เอเอฟพี - สำนักข่าวเอเอฟพี โดย แพตริก ฟัลบี ไปสัมภาษณ์พิเศษ สนธิ ลิ้มทองกุล ระหว่างการชุมนุมประท้วงที่ทำเนียบรัฐบาล ต่อไปนี้ คือรายละเอียดของรายงานการสัมภาษณ์คราวนี้:
กลุ่มผู้ชุมนุมของเขาเข้ายึดที่ทำงานของนายกรัฐมนตรี ปะทะกับตำรวจ และอาจจะช่วยขับไล่รัฐบาลได้เป็นครั้งที่สองในรอบสามปี แต่สนธิ ลิ้มทองกุลก็ยืนกรานว่าเขากำลังปกป้องรักษาสังคมไทย
"ผมทำแบบนี้ก็เพราะผมต้องการจุดประกายขึ้นที่ตรงกลางแล้วปล่อยให้เปลวไฟก่อตัวเป็นรูปร่างของมันเอง" เขาให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเอเอฟพีที่โรงอาหารในบริเวณทำเนียบรัฐบาล โดยเป็นการให้สัมภาษณ์ที่มีน้อยครั้งมาก
สนธิฉายภาพตนเองว่าเป็นคนรักชาติคนหนึ่งที่นำผู้สนับสนุนหลายหมื่นคนในกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (PAD) มาปกป้องประเทศจากลัทธิพวกพ้อง
"การทำให้สังคมมีการเคลื่อนไหว ต้องใช้แรงกดดันจำนวนมาก และพันธมิตรฯ อาจจะเป็นกลุ่มกดดันที่ใหญ่ที่สุดกลุ่มหนึ่งที่กำลังทำงานนี้อยู่" เขากล่าวด้วยภาษาอังกฤษอันไร้ที่ติ
นายกรัฐมนตรีสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ย่อมรู้สึกถึงแรงกดดันนี้อย่างแน่นอน ดังเห็นได้จากที่เขาพูดว่าเขาอาจลาออกเมื่อเผชิญหน้ากับการประท้วงต่อต้านรัฐบาลซึ่งเริ่มขึ้นเมื่อเดือนพฤษภาคมแล้วขยายไปสู่การปะทะกับตำรวจบนท้องถนนเมื่อสัปดาห์ที่แล้วจนมีผู้เสียชีวิตสองคนและบาดเจ็บอีกหลายร้อย
สนธิและแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ เข้ามอบตัวและได้รับการประกันตัวออกมาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากที่มีการเพิกถอนข้อหากบฏไป โดยแกนนำที่มีทั้งพวกปีกซ้ายและปีกขวาซึ่งมีแนวคิดแตกต่างกันนี้ได้มารวมตัวกันโดยมีศูนย์รวมอยู่ที่สถาบันกษัตริย์ของไทยอันเป็นที่เคารพ และด้วยจุดมุ่งหมายที่จะโค่นล้มพรรครัฐบาลลง
สนธิกล่าวหาว่าพรรคพลังประชาชนได้รับการเลือกตั้งเข้ามาเมื่อเดือนธันวาคม 2007 โดยการซื้อเสียงและคอร์รัปชั่น และยังกล่าวหาว่า "พรรคการเมืองต่างๆ กำลังทำตัวเหมือนกิจการวาณิชธนกิจ"
"การเมืองแบบนี้ใช้กับเมืองไทยไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เราต้องการระบบใหม่ เราต้องการการเมืองใหม่" เขาบอก และขยายความต่อไปว่า "เรายังไม่ได้ลงไปในรายละเอียดที่แท้จริงว่าการเมืองใหม่ควรเป็นอย่างไร แต่อย่างน้อยเรากำลังบอกกับตัวเราเองว่า เราต้องลืมวิธีการบริหารการเมืองแบบเก่าๆ ไปเสียก่อน"
พวกนักวิจารณ์ถือว่าสนธิเป็นพวกนิยมชนชั้นนำและต่อต้านประชาธิปไตยเพราะที่ผ่านมาเขาเคยกล่าวว่า สมาชิกรัฐสภาควรมาจากการแต่งตั้ง 70 เปอร์เซ็นต์และเลือกตั้งเพียง 30 เปอร์เซ็นต์ แต่ตอนนี้เขาหัวเราะและบอกว่าเขาถูกเข้าใจผิด
"มันเป็นเรื่องตลก" เขาบอก "ตอนที่ผมพูดถึงเรื่องนี้ ผมเพียงแค่เสนอตัวแบบขึ้นมาอันหนึ่ง และผมก็บอกว่ามันอาจจะเป็นอย่างอื่นก็ได้ เช่น 70-30 และผมยังบอกด้วยว่ามันอาจจะเป็น 50-50 หรืออาจจะเป็น 10-90 ก็ได้"
อย่างไรก็ตาม เขายังยืนยันว่าในรัฐสภามีส.ส.ที่มาจากการเลือกตั้งมากเกินไป "ถึงแม้ว่าผมจะเชื่อมั่นในการเลือกตั้งโดยตรง แต่ผมไม่เชื่อว่าการเลือกตั้งโดยตรงในสังคมอย่างเมืองไทยควรมีอำนาจครอบงำประชาธิปไตย มันควรจะเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่ง"
