วมคณะกรรมการสิทธิฯชุดเล็กว่า ในเบื้องต้นได้ตรวจพิสูจน์ในสถานที่เกิดเหตุแล้ว พบวัสดุทดลองยิงแก๊สน้ำตารุนแรงจริง ส่วนความชัดเจนว่าคณะกรรมการสิทธิฯ จะเป็นตัวแทนฟ้องร้องเจ้าหน้าที่รัฐหรือไม่ คงต้องรอพยานหลักฐานบางส่วน
ฝ่ายการเมืองบีบตำรวจสลายม็อบ
พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ยังได้ให้สัมภาษณ์ในรายการ "เจาะลึกทั่วไทย" เอฟ เอ็ม 98 เมกะเฮิร์ตซ์ โดยได้เล่าเหตุการณ์ในช่วงบ่ายวันที่ 7 ต.ค.ว่า พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.เชิญไปร่วมประชุมกับคณะกรรมการประเมินสถานการณ์ร่วมฯ โดยกล่าวว่า
“ทราบข้อมูลเกี่ยวกับการสลายการชุมนุมในวันนั้นว่า ตำรวจชั้นผู้ใหญ่สรุปว่าจะไม่ลุย แต่ก็โดนฝ่ายการเมืองบีบมาอีกที และยังทราบว่าผู้บังคับบัญชาสั่งการลูกน้องในพื้นที่ไม่ได้ และตั้งแต่วันนั้น ผบ.ทบ.ขอให้ไปช่วยทำงานมันก็ล่าช้า จน ผบ.ทบ.ถามว่าทำไมไม่ทำงานเสียที ก็ตอบไปว่า บช.น.ไม่ตอบสนองเลยในตอนนั้น จากนั้น ผบ.ตร.จึงแต่งตั้งคณะกรรมการชุดดังกล่าวที่มีหมออยู่ด้วยขึ้นมา และทราบว่าตำรวจชั้นผู้ใหญ่สั่งลูกน้องไม่ได้ เพราะมีมาสเตอร์มายด์ เพราะโดนฝ่ายการเมืองบีบให้ลุยตั้งแต่ตอนตี 2 แต่ ผบ.ตร.ต่อรองว่า ควรดำเนินการในช่วง 6 โมงเช้า”
เมื่อถามว่า ผู้สั่งการในวันนั้น คือ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายกฯ ในขณะนั้น และ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รมว.มหาดไทย พญ.คุณหญิงพรทิพย์ กล่าวว่า ตนไม่ขอพูด เพราะเป็นข้อมูลจากการรายงานในที่ประชุม เพราะอาจมีคนสั่งการมากกว่าสองคน และขอให้ไปสอบถาม ผบ.ตร.ดีกว่า
พญ.คุณหญิงพรทิพย์ กล่าวว่า ข้อมูลข้างต้นนั้นเป็นการพูดคุยกันนอกรอบการประชุม และตนไม่ทราบว่าใครสั่งใครแต่เท่าที่ทราบนั้นผู้บัญชาการเหตุการณ์ในวันนั้นมีหลายคน ฉะนั้นสิ่งที่ตนสรุปจากผลการประชุมในวันนั้นคือ 1. วันนั้นทำไมมีเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายชุด และหลายเครื่องแบบ โดยหนึ่งในนั้นคือตำรวจตระเวนชายแดน 2.อาวุธและแก๊สน้ำตาเบิกมาจากหน่วยใด 3.ผู้ปฏิบัติการในวันนั้นเคยผ่านการฝึกหรือไม่ 4.ผู้ใหญ่บางคนในที่ประชุมวันนั้น ตั้งข้อสังเกตว่า วันนั้นยิงเพียงสามนัดก็พอ ทำไมยิงเป็นร้อยนัดแบบนั้น 5.คำสั่งในวันนั้นใครสั่ง 6.เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการในวันนั้นทำไมประเมินว่าสลายการชุมนุมช่วงเช้าแล้ว ทำไมต้องสลายต่อในช่วงเย็นด้วย เรื่องเหล่านี้หลายคนอิหลักอิเหลื่อที่จะพูด แต่ข้าราชการควรพูดความจริงกันได้แล้วว่าใครสั่ง
เด็กจิ๋วโต้ลูกพี่ไม่ได้สั่งสลายผู้ชุมนุม
นายชวลิต วิชยสุทธิ์ ส.ส.ระบบสัดส่วน พรรคพลังประชาชน ในฐานะคณะทำงานของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายกรัฐมนตรี แถลงว่าที่มีข่าวออกมาว่า พล.อ.ชวลิต สั่งการให้สลายการชุมนุมจนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บนั้นไม่เป็นความจริง ตนและ ส.ส.ของพรรคพลังประชานหลายคนที่อยู่ในเหตุการณ์ ยืนยันว่าในการประชุม ครม.เมื่อคืนวันที่ 6 ต.ค.ซึ่งพันธมิตรฯ ปิดล้อมรัฐสภา และได้มีการเรียกประชุม ครม.เป็นการด่วน พล.อ.ชวลิต พยายามแก้ปัญหาด้วยสันติวิธี ได้เสนอทางออกต่อที่ประชุม ครม.ด้วยการให้กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ 3-4 กองร้อย รักษารัฐสภาเพื่อป้องกันไม่ให้มีการบุกรุกเข้าไปทำลายทรัพย์สินของทางราชการ หรือให้ย้ายสถานที่ประชุมรัฐสภาไปที่อื่น เช่น หอประชุมกองทัพไทย ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ซึ่งก็มีรัฐมนตรีหลายคนอภิปรายสนับสนุนอ้างอุทาหรณ์เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 และ 6 ตุลาคม 2516 รวมทั้งนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกฯ ก็อภิปรายสนับสนุนด้วย ในขณะเดียวกันก็มีรัฐมนตรีหลายคนอภิปรายไม่เห็นด้วย เพราะเห็นว่ารัฐบาลถูกยึดทำเนียบฯ ไปแล้ว หากรัฐสภาถูกยึดไปอีกบ้านเมืองก็จะไม่มีขื่อมีแป
นายชวลิตกล่าวว่า หลังจากได้ประสานไปยังนายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา ก็ได้รับคำยืนยันว่าจะต้องประชุมตามวัน เวลาและสถานที่ที่กำหนดไว้ไม่เปลี่ยนแปลง ครม.จึงมอบหมายให้ พล.อ.ชวลิตรับผิดชอบดูแล พล.อ.ชวลิตก็เดินทางไปยัง บช.น.โดยให้นโยบายไปว่าให้เจรจากับกลุ่มพันธมิตรฯ ด้วยความละมุมละม่อม เพื่อให้สมาชิกรัฐสภาเข้าไปประชุมรัฐสภาได้ หากไม่สามารถปฏิบัติได้ก็ขอให้ยุติ ไว้ก่อน ซึ่งเห็นได้ชัดเจนว่าพล.อ.ชวลิตไม่ได้เป็นผู้ให้ใช้ ความรุนแรง คำสั่งการสลายการชุมนุมไม่ใช่คำสั่งของ พล.อ.ชวลิต แต่เมื่อเกิดมีการปะทะกันจนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก พล.อ.ชวลิต จึงยื่นใบลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบ
