xs
xsm
sm
md
lg

ตลท.นัด4สมาคมฯถกด่วนวางมาตรการรับมือตลาดหุ้นผันผวน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ผู้จัดการรายวัน – ดัชนีตลาดหุ้นไทยผันผวนอย่างหนัก แม้ธนาคารกลางหลายแห่งทั่วโลกประกาศหั่นดอกเบี้ยลงถึง 0.50% แต่สามารถดีดกลับได้ช่วงบ่ายหลังศาลอุทธรณ์เพิกถอนหมายจับ 9 แกนนำพันธมิตรฯ ทำให้นักลงทุนคลายความกังวลปัญหาการเมืองได้ระดับหนึ่ง ตลาดหลักทรัพย์ฯ เรียก 4 สมาคมหลักที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุนหารือวันนี้ เพื่อประเมินสถานการณ์และหามาตรการเสริมหวังฟื้นศรัทธาตลาดหุ้นไทย ด้าน บล.ทิสโก้ เผยปี 52 เผชิญปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจโลกหดตัวกระทบส่งออก พร้อมติงมาตรการลดดอกเบี้ยเฟดแก้ปัญหาไม่ตรงจุด ขณะที่โบรกเกอร์ สั่งจับตามผลประกอบการสถาบันการเงินสหรัฐฯ ต่อ

บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (9 ต.ค.) ดัชนีตลาดหุ้นได้ปรับตัวค่อนข้างผันผวนทั้งแดนบวกและแดนลบ แม้จะได้รับข่าวดีจากกรณีที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ และยุโรปแห่งทั่วโลกประกาศลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.50% รวมถึงการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบการเพื่อบรรเทาวิกฤตสถาบันการเงินที่เกิดขึ้น แต่นักลงทุนยังกังวลปัจจัยด้านการเมืองในประเทศที่ยังอยู่ในภาวะอึมครึม แต่ดัชนีตลาดหุ้นได้เริ่มปรับตัวดีขึ้น หลังจากศาลอุทธรณ์ได้มีคำสั่งเพิกถอนหมายจับแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยทั้ง 9 คน ในข้อหากบฏ

โดยดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มอยู่ในแดนบวกช่วงเปิดการซื้อขายในภาคเช้า ก่อนจะปรับตัวขึ้นลงตามแรงซื้อ-ขายที่มีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง และสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นเหนือระดับ 500 จุดได้ในช่วงก่อนปิดการซื้อขายภาคบ่าย แต่เมื่อเจอแรงขายทำกำไรออกมาอย่างหนัก ทำให้ดัชนีไม่สามารถยืนเหนือระดับดังกล่าวได้ และปิดที่ระดับ 499.99 จุด เพิ่มขึ้นจากวันก่อน 7.65 จุด หรือคิดเป็น 1.55% จุดต่ำสุด 473.94 จุด สูงสุด 508.52 จุด มูลค่าการซื้อขายรวม 20,028.57 ล้านบาท

ทั้งนี้ นักลงทุนต่างประเทศยังคงเทขายหุ้นไทยออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยมียอดขายสุทธิกว่า 2,297.24 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 1,191.21 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 1,106.03 ล้านบาท

นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯได้มีการเชิญสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ สมาคมบริษัทหลักทรัพย์ต่างประเทศ สมาคมบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) และสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ เพื่อร่วมประเมินภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทยที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาสถาบันการเงินสหรัฐฯ ในวันนี้ (10 ต.ค.) โดยเฉพาะเรื่องความเห็นต่อภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทย รวมถึงมาตรการต่างๆ ที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องการให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ดำเนินการ เพื่อสนับสนุนบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย

พร้อมกันนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะหารือเรื่องการขยายวงเงินในการลงทุนในกองทุนหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ว่าจะขยายจาก 5 แสนบาทเป็นเท่าไร รวมถึงการติดตามในเรื่องการขายชอร์ตเซล และการบังคับขายหุ้น (ฟอร์ซเซล) ซึ่งเบื้องต้นพบว่าการทำธุรกิจชอร์ตเซลรวมในตลาดนั้นมีน้อยมากเพียง 0.6%ของมูลค่าการซื้อขายต่อวัน และการปล่อยสินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (มาร์จิ้นโลน) มีเพียง 2 หมื่นล้านบาท คิดเป็นเปอร์เซ็นต์น้อยมากเมื่อเทียบกับมูลค่าการซื้อขายของทั้งตลาด