ปัจจุบันสนธิอายุ 61 ปี เขาเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะเจ้าพ่อวงการสื่อที่มีความทะเยอทะยาน จนกระทั่งเมื่อปี 2005 จึงเริ่มออกมารณรงค์ขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ทั้งที่ครั้งหนึ่งสนธิเองเคยประกาศว่าทักษิณเป็น "นายกรัฐมนตรีที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา"
ต่อมาเมื่อต้นปี 2006 มีการจัดตั้งกลุ่มพันธมิตรฯ ขึ้น โดยสนธิได้ประณามทักษิณเรื่องคอร์รัปชันและนำการประท้วงบนท้องถนนจนนำไปสู่การรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลออกไปในปีเดียวกันนั้นเอง ทักษิณกล่าวว่าสนธิต้องการแก้แค้น เนื่องจากสนธิได้ลงทุนจำนวนมหาศาลเพื่อจัดตั้งสถานีโทรทัศน์แห่งใหม่ แต่ถูกขัดขวางจากข้อกำหนดของกฎหมาย
สนธิเองยอมรับว่าสถานการณ์ทางการเงินของแมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ปประสบปัญหาจริง แต่บทบาทใหม่ของเขาในฐานะนักรณรงค์ทางการเมืองทำให้กลุ่มพันธมิตรฯ ได้รับเงินบริจาคเพื่อการเคลื่อนไหวถึงราว 130 ล้านบาทจากทั่วประเทศนับจากปลายเดือนพฤษภาคมเป็นต้นมา ทว่าสนธิซึ่งกล่าวหาว่าทักษิณยังคงควบคุมรัฐบาลโดยสั่งการจากประเทศอังกฤษในระหว่างที่ลี้ภัยอยู่ ก็ยืนกรานว่าผลประโยชน์ทางธุรกิจส่วนตัวของเขานั้นไม่เกี่ยวข้องกับการประท้วง
"ทั้งพลังงานที่ผมทุ่มเทลงไป และอันตรายที่ผมต้องเผชิญนั้นไม่คุ้มที่จะทำหรอก ถ้าหากผมไม่ได้ต่อสู้เพื่อหลักการ"
เขาเสริมอีกว่าเขาไม่มีแผนการที่จะเข้าสู่การเมืองด้วย "เชื่อผมเถอะ มีคนบางคนที่อยากทำความดีจริงๆ"
กลุ่มผู้ชุมนุมของเขาเข้ายึดที่ทำงานของนายกรัฐมนตรี ปะทะกับตำรวจ และอาจจะช่วยขับไล่รัฐบาลได้เป็นครั้งที่สองในรอบสามปี แต่สนธิ ลิ้มทองกุลก็ยืนกรานว่าเขากำลังปกป้องรักษาสังคมไทย
"ผมทำแบบนี้ก็เพราะผมต้องการจุดประกายขึ้นที่ตรงกลางแล้วปล่อยให้เปลวไฟก่อตัวเป็นรูปร่างของมันเอง" เขาให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเอเอฟพีที่โรงอาหารในบริเวณทำเนียบรัฐบาล โดยเป็นการให้สัมภาษณ์ที่มีน้อยครั้งมาก
สนธิฉายภาพตนเองว่าเป็นคนรักชาติคนหนึ่งที่นำผู้สนับสนุนหลายหมื่นคนในกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (PAD) มาปกป้องประเทศจากลัทธิพวกพ้อง
"การทำให้สังคมมีการเคลื่อนไหว ต้องใช้แรงกดดันจำนวนมาก และพันธมิตรฯ อาจจะเป็นกลุ่มกดดันที่ใหญ่ที่สุดกลุ่มหนึ่งที่กำลังทำงานนี้อยู่" เขากล่าวด้วยภาษาอังกฤษอันไร้ที่ติ
นายกรัฐมนตรีสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ย่อมรู้สึกถึงแรงกดดันนี้อย่างแน่นอน ดังเห็นได้จากที่เขาพูดว่าเขาอาจลาออกเมื่อเผชิญหน้ากับการประท้วงต่อต้านรัฐบาลซึ่งเริ่มขึ้นเมื่อเดือนพฤษภาคมแล้วขยายไปสู่การปะทะกับตำรวจบนท้องถนนเมื่อสัปดาห์ที่แล้วจนมีผู้เสียชีวิตสองคนและบาดเจ็บอีกหลายร้อย
สนธิและแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ เข้ามอบตัวและได้รับการประกันตัวออกมาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากที่มีการเพิกถอนข้อหากบฏไป โดยแกนนำที่มีทั้งพวกปีกซ้ายและปีกขวาซึ่งมีแนวคิดแตกต่างกันนี้ได้มารวมตัวกันโดยมีศูนย์รวมอยู่ที่สถาบันกษัตริย์ของไทยอันเป็นที่เคารพ และด้วยจุดมุ่งหมายที่จะโค่นล้มพรรครัฐบาลลง