ผู้สื่อข่าวถามว่าในเมื่อ พล.อ.ชวลิต ยืนยันว่าไม่ได้สั่งการให้สลายการชุมนุม แล้วใครเป็นคนสั่งการ เป็นรัฐมนตรีที่เคยเป็นตำรวจใช่หรือไม่ นายชวลิต กล่าวว่า เป็นเรื่องที่เกินกว่าตนจะตอบได้ แต่รัฐมนตรีที่เป็นตำรวจก็มีอยู่ไม่กี่คน ทั้งนี้คิดว่า การไม่ปฏิบัติตามนโยบายของ พล.อ.ชวลิตนั้น ตนไม่ได้คิดว่ามีการหักหลังเกิดขึ้น เข้าใจว่าตำรวจทำตามหน้าที่ แต่ไม่อยากคาดเดาว่าสาเหตุเกิดจากอะไร ทั้งนี้ พล.อ.ชวลิต ก็เห็นด้วยกับนายสมชายที่ออกโทรทัศน์ชี้แจงเมื่อคืนวันที่ 12 ต.ค. โดยบอกว่าที่ยินดีจะเจรจากับพันธมิตรฯ เพื่อสร้างความปรองดองและยุติปัญหาที่มีอยู่มาอย่างยาวนานให้หมดสิ้นไป
พล.ต.อ.โกวิทไม่สนเดินหน้าต่อ
พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รมว.มหาดไทย กล่าวว่าแม้จะมีการชุมนุมขับไล่รัฐบาล แต่รัฐบาลก็จะพยายามเดินหน้าต่อไป จะถอยหลังไม่ได ซึ่งรัฐบาลก็เร่งทำความเข้าใจ สร้างความสมานฉันท์ ความอดทน อย่างที่นายกรัฐมนตรี ได้ทำเป็นตัวอย่าง คือมีความอดทน ความเสียสละ จึงอยากให้ทุกคนช่วยกัน ไม่อย่างนั้นบ้านเมืองเราก็อยู่ไม่ได้
ส่วนที่จะมีคนเดินทางเข้ามาร่วมชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรฯนั้น พล.ต.อ.โกวิท กล่าวว่า อย่าไปกังวล ตนเชื่อว่าสถานการณ์ต่างๆจะเริ่มดีขึ้นตามลำดับ ประชาชน ก็ต้องฟังและมีสติ ซึ่งตนได้เรียนให้ทราบแล้ว ไม่ว่าเป็นผู้ใดก็ตามจะต้องใช้สติในการรับฟัง ใครมาหลอกให้เราทำอะไรก็อย่าไปเชื่อ ไม่เช่นนั้นบ้านเมืองก็จะเสียหายหมด
"เรามีหน้าที่เราต้องทำให้มันดีขึ้น เป็นหน้าที่ของผม เพราะว่าผมเป็นรัฐบาล ถ้าผมไม่มีความเชื่อมั่นว่าจะสามารถทำให้ดีขึ้นได้ เราก็ไม่ควรจะอยู่ ในเมื่อเราอยู่เราก็ต้องทำให้มันดีขึ้น"
ส่วนที่ พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค อดีตรองอธิบดีกรมตำรวจ เคลื่อนไหวระดมคนทวงคืนทำเนียบรัฐบาลนั้น พล.ต.อ.โกวิท กล่าวว่า ก็เป็นเรื่องที่ดีที่อดีตตำรวจ มีความห่วงใยส่วนการเสนอแนวทางแก้ปัญหาต่างๆก็อาจจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ก็แล้วแต่เพราะว่าแต่ละคนก็เป็นห่วงบ้านเมืองไม่อยากให้ตำรวจถูกดูหมิ่นดูแคลน ซึ่งนั้นก็เป็นเพราะความรักความผูกพัน เพราะว่าท่านก็อยากให้ตำรวจยืนอยู่อย่างมีเกียรติ และเป็นที่ยอมรับของสังคม ก็อย่าไปมองเป็นเรื่องการขัดแย้งความแตกต่าง แต่ต้องเข้ามาช่วยกันแก้ไขปัญหาบ้านเมือง ไม่ว่าใครจะพูดจะคิดอะไรก็เป็นเรื่องที่ดีและมีประโยชน์
ผบ.ตร.เพ้อตำรวจต้องรับใช้ ปชช.
วานนี้ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.ได้เป็นประธานในพิธีวางพานพุ่มสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้ารัชกาลที่ 4 เนื่องในวันตำรวจ 13 ตุลาคม โดยมี รอง ผบ.ตร.และผู้ช่วยผบ.ตร.ทุกคน ร่วมพิธี โดย พล.ต.อ.พัชรวาท กล่าวภายหลังว่า ท่ามกลางวิกฤตในวันตำรวจในปีนี้ ตนอยากฝากความห่วงใยไปถึงข้าราชการตำรวจทั่วประเทศ ขอย้ำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกนายทำหน้าที่ในการดูแลพี่น้องประชาชนและสถาบันตำรวจ ให้ทุกคนระลึกว่าหน้าที่ตำรวจต้องรับใช้ประชาชน สถาบัน และชาติบ้านเมือง ส่วนวิกฤติศรัทธาที่เกิดขึ้นกับตำรวจในปีนี้นั้น ขอเรียนว่าตำรวจเสียใจเป็นอย่างมาก ที่จำเป็นต้องทำการเปิดทางให้มีการประชุมสภาผู้แทนในวันที่ 7 ต.ค.ที่ผ่านมา
“ผมขอเรียนว่า ทุกคนในชาติเป็นคนไทยเหมือนกันทุกคน รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์เหมือนกันทุกคน อยากให้ทุกคนคำนึงถึงเรื่องนี้ให้มากขึ้น” พล.ต.อ.พัชรวาทกล่าว
“สุชาติ” ใจเริ่มฝ่อ รู้จักเสียใจ
เมื่อเวลา 15.30น. วานนี้ (13 ต.ค.) ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผบช.น. กล่าวอวยพรเจ้าหน้าที่ตำรวจเนื่องในวันตำรวจว่า ในวันนี้เป็นวันตำรวจขอให้ตำรวจทุกคนรับใช้ดูแลประชาชนให้ดีที่สุดปกป้องในชีวิตและทรัพย์สิน หากจะมีอะไรที่กระทบกระเทือนใจบ้างขอให้อดทน ส่วนอะไรที่มันเกิดขึ้นฐานะตนก็คือคนหนึ่งที่จะต้องแสดงความเสียใจขอโทษในสิ่งที่เกิดขึ้น ขอให้น้องๆ ที่มาช่วยงานไม่ต้องตกใจ ผู้บังคับบัญชาแต่ละคนต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ได้สั่งการลงไป
พล.ต.ท.สุชาติกล่าวต่อว่า หากถามว่าน้อยใจไหมที่ถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์คงไม่น้อยใจ แต่ถามว่าเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นไหม ขอตอบว่าเสียใจ เพราะว่าเป็นคนไทยด้วยกันทั้งนั้น และจริงๆ เราควรจะไปทำกับคนอื่นที่เป็นศัตรูของประเทศชาติมากกว่า สิ่งที่มันเกิดขึ้นก็ไม่รู้จะทำอย่างไร รอผลการตรวจสอบ ผลการพิสูจน์ดีกว่า
“กำลังใจขณะนี้ในส่วนตัวยังปกติ เป็นคนละส่วนกับหน้าที่ หน้าที่คือหน้าที่ ความรู้สึกคือความรู้สึก ต้องแยกแยะออกจากัน หน้าที่มีอย่างไรเราต้องปฏิบัติตรงนั้น แต่ความรู้สึกโกรธ เกลียด รัก ชอบ ถ้าเราสวมเครื่องแบบปฏิบัติหน้าที่เราต้องแยกให้ออก เหมือนกับเรารักญาติมิตร แต่ญาติมิตรเราไปทำผิดกฎหมาย เราก็ต้องบังคับใช้กฎหมายไปตามนั้น เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ไม่อย่างนั้นกระบวนการยุติธรรมที่เริ่มต้นจากตำรวจ เกิดอาการเป๋เสียแล้วก็คงลำบาก โดยเฉพาะจะเกิดอาการเป๋เพราะใจเราไม่ได้” พล.ต.ท.สุชาติกล่าวและว่า ตนขอยืนยันว่าจะบริการประชาชนไม่ว่าสาขาอาชีพใดเท่าเทียมกันหมด มีคนยังพูดทำนองว่าถ้าตำรวจเสียกำลังใจแล้วไม่ทำหน้าที่อะไรจะเกิดขึ้น ตนบอกว่าถ้าคิดอย่างนั้นก็ไม่ควรเป็นตำรวจ ตำรวจต้องทำจนกระทั่งสุดความสามารถ
พล.ต.ท.สุชาติกล่าวยังฝากบอกไปกับครอบครัวผู้เสียชีวิตว่า เสียใจ เสียใจจริงๆ เพราะว่าการสูญเสียเป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น แม้ขณะนี้คน 108 ปี อย่างปู่เย็น เฒ่าทระนง เป็นคนเพชรฯ ด้วยกัน แม้ไม่ใช่ครอบครัวตนก็ยังเสียใจต่อการจากไปของปู่เย็น และคนอื่นยังอยู่ในวัยที่ไม่ใช่วัยอันควรที่จะจากไป ซึ่งตนรู้สึกเสียใจจริงๆ
พล.ต.ท.สุชาติ ยังกล่าวถึงการตรวจสอบของคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเหตุการณ์วันที่ 7 ตุลาคมว่า ถ้าผลออกมาอย่างไรเราต้องยอมรับตามนั้น คณะกรรมการฯ ถือว่าเป็นคนกลาง เป็นคนที่มีความยุติธรรมทุกอย่างดีแล้ว เราจะไปปฏิเสธกระบวนการยุติธรรมคงไม่ได้ เมื่อเขาตั้งคนกลางมีความรู้ที่สังคมยอมรับทั้งนั้น ผลออกมาอย่างไรต้องยอมรับ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่บอร์ดประชาสัมพันธ์ภายในกองบัญชาการตำรวจนครบาล เจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายประชาสัมพันธ์ได้นำภาพเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บพร้อมไปรษณียบัตรให้กำลังใจที่ได้รับมอบมาจากกลุ่มที่มาให้กำลังใจที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติรวบรวมมา ติดไว้เพื่อเป็นกำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ปฏิบัติด้วย
ทหารยังหวัง คกก.รัฐบาลชี้ขาด
พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผบ.สูงสุด ให้สัมภาษณ์ว่า กองทัพยังมีจุดยืนเหมือนเดิม คือ เป็นกองทัพของประชาชน และของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อยากให้ทุกคนหันหน้าเข้าหากัน เอื้ออาทรต่อกัน เพราะเราเป็นคนไทยด้วยกันทั้งนั้น ทั้งนี้ต้องดูสถานการณ์ต่อไปว่าจะเป็นอย่างไร ทุกอย่างอยากให้เป็นไปตามกระบวนการของกฎหมาย ซึ่งขณะนี้รัฐบาลตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบอยู่ จึงต้องรอดูว่าผลจะออกมาอย่างไร
ต่อข้อถามว่า แสดงว่ารัฐบาลจะต้องรับผิดชอบเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พล.อ.ทรงกิตติ กล่าวว่า รัฐบาลจะต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว เพราะรัฐบาลเป็นฝ่ายบริหารประเทศ
ส่วนที่พันธมิตรฯ ประกาศไม่ยอมรับการ ตรวจสอบของคณะกรรมการที่รัฐบาลตั้งขึ้น พล.อ.ทรงกิตติ กล่าวว่า เรื่องนี้ทั้งหมดฝ่ายบริหารจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ ผู้สื่อข่าวถามว่ากลุ่มพันธมิตรฯ ไม่พอใจกองทัพ พล.อ.ทรงกิตติ กล่าวว่า ไม่ทราบ แต่ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะแสดงความคิดได้หมด ทั้งนี้ ยอมรับว่า ผบ.เหล่าทัพได้มีการพูดคุยถึงสถานการณ์บ้านเมืองตลอด และมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ของแต่ละกองทัพเพื่อประเมินสถานการณ์บ้านเมือง
“ผมยืนยันคำเดิมว่า จะไม่มีเหตุการณ์การปฏิวัติเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ผบ.เหล่าทัพ ได้มีการพูดคุยกันแล้ว การทำปฏิวัติไม่ได้เกิดประโยชน์ ผบ.เหล่าทัพมีความเป็นเอกภาพและเป็นเสียงเดียวกันหมดใครจะพูดอะไรก็เหมือนกัน ตอนนี้มีเพียงข่าวปล่อยอย่างเดียว เดี๋ยวมีเรื่องนั้นเรื่องนี้เกิดขึ้นบ่อย ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้ไม่มีอะไรตื่นเต้น และยืนยันว่ากองทัพไม่ได้มีการออกแถลงการณ์อะไรทั้งสิ้น โดยเฉพาะข่าวที่ว่ากองทัพเตรียมแถลงการณ์เพื่อไม่สนับสนุนรัฐบาลในการบริหารประเทศ เพราะมันไม่ถูกกฎหมาย"
ปชป.ไม่เชื่อ กก.สอบอิสระจริง
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่าคำแถลงของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี เมื่อค่ำวันที่ 12 ต.ค.ถึงสถานการณ์ภายในประเทศขณะนี้ ว่า ยังไม่มีอะไรเพิ่มเติม และสิ่งที่ นายสมชาย พูดเป็นสิ่งที่เราได้ฟังนายสมชายพูดมาหลายครั้งแล้ว ซึ่งตนคิดว่า การแสดงความรับผิดชอบทางการเมืองเป็นเรื่องสำคัญ เพราะเมื่อเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงในประเทศที่เป็นประชาธิปไตย รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งต้องแสดงความรับผิดชอบ ในทางการเมือง มิฉะนั้นประชาธิปไตยเป็นเพียงแค่ฉาก ส่วนคณะกรรมการตั้งขึ้นมานั้น ตนกังวลว่าจะมีความเป็นอิสระอย่างแท้จริงได้อย่างไร เพราะถ้าผู้มีอำนาจเป็นผู้แต่งตั้งเอง คณะกรรมการก็ต้องรายงานกลับมายังคนที่แต่งตั้งด้วยแล้วจะสามารถ เอาข้อเท็จจริงจากผู้สั่งการมาได้อย่างไร ทั้งที่จริงแล้วต้องดูภาพใหญ่ในแง่ของการตัดสินใจในเชิงนโยบาย
เหลิมจะเอามือตบตบปาก พธม.
ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.สาธารณสุข กล่าวภายหลังการตรวจเยี่ยมกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) เมื่อวานนี้ (13 ต.ค.) ว่า ในฐานะที่รับราชการตำรวจมานาน 10 ปี ยืนยันว่าตำรวจทุกคนไม่มีเจตนาทำร้าย ฆ่าแกงประชาชน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นใครจะผิดหรือถูกก็คงต้องรอการสอบสวน หากผิดก็ต้องลงโทษ ทั้งนี้ การที่พันธมิตรฯ ปราศรัยว่า เกลียดตำรวจ ก็อยากขอให้ 4 นายพลตำรวจกับอีก 1 นายพลตำรวจที่ลาออกจากราชการแล้ว ไล่ให้ตำรวจพวกนี้ออกจากการวางแผน อย่ามาสิงสู่อยู่ในม็อบวางแผนเรื่องความปลอดภัยให้อีก
“ปากพันธมิตรบอกว่าเกลียด ไม่ชอบตำรวจ อยากจะเอามือตบไปตบปากพันธมิตรทุกคน ถ้าเกลียดตำรวจจริง ต้องไล่ 5 นายพลตำรวจ โดยมี 1 พล.ต.ต.ที่ลาออกจากราชการไปแล้ว ซึ่งถ้าไม่ลาออกจากราชการก็จะเกษียณในวันที่ 30 ก.ย.ที่ผ่านมา ส่วนอีก 4 พลตำรวจมี 1 พล.ต.ต.ตำแหน่งรองผู้บัญชาการ กับอีก 3 ตำแหน่งรองผู้บังคับการ ให้ออกมาจากการวางแผนให้พันธมิตรอย่ามาสิงสู่เช่นนี้อีก ไม่ได้ท้าทายแต่ถ้าออกมาได้ทุกอย่างจะดีขึ้น” ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวและว่า พธม.กล่าวหาว่า ตนไปไหนมาไหนก็บอกว่าปอดไม่กล้าไป ซึ่ง พธม.ทำอะไรควรเคารพสิทธิคนอื่นบ้าง อย่างนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ แกนนำ พธม. กล่าวหาว่าตนเองสั่งการไม่ให้แพทย์พยาบาลให้การช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ ที่ผ่านมาก็อดทนและยอมทุกเรื่องไม่อยากเอาเรื่องการเมืองมาเกี่ยวข้องกับ สธ. แต่การกล่าวเช่นนี้ทำให้ สธ.เสียหาย จึงอย่าคิดว่าตนเองยอมทุกเรื่อง พูดเกเรตนเองได้ แต่อย่าเกเรกระทรวง ดังนั้นต้องออกมาชี้แจงว่า จะให้การช่วยเหลือผู้บาดเจ็บเต็มที่ และไม่เคยคิด หรือสั่งการ เพราะหากสั่งการเช่นนั้น พวกหมอๆ คงไม่มีใครฟัง
“พันธมิตรต้องคำนึงถึงเศรษฐกิจบ้าง ว่าหุ้นตก คนก็เครียดเพิ่มขึ้นเท่าไหร่ ส่วนแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) จะมาชุมนุมกันก็เป็นสิทธิที่เขากระทำได้ เพราะออกมาประกาศแล้วว่าจะไม่ปะทะกัน หากพันธมิตรแสดงความเห็นได้ นปช.ก็แสดงความเห็นได้เช่นเดียวกัน” ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวและว่า ยังมีคนกล่าวหาว่านายสมชาย เป็นคนหน้าเนื้อใจเสือ วางแผนจับพล.ต.จำลอง ศรีเมือง อยากบอกว่าไม่มีใครวางแผนจับ
ส่วนการที่ พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค อดีต รองอธิบดีกรมตำรวจ ออกมาแสดงความคิดเห็นว่าจะยึดทำเนียบรัฐบาลคืน ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวว่า จริงๆ แล้ว พล.ต.อ.สล้างเป็นคนใจดี คงโมโหและพูดไปเช่นนี้ แต่คงไม่ทำจริง เพราะเป็นตำรวจเก่า เป็นมือปราบ เป็นครูฝึกหน่วยรบพิเศษ แต่คงรู้สึกอึดอัด“ ร.ต.อ.เฉลิมกล่าว.
วานนี้ (13 ต.ค.) ที่สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ นายเสน่ห์ จามริก ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยภายหลังร่วมประชุมคณะกรรมการตรวจสอบกรณีสลายการชุมนุม เมื่อวันที่ 7 ต.ค.ชุดใหญ่ว่า ขอบข่ายในการตรวจสอบจะไม่ตรวจเพียงปัญหาความรุนแรง ความสูญเสียที่เกิดขึ้นจากเหตุสลายการชุมนุม ซึ่งปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาทางการเมือง แต่จะตรวจสอบรวมไปถึงการสั่งการของผู้บังคับบัญชา ซึ่งตรงนี้ในระดับอนุกรรมการฯได้เร่งทำงานตรวจสอบเพื่อให้ประชาชน และสื่อมวลชนรับทราบข้อเท็จจริง และผ่อนคลายความวิตกกังวลเรื่องความสูญเสีย หลังจากนี้จะเชิญผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย โดยเฉพาะตำรวจระดับผู้บังคับบัญชา มาให้ข้อมูล ซึ่งต้องดูวันที่สะดวกทั้ง 2 ฝ่าย ก่อนจะสรุปพิจารณาว่าจะดำเนินการตามกฎหมายแก่ผู้กระทำผิดอย่างไรต่อไป ซึ่งถือเป็นแนวทางคณะกรรมการสิทธิฯ ต้องตรวจสอบหาความเป็นจริง
อย่างไรก็ตาม นายเสน่ห์ ย้ำว่าการตรวจสอบจะอยู่ในความรับผิดชอบ 2 ระดับ คือ 1.ผู้บังคับบัญชา 2.ความรับผิดชอบทางการเมือง หากพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องก็จะเชิญมาให้ข้อมูลด้วย
"การตรวจสอบคดีสำคัญๆ หลายคดี นักการเมือง ซึ่งการที่คณะกรรมการสิทธิฯมีการเชิญนักการเมืองบางคนมาให้ข้อมูลที่ผ่านมายังไม่ให้ความร่วมมือเท่าที่ควร แต่ในครั้งนี้คาดหวังว่านักการเมืองเหล่านั้นจะให้ความร่วมมือมาให้ข้อมูลเปิดเผยข้อเท็จจริง"
ทั้งนี้ การทำงานต้องประเมินเป็นช่วงๆ ซึ่งผู้ที่คณะกรรมสิทธิฯ เชิญมาไม่ได้เชิญมาฐานะจำเลยหรือปรักปรำ แต่จะเชิญมาเพื่อหารือประสานงานกันเพื่อให้เกิดความเข้าใจ ซึ่งคณะกรรมการสิทธิฯ ให้เกียรติทุกฝ่ายเสมอ