สนธิกล่าวหาว่าพรรคพลังประชาชนได้รับการเลือกตั้งเข้ามาเมื่อเดือนธันวาคม 2007 โดยการซื้อเสียงและคอร์รัปชั่น และยังกล่าวหาว่า "พรรคการเมืองต่างๆ กำลังทำตัวเหมือนกิจการวาณิชธนกิจ"
"การเมืองแบบนี้ใช้กับเมืองไทยไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เราต้องการระบบใหม่ เราต้องการการเมืองใหม่" เขาบอก และขยายความต่อไปว่า "เรายังไม่ได้ลงไปในรายละเอียดที่แท้จริงว่าการเมืองใหม่ควรเป็นอย่างไร แต่อย่างน้อยเรากำลังบอกกับตัวเราเองว่า เราต้องลืมวิธีการบริหารการเมืองแบบเก่าๆ ไปเสียก่อน"
พวกนักวิจารณ์ถือว่าสนธิเป็นพวกนิยมชนชั้นนำและต่อต้านประชาธิปไตยเพราะที่ผ่านมาเขาเคยกล่าวว่า สมาชิกรัฐสภาควรมาจากการแต่งตั้ง 70 เปอร์เซ็นต์และเลือกตั้งเพียง 30 เปอร์เซ็นต์ แต่ตอนนี้เขาหัวเราะและบอกว่าเขาถูกเข้าใจผิด
"มันเป็นเรื่องตลก" เขาบอก "ตอนที่ผมพูดถึงเรื่องนี้ ผมเพียงแค่เสนอตัวแบบขึ้นมาอันหนึ่ง และผมก็บอกว่ามันอาจจะเป็นอย่างอื่นก็ได้ เช่น 70-30 และผมยังบอกด้วยว่ามันอาจจะเป็น 50-50 หรืออาจจะเป็น 10-90 ก็ได้"
อย่างไรก็ตาม เขายังยืนยันว่าในรัฐสภามีส.ส.ที่มาจากการเลือกตั้งมากเกินไป "ถึงแม้ว่าผมจะเชื่อมั่นในการเลือกตั้งโดยตรง แต่ผมไม่เชื่อว่าการเลือกตั้งโดยตรงในสังคมอย่างเมืองไทยควรมีอำนาจครอบงำประชาธิปไตย มันควรจะเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่ง"
ปัจจุบันสนธิอายุ 61 ปี เขาเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะเจ้าพ่อวงการสื่อที่มีความทะเยอทะยาน จนกระทั่งเมื่อปี 2005 จึงเริ่มออกมารณรงค์ขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ทั้งที่ครั้งหนึ่งสนธิเองเคยประกาศว่าทักษิณเป็น "นายกรัฐมนตรีที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา"
ต่อมาเมื่อต้นปี 2006 มีการจัดตั้งกลุ่มพันธมิตรฯ ขึ้น โดยสนธิได้ประณามทักษิณเรื่องคอร์รัปชันและนำการประท้วงบนท้องถนนจนนำไปสู่การรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลออกไปในปีเดียวกันนั้นเอง ทักษิณกล่าวว่าสนธิต้องการแก้แค้น เนื่องจากสนธิได้ลงทุนจำนวนมหาศาลเพื่อจัดตั้งสถานีโทรทัศน์แห่งใหม่ แต่ถูกขัดขวางจากข้อกำหนดของกฎหมาย
สนธิเองยอมรับว่าสถานการณ์ทางการเงินของแมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ปประสบปัญหาจริง แต่บทบาทใหม่ของเขาในฐานะนักรณรงค์ทางการเมืองทำให้กลุ่มพันธมิตรฯ ได้รับเงินบริจาคเพื่อการเคลื่อนไหวถึงราว 130 ล้านบาทจากทั่วประเทศนับจากปลายเดือนพฤษภาคมเป็นต้นมา ทว่าสนธิซึ่งกล่าวหาว่าทักษิณยังคงควบคุมรัฐบาลโดยสั่งการจากประเทศอังกฤษในระหว่างที่ลี้ภัยอยู่ ก็ยืนกรานว่าผลประโยชน์ทางธุรกิจส่วนตัวของเขานั้นไม่เกี่ยวข้องกับการประท้วง
"ทั้งพลังงานที่ผมทุ่มเทลงไป และอันตรายที่ผมต้องเผชิญนั้นไม่คุ้มที่จะทำหรอก ถ้าหากผมไม่ได้ต่อสู้เพื่อหลักการ"
เขาเสริมอีกว่าเขาไม่มีแผนการที่จะเข้าสู่การเมืองด้วย "เชื่อผมเถอะ มีคนบางคนที่อยากทำความดีจริงๆ"