พบสารร้ายแรงประกอบระเบิด
พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม ในฐานะหนึ่งในคณะกรรมการ เปิดเผยก่อนเข้าร่วมประชุมกับคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติว่า จากการตรวจสอบยิงแก๊สน้ำตาพบสาร RDX ซึ่งเป็นสารร้ายแรงประกอบระเบิด จากการทดลองพบว่า แก๊สน้ำตาชนิดยิงและขว้างจากประเทศจีนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้สลายการชุมนุมเมื่อ 7 ต.ค.ที่ผ่านมาที่บริเวณหน้ารัฐสภา พบมีสาร RDX ฟุ้งกระจาย ซึ่งขณะนี้พบต้นตอของสาร RDX แล้ว ซึ่งสาร RDX ไม่มีในแก๊สน้ำตาของอเมริกา และของสเปน
นอกจากนี้ ตนได้นำชิ้นส่วนของปลอกกระสุนแก๊สน้ำตาที่พันธมิตรฯ นำมาให้แล้ว พบว่าเป็นชนิดเดียวกับของจีน ซึ่งเป็นชนิดที่มีการยิงแก๊สน้ำตามากที่สุดในวันที่ 7 ต.ค. อย่างไรก็ตาม วงกระแทกของแผลที่เกิดจากสาร RDX จะมีลักษณะเฉพาะเป็นวงกลม ซึ่งเมื่อเปรียบกับแผลของ น.ส.อังคณา ระดับปัญญาวุฒิ (น้องโบว์) ก็พบว่าตัวลูกยิงแก๊สน้ำตาจากจีนกับแผลใกล้เคียงกัน ขนาดเท่ากัน
“ได้ให้ข้อมูลทั้งหมดกับคณะกรรมการสิทธิฯ แล้ว แต่เปิดเผยให้สื่อทราบยังไม่ได้ ซึ่งข้อมูลการใช้แก๊ส พบว่าผู้ใช้ไม่ได้เป็นผู้จัดซื้อแก๊สน้ำตาจากจีน แต่มีผู้จัดหามาให้ ซึ่งไม่รู้ก่อนนำมาใช้ได้ทดลองก่อนหรือเปล่า เชื่อว่าผู้นำมาใช้ไม่รู้ว่าถืออะไรอยู่ในมือ และตำรวจได้บอกหมอว่าขณะนี้ไม่มีแก๊สน้ำตาชนิดที่เคยสั่งซื้อเมื่อปี 2538 อยู่ในคลังเก็บอาวุธแล้ว เพราะมีการเบิกไปใช้หมดแล้ว แต่ละหน่วยก็ไม่มีเก็บแก๊สน้ำตาจากจีนไว้” พญ.คุณหญิงพรทิพย์ กล่าว
ด้านนายสุรศรี โกศลนาวิน กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า การทดลองยิงแก๊สน้ำตามีความรุนแรงทั้งหมดชัดเจนอยู่แล้ว ซึ่งที่ผ่านมา 6 วันก็สรุปเบื้องต้นแล้ว อย่างไรก็ตามจะเชิญผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ และเจ้าหน้าที่ตำรวจ มาให้ข้อมูลก่อนสรุปข้อมูลนำเสนอคณะกรรมการชุดใหญ่ต่อไป
นายสุรศรีเปิดภายอีกครั้งหลังประชุมร่วมคณะกรรมการสิทธิฯชุดเล็กว่า ในเบื้องต้นได้ตรวจพิสูจน์ในสถานที่เกิดเหตุแล้ว พบวัสดุทดลองยิงแก๊สน้ำตารุนแรงจริง ส่วนความชัดเจนว่าคณะกรรมการสิทธิฯ จะเป็นตัวแทนฟ้องร้องเจ้าหน้าที่รัฐหรือไม่ คงต้องรอพยานหลักฐานบางส่วน
ฝ่ายการเมืองบีบตำรวจสลายม็อบ
พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ยังได้ให้สัมภาษณ์ในรายการ "เจาะลึกทั่วไทย" เอฟ เอ็ม 98 เมกะเฮิร์ตซ์ โดยได้เล่าเหตุการณ์ในช่วงบ่ายวันที่ 7 ต.ค.ว่า พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.เชิญไปร่วมประชุมกับคณะกรรมการประเมินสถานการณ์ร่วมฯ โดยกล่าวว่า
“ทราบข้อมูลเกี่ยวกับการสลายการชุมนุมในวันนั้นว่า ตำรวจชั้นผู้ใหญ่สรุปว่าจะไม่ลุย แต่ก็โดนฝ่ายการเมืองบีบมาอีกที และยังทราบว่าผู้บังคับบัญชาสั่งการลูกน้องในพื้นที่ไม่ได้ และตั้งแต่วันนั้น ผบ.ทบ.ขอให้ไปช่วยทำงานมันก็ล่าช้า จน ผบ.ทบ.ถามว่าทำไมไม่ทำงานเสียที ก็ตอบไปว่า บช.น.ไม่ตอบสนองเลยในตอนนั้น จากนั้น ผบ.ตร.จึงแต่งตั้งคณะกรรมการชุดดังกล่าวที่มีหมออยู่ด้วยขึ้นมา และทราบว่าตำรวจชั้นผู้ใหญ่สั่งลูกน้องไม่ได้ เพราะมีมาสเตอร์มายด์ เพราะโดนฝ่ายการเมืองบีบให้ลุยตั้งแต่ตอนตี 2 แต่ ผบ.ตร.ต่อรองว่า ควรดำเนินการในช่วง 6 โมงเช้า”
เมื่อถามว่า ผู้สั่งการในวันนั้น คือ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายกฯ ในขณะนั้น และ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รมว.มหาดไทย พญ.คุณหญิงพรทิพย์ กล่าวว่า ตนไม่ขอพูด เพราะเป็นข้อมูลจากการรายงานในที่ประชุม เพราะอาจมีคนสั่งการมากกว่าสองคน และขอให้ไปสอบถาม ผบ.ตร.ดีกว่า
พญ.คุณหญิงพรทิพย์ กล่าวว่า ข้อมูลข้างต้นนั้นเป็นการพูดคุยกันนอกรอบการประชุม และตนไม่ทราบว่าใครสั่งใครแต่เท่าที่ทราบนั้นผู้บัญชาการเหตุการณ์ในวันนั้นมีหลายคน ฉะนั้นสิ่งที่ตนสรุปจากผลการประชุมในวันนั้นคือ 1. วันนั้นทำไมมีเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายชุด และหลายเครื่องแบบ โดยหนึ่งในนั้นคือตำรวจตระเวนชายแดน 2.อาวุธและแก๊สน้ำตาเบิกมาจากหน่วยใด 3.ผู้ปฏิบัติการในวันนั้นเคยผ่านการฝึกหรือไม่ 4.ผู้ใหญ่บางคนในที่ประชุมวันนั้น ตั้งข้อสังเกตว่า วันนั้นยิงเพียงสามนัดก็พอ ทำไมยิงเป็นร้อยนัดแบบนั้น 5.คำสั่งในวันนั้นใครสั่ง 6.เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการในวันนั้นทำไมประเมินว่าสลายการชุมนุมช่วงเช้าแล้ว ทำไมต้องสลายต่อในช่วงเย็นด้วย เรื่องเหล่านี้หลายคนอิหลักอิเหลื่อที่จะพูด แต่ข้าราชการควรพูดความจริงกันได้แล้วว่าใครสั่ง
เด็กจิ๋วโต้ลูกพี่ไม่ได้สั่งสลายผู้ชุมนุม
นายชวลิต วิชยสุทธิ์ ส.ส.ระบบสัดส่วน พรรคพลังประชาชน ในฐานะคณะทำงานของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายกรัฐมนตรี แถลงว่าที่มีข่าวออกมาว่า พล.อ.ชวลิต สั่งการให้สลายการชุมนุมจนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บนั้นไม่เป็นความจริง ตนและ ส.ส.ของพรรคพลังประชานหลายคนที่อยู่ในเหตุการณ์ ยืนยันว่าในการประชุม ครม.เมื่อคืนวันที่ 6 ต.ค.ซึ่งพันธมิตรฯ ปิดล้อมรัฐสภา และได้มีการเรียกประชุม ครม.เป็นการด่วน พล.อ.ชวลิต พยายามแก้ปัญหาด้วยสันติวิธี ได้เสนอทางออกต่อที่ประชุม ครม.ด้วยการให้กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ 3-4 กองร้อย รักษารัฐสภาเพื่อป้องกันไม่ให้มีการบุกรุกเข้าไปทำลายทรัพย์สินของทางราชการ หรือให้ย้ายสถานที่ประชุมรัฐสภาไปที่อื่น เช่น หอประชุมกองทัพไทย ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ซึ่งก็มีรัฐมนตรีหลายคนอภิปรายสนับสนุนอ้างอุทาหรณ์เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 และ 6 ตุลาคม 2516 รวมทั้งนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกฯ ก็อภิปรายสนับสนุนด้วย ในขณะเดียวกันก็มีรัฐมนตรีหลายคนอภิปรายไม่เห็นด้วย เพราะเห็นว่ารัฐบาลถูกยึดทำเนียบฯ ไปแล้ว หากรัฐสภาถูกยึดไปอีกบ้านเมืองก็จะไม่มีขื่อมีแป
นายชวลิตกล่าวว่า หลังจากได้ประสานไปยังนายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา ก็ได้รับคำยืนยันว่าจะต้องประชุมตามวัน เวลาและสถานที่ที่กำหนดไว้ไม่เปลี่ยนแปลง ครม.จึงมอบหมายให้ พล.อ.ชวลิตรับผิดชอบดูแล พล.อ.ชวลิตก็เดินทางไปยัง บช.น.โดยให้นโยบายไปว่าให้เจรจากับกลุ่มพันธมิตรฯ ด้วยความละมุมละม่อม เพื่อให้สมาชิกรัฐสภาเข้าไปประชุมรัฐสภาได้ หากไม่สามารถปฏิบัติได้ก็ขอให้ยุติ ไว้ก่อน ซึ่งเห็นได้ชัดเจนว่าพล.อ.ชวลิตไม่ได้เป็นผู้ให้ใช้ ความรุนแรง คำสั่งการสลายการชุมนุมไม่ใช่คำสั่งของ พล.อ.ชวลิต แต่เมื่อเกิดมีการปะทะกันจนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก พล.อ.ชวลิต จึงยื่นใบลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบ
ผู้สื่อข่าวถามว่าในเมื่อ พล.อ.ชวลิต ยืนยันว่าไม่ได้สั่งการให้สลายการชุมนุม แล้วใครเป็นคนสั่งการ เป็นรัฐมนตรีที่เคยเป็นตำรวจใช่หรือไม่ นายชวลิต กล่าวว่า เป็นเรื่องที่เกินกว่าตนจะตอบได้ แต่รัฐมนตรีที่เป็นตำรวจก็มีอยู่ไม่กี่คน ทั้งนี้คิดว่า การไม่ปฏิบัติตามนโยบายของ พล.อ.ชวลิตนั้น ตนไม่ได้คิดว่ามีการหักหลังเกิดขึ้น เข้าใจว่าตำรวจทำตามหน้าที่ แต่ไม่อยากคาดเดาว่าสาเหตุเกิดจากอะไร ทั้งนี้ พล.อ.ชวลิต ก็เห็นด้วยกับนายสมชายที่ออกโทรทัศน์ชี้แจงเมื่อคืนวันที่ 12 ต.ค. โดยบอกว่าที่ยินดีจะเจรจากับพันธมิตรฯ เพื่อสร้างความปรองดองและยุติปัญหาที่มีอยู่มาอย่างยาวนานให้หมดสิ้นไป
พล.ต.อ.โกวิทไม่สนเดินหน้าต่อ
พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รมว.มหาดไทย กล่าวว่าแม้จะมีการชุมนุมขับไล่รัฐบาล แต่รัฐบาลก็จะพยายามเดินหน้าต่อไป จะถอยหลังไม่ได ซึ่งรัฐบาลก็เร่งทำความเข้าใจ สร้างความสมานฉันท์ ความอดทน อย่างที่นายกรัฐมนตรี ได้ทำเป็นตัวอย่าง คือมีความอดทน ความเสียสละ จึงอยากให้ทุกคนช่วยกัน ไม่อย่างนั้นบ้านเมืองเราก็อยู่ไม่ได้
ส่วนที่จะมีคนเดินทางเข้ามาร่วมชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรฯนั้น พล.ต.อ.โกวิท กล่าวว่า อย่าไปกังวล ตนเชื่อว่าสถานการณ์ต่างๆจะเริ่มดีขึ้นตามลำดับ ประชาชน ก็ต้องฟังและมีสติ ซึ่งตนได้เรียนให้ทราบแล้ว ไม่ว่าเป็นผู้ใดก็ตามจะต้องใช้สติในการรับฟัง ใครมาหลอกให้เราทำอะไรก็อย่าไปเชื่อ ไม่เช่นนั้นบ้านเมืองก็จะเสียหายหมด
"เรามีหน้าที่เราต้องทำให้มันดีขึ้น เป็นหน้าที่ของผม เพราะว่าผมเป็นรัฐบาล ถ้าผมไม่มีความเชื่อมั่นว่าจะสามารถทำให้ดีขึ้นได้ เราก็ไม่ควรจะอยู่ ในเมื่อเราอยู่เราก็ต้องทำให้มันดีขึ้น"
ส่วนที่ พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค อดีตรองอธิบดีกรมตำรวจ เคลื่อนไหวระดมคนทวงคืนทำเนียบรัฐบาลนั้น พล.ต.อ.โกวิท กล่าวว่า ก็เป็นเรื่องที่ดีที่อดีตตำรวจ มีความห่วงใยส่วนการเสนอแนวทางแก้ปัญหาต่างๆก็อาจจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ก็แล้วแต่เพราะว่าแต่ละคนก็เป็นห่วงบ้านเมืองไม่อยากให้ตำรวจถูกดูหมิ่นดูแคลน ซึ่งนั้นก็เป็นเพราะความรักความผูกพัน เพราะว่าท่านก็อยากให้ตำรวจยืนอยู่อย่างมีเกียรติ และเป็นที่ยอมรับของสังคม ก็อย่าไปมองเป็นเรื่องการขัดแย้งความแตกต่าง แต่ต้องเข้ามาช่วยกันแก้ไขปัญหาบ้านเมือง ไม่ว่าใครจะพูดจะคิดอะไรก็เป็นเรื่องที่ดีและมีประโยชน์
ผบ.ตร.เพ้อตำรวจต้องรับใช้ ปชช.
วานนี้ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.ได้เป็นประธานในพิธีวางพานพุ่มสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้ารัชกาลที่ 4 เนื่องในวันตำรวจ 13 ตุลาคม โดยมี รอง ผบ.ตร.และผู้ช่วยผบ.ตร.ทุกคน ร่วมพิธี โดย พล.ต.อ.พัชรวาท กล่าวภายหลังว่า ท่ามกลางวิกฤตในวันตำรวจในปีนี้ ตนอยากฝากความห่วงใยไปถึงข้าราชการตำรวจทั่วประเทศ ขอย้ำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกนายทำหน้าที่ในการดูแลพี่น้องประชาชนและสถาบันตำรวจ ให้ทุกคนระลึกว่าหน้าที่ตำรวจต้องรับใช้ประชาชน สถาบัน และชาติบ้านเมือง ส่วนวิกฤติศรัทธาที่เกิดขึ้นกับตำรวจในปีนี้นั้น ขอเรียนว่าตำรวจเสียใจเป็นอย่างมาก ที่จำเป็นต้องทำการเปิดทางให้มีการประชุมสภาผู้แทนในวันที่ 7 ต.ค.ที่ผ่านมา
“ผมขอเรียนว่า ทุกคนในชาติเป็นคนไทยเหมือนกันทุกคน รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์เหมือนกันทุกคน อยากให้ทุกคนคำนึงถึงเรื่องนี้ให้มากขึ้น” พล.ต.อ.พัชรวาทกล่าว
“สุชาติ” ใจเริ่มฝ่อ รู้จักเสียใจ
เมื่อเวลา 15.30น. วานนี้ (13 ต.ค.) ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผบช.น. กล่าวอวยพรเจ้าหน้าที่ตำรวจเนื่องในวันตำรวจว่า ในวันนี้เป็นวันตำรวจขอให้ตำรวจทุกคนรับใช้ดูแลประชาชนให้ดีที่สุดปกป้องในชีวิตและทรัพย์สิน หากจะมีอะไรที่กระทบกระเทือนใจบ้างขอให้อดทน ส่วนอะไรที่มันเกิดขึ้นฐานะตนก็คือคนหนึ่งที่จะต้องแสดงความเสียใจขอโทษในสิ่งที่เกิดขึ้น ขอให้น้องๆ ที่มาช่วยงานไม่ต้องตกใจ ผู้บังคับบัญชาแต่ละคนต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ได้สั่งการลงไป
พล.ต.ท.สุชาติกล่าวต่อว่า หากถามว่าน้อยใจไหมที่ถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์คงไม่น้อยใจ แต่ถามว่าเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นไหม ขอตอบว่าเสียใจ เพราะว่าเป็นคนไทยด้วยกันทั้งนั้น และจริงๆ เราควรจะไปทำกับคนอื่นที่เป็นศัตรูของประเทศชาติมากกว่า สิ่งที่มันเกิดขึ้นก็ไม่รู้จะทำอย่างไร รอผลการตรวจสอบ ผลการพิสูจน์ดีกว่า
“กำลังใจขณะนี้ในส่วนตัวยังปกติ เป็นคนละส่วนกับหน้าที่ หน้าที่คือหน้าที่ ความรู้สึกคือความรู้สึก ต้องแยกแยะออกจากัน หน้าที่มีอย่างไรเราต้องปฏิบัติตรงนั้น แต่ความรู้สึกโกรธ เกลียด รัก ชอบ ถ้าเราสวมเครื่องแบบปฏิบัติหน้าที่เราต้องแยกให้ออก เหมือนกับเรารักญาติมิตร แต่ญาติมิตรเราไปทำผิดกฎหมาย เราก็ต้องบังคับใช้กฎหมายไปตามนั้น เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ไม่อย่างนั้นกระบวนการยุติธรรมที่เริ่มต้นจากตำรวจ เกิดอาการเป๋เสียแล้วก็คงลำบาก โดยเฉพาะจะเกิดอาการเป๋เพราะใจเราไม่ได้” พล.ต.ท.สุชาติกล่าวและว่า ตนขอยืนยันว่าจะบริการประชาชนไม่ว่าสาขาอาชีพใดเท่าเทียมกันหมด มีคนยังพูดทำนองว่าถ้าตำรวจเสียกำลังใจแล้วไม่ทำหน้าที่อะไรจะเกิดขึ้น ตนบอกว่าถ้าคิดอย่างนั้นก็ไม่ควรเป็นตำรวจ ตำรวจต้องทำจนกระทั่งสุดความสามารถ
พล.ต.ท.สุชาติกล่าวยังฝากบอกไปกับครอบครัวผู้เสียชีวิตว่า เสียใจ เสียใจจริงๆ เพราะว่าการสูญเสียเป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น แม้ขณะนี้คน 108 ปี อย่างปู่เย็น เฒ่าทระนง เป็นคนเพชรฯ ด้วยกัน แม้ไม่ใช่ครอบครัวตนก็ยังเสียใจต่อการจากไปของปู่เย็น และคนอื่นยังอยู่ในวัยที่ไม่ใช่วัยอันควรที่จะจากไป ซึ่งตนรู้สึกเสียใจจริงๆ
พล.ต.ท.สุชาติ ยังกล่าวถึงการตรวจสอบของคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเหตุการณ์วันที่ 7 ตุลาคมว่า ถ้าผลออกมาอย่างไรเราต้องยอมรับตามนั้น คณะกรรมการฯ ถือว่าเป็นคนกลาง เป็นคนที่มีความยุติธรรมทุกอย่างดีแล้ว เราจะไปปฏิเสธกระบวนการยุติธรรมคงไม่ได้ เมื่อเขาตั้งคนกลางมีความรู้ที่สังคมยอมรับทั้งนั้น ผลออกมาอย่างไรต้องยอมรับ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่บอร์ดประชาสัมพันธ์ภายในกองบัญชาการตำรวจนครบาล เจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายประชาสัมพันธ์ได้นำภาพเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บพร้อมไปรษณียบัตรให้กำลังใจที่ได้รับมอบมาจากกลุ่มที่มาให้กำลังใจที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติรวบรวมมา ติดไว้เพื่อเป็นกำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ปฏิบัติด้วย
ทหารยังหวัง คกก.รัฐบาลชี้ขาด
พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผบ.สูงสุด ให้สัมภาษณ์ว่า กองทัพยังมีจุดยืนเหมือนเดิม คือ เป็นกองทัพของประชาชน และของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อยากให้ทุกคนหันหน้าเข้าหากัน เอื้ออาทรต่อกัน เพราะเราเป็นคนไทยด้วยกันทั้งนั้น ทั้งนี้ต้องดูสถานการณ์ต่อไปว่าจะเป็นอย่างไร ทุกอย่างอยากให้เป็นไปตามกระบวนการของกฎหมาย ซึ่งขณะนี้รัฐบาลตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบอยู่ จึงต้องรอดูว่าผลจะออกมาอย่างไร
ต่อข้อถามว่า แสดงว่ารัฐบาลจะต้องรับผิดชอบเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พล.อ.ทรงกิตติ กล่าวว่า รัฐบาลจะต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว เพราะรัฐบาลเป็นฝ่ายบริหารประเทศ
ส่วนที่พันธมิตรฯ ประกาศไม่ยอมรับการ ตรวจสอบของคณะกรรมการที่รัฐบาลตั้งขึ้น พล.อ.ทรงกิตติ กล่าวว่า เรื่องนี้ทั้งหมดฝ่ายบริหารจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ ผู้สื่อข่าวถามว่ากลุ่มพันธมิตรฯ ไม่พอใจกองทัพ พล.อ.ทรงกิตติ กล่าวว่า ไม่ทราบ แต่ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะแสดงความคิดได้หมด ทั้งนี้ ยอมรับว่า ผบ.เหล่าทัพได้มีการพูดคุยถึงสถานการณ์บ้านเมืองตลอด และมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ของแต่ละกองทัพเพื่อประเมินสถานการณ์บ้านเมือง
“ผมยืนยันคำเดิมว่า จะไม่มีเหตุการณ์การปฏิวัติเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ผบ.เหล่าทัพ ได้มีการพูดคุยกันแล้ว การทำปฏิวัติไม่ได้เกิดประโยชน์ ผบ.เหล่าทัพมีความเป็นเอกภาพและเป็นเสียงเดียวกันหมดใครจะพูดอะไรก็เหมือนกัน ตอนนี้มีเพียงข่าวปล่อยอย่างเดียว เดี๋ยวมีเรื่องนั้นเรื่องนี้เกิดขึ้นบ่อย ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้ไม่มีอะไรตื่นเต้น และยืนยันว่ากองทัพไม่ได้มีการออกแถลงการณ์อะไรทั้งสิ้น โดยเฉพาะข่าวที่ว่ากองทัพเตรียมแถลงการณ์เพื่อไม่สนับสนุนรัฐบาลในการบริหารประเทศ เพราะมันไม่ถูกกฎหมาย"
ปชป.ไม่เชื่อ กก.สอบอิสระจริง
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่าคำแถลงของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี เมื่อค่ำวันที่ 12 ต.ค.ถึงสถานการณ์ภายในประเทศขณะนี้ ว่า ยังไม่มีอะไรเพิ่มเติม และสิ่งที่ นายสมชาย พูดเป็นสิ่งที่เราได้ฟังนายสมชายพูดมาหลายครั้งแล้ว ซึ่งตนคิดว่า การแสดงความรับผิดชอบทางการเมืองเป็นเรื่องสำคัญ เพราะเมื่อเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงในประเทศที่เป็นประชาธิปไตย รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งต้องแสดงความรับผิดชอบ ในทางการเมือง มิฉะนั้นประชาธิปไตยเป็นเพียงแค่ฉาก ส่วนคณะกรรมการตั้งขึ้นมานั้น ตนกังวลว่าจะมีความเป็นอิสระอย่างแท้จริงได้อย่างไร เพราะถ้าผู้มีอำนาจเป็นผู้แต่งตั้งเอง คณะกรรมการก็ต้องรายงานกลับมายังคนที่แต่งตั้งด้วยแล้วจะสามารถ เอาข้อเท็จจริงจากผู้สั่งการมาได้อย่างไร ทั้งที่จริงแล้วต้องดูภาพใหญ่ในแง่ของการตัดสินใจในเชิงนโยบาย
เหลิมจะเอามือตบตบปาก พธม.
ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.สาธารณสุข กล่าวภายหลังการตรวจเยี่ยมกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) เมื่อวานนี้ (13 ต.ค.) ว่า ในฐานะที่รับราชการตำรวจมานาน 10 ปี ยืนยันว่าตำรวจทุกคนไม่มีเจตนาทำร้าย ฆ่าแกงประชาชน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นใครจะผิดหรือถูกก็คงต้องรอการสอบสวน หากผิดก็ต้องลงโทษ ทั้งนี้ การที่พันธมิตรฯ ปราศรัยว่า เกลียดตำรวจ ก็อยากขอให้ 4 นายพลตำรวจกับอีก 1 นายพลตำรวจที่ลาออกจากราชการแล้ว ไล่ให้ตำรวจพวกนี้ออกจากการวางแผน อย่ามาสิงสู่อยู่ในม็อบวางแผนเรื่องความปลอดภัยให้อีก
“ปากพันธมิตรบอกว่าเกลียด ไม่ชอบตำรวจ อยากจะเอามือตบไปตบปากพันธมิตรทุกคน ถ้าเกลียดตำรวจจริง ต้องไล่ 5 นายพลตำรวจ โดยมี 1 พล.ต.ต.ที่ลาออกจากราชการไปแล้ว ซึ่งถ้าไม่ลาออกจากราชการก็จะเกษียณในวันที่ 30 ก.ย.ที่ผ่านมา ส่วนอีก 4 พลตำรวจมี 1 พล.ต.ต.ตำแหน่งรองผู้บัญชาการ กับอีก 3 ตำแหน่งรองผู้บังคับการ ให้ออกมาจากการวางแผนให้พันธมิตรอย่ามาสิงสู่เช่นนี้อีก ไม่ได้ท้าทายแต่ถ้าออกมาได้ทุกอย่างจะดีขึ้น” ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวและว่า พธม.กล่าวหาว่า ตนไปไหนมาไหนก็บอกว่าปอดไม่กล้าไป ซึ่ง พธม.ทำอะไรควรเคารพสิทธิคนอื่นบ้าง อย่างนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ แกนนำ พธม. กล่าวหาว่าตนเองสั่งการไม่ให้แพทย์พยาบาลให้การช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ ที่ผ่านมาก็อดทนและยอมทุกเรื่องไม่อยากเอาเรื่องการเมืองมาเกี่ยวข้องกับ สธ. แต่การกล่าวเช่นนี้ทำให้ สธ.เสียหาย จึงอย่าคิดว่าตนเองยอมทุกเรื่อง พูดเกเรตนเองได้ แต่อย่าเกเรกระทรวง ดังนั้นต้องออกมาชี้แจงว่า จะให้การช่วยเหลือผู้บาดเจ็บเต็มที่ และไม่เคยคิด หรือสั่งการ เพราะหากสั่งการเช่นนั้น พวกหมอๆ คงไม่มีใครฟัง
“พันธมิตรต้องคำนึงถึงเศรษฐกิจบ้าง ว่าหุ้นตก คนก็เครียดเพิ่มขึ้นเท่าไหร่ ส่วนแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) จะมาชุมนุมกันก็เป็นสิทธิที่เขากระทำได้ เพราะออกมาประกาศแล้วว่าจะไม่ปะทะกัน หากพันธมิตรแสดงความเห็นได้ นปช.ก็แสดงความเห็นได้เช่นเดียวกัน” ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวและว่า ยังมีคนกล่าวหาว่านายสมชาย เป็นคนหน้าเนื้อใจเสือ วางแผนจับพล.ต.จำลอง ศรีเมือง อยากบอกว่าไม่มีใครวางแผนจับ
ส่วนการที่ พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค อดีต รองอธิบดีกรมตำรวจ ออกมาแสดงความคิดเห็นว่าจะยึดทำเนียบรัฐบาลคืน ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวว่า จริงๆ แล้ว พล.ต.อ.สล้างเป็นคนใจดี คงโมโหและพูดไปเช่นนี้ แต่คงไม่ทำจริง เพราะเป็นตำรวจเก่า เป็นมือปราบ เป็นครูฝึกหน่วยรบพิเศษ แต่คงรู้สึกอึดอัด“ ร.ต.อ.เฉลิมกล่าว.