สำหรับประเด็นที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ และยุโรปหลายประเทศได้ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยลงนั้น ได้ส่งผลให้ตลาดหุ้นปรับตัวดีขึ้น แม้ตลาดหุ้นของหลายประเทศจะยังติดลบ แต่มีสัดส่วนที่น้อยลง โดยดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลดลง 180 จุด เท่านั้น ดังนั้น หลังจากนี้ไปต้องดูมาตรการต่างๆ ที่จะออกมาร่วมกันนั้นจะกระตุ้นตลาดได้อย่างไร

สำหรับนักลงทุนต่างประเทศนั้นก็ยังคงมีการขายหุ้นออกมาทุกวัน ประมาณ 1,000 ล้านบาท แต่ระหว่างวันนั้นนักลงทุนต่างชาติก็มีแรงซื้อเข้ามาบ้าง แต่ยังน้อยกว่าแรงขายที่ออกมา จากที่จำเป็นต้องขายเพื่อนำเงินไปคืนผู้ถือหน่วยลงทุนและแรงขายจะมีอีกเท่าไรนั้นไม่สามารถตอบได้ แต่หากสถานการณ์ต่างประเทศคลี่คลายก็จะทำให้แรงขายลดลง

บล.ทิสโก้ดิ่งไม่ถึง350 จุด

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่า จากที่ตลาดหุ้นไทยมีกาปรับตัวลดลงต่อเนื่องทุกวันทำให้ประเมินดัชนีตลาดหุ้นไทยในปีนี้ลำบาก โดยคาดว่าดัชนีสิ้นปีนี้จะอยู่ที่ระดับ 620 จุด ได้ แต่ต้องขึ้นอยู่กับแรงขายหุ้นของนักลงทุนต่างประเทศเป็นหลัก แต่หวังว่าหากดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้น จะสามารถปรับตัวขึ้นได้ 30 จุดต่อวันเหมือนกับในช่วงที่ผ่านมาที่ลดลงวันละ 30 จุด

“ส่วนตัวผมมองว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยไม่น่าจะลดลงไปถึงระดับ 350 จุด เหมือนกับจุดต่ำสุดในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยตลาดหุ้นไทยนั้นจริงๆ แล้วไม่ควรจะต่ำกว่า 500 จุด เพราะที่ระดับ 500 จุดในขณะนี้ กับ 500 จุดในอดีตนั้นต่างกัน จากที่มีค่า P/E ขณะนี้เพียง 7 เท่า จากในอดีตที่มี 13 เท่า ซึ่งถือว่าต่ำ ซึ่งถือว่าขณะนี้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงมากเกินไปแล้ว จากการขายของนักลงทุนต่างประเทศ”

นายไพบูลย์ กล่าวว่า การที่นักลงทุนต่างประเทศมีการขายสุทธิตลาดหุ้นไทยออกมามากจากที่มีขนาดเล็ก และไม่มีสภาพคล่องจากที่ผ่านมามีการพึ่งพาแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งนักลงทุนเก็งกำไร (เฮดจ์ฟันด์)ได้มีการขายหุ้นออกมาหมดแล้ว ซึ่งเหลือเฉพาะในส่วนของนักลงทุนระยะยาว หากปัญหาวิกฤตทางการเงินไม่เลวร้ายไปกว่านี้ จะทำให้แรงขายหุ้นไทยลดน้อยลง

สำหรับปัญหาวิกฤตทางการเงินนั้นเกิดในสหรัฐฯ และยุโรป แต่ตลาดหุ้นในไทยและเอเชียมีการปรับตัวลดลงแรงกว่าตลาดหุ้นยุโรป สหรัฐฯ เกิดจากไม่มั่นใจที่จะถือเงินลงทุนในสกุลอื่น โดยจากการที่นักลงทุนต่างประเทศมีการขายหุ้นในเอเชียและตลาดเกิดใหม่หมดแล้ว เชื่อว่าแรงขายออกมาจากนี้ไปจะเป็นตลาดหุ้นขนาดใหญ่

ส่วนกรณีที่ธนาคารสหรัฐฯ และยุโรป ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อคลี่คลายปัญหาสถาบันการเงินนายไพบูลย์ กล่าวว่า เป็นการแก้ปัญหาไม่ตรงจุด เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นจากความไม่เชื่อมั่นในการปล่อยกู้ของสถาบันการเงิน แต่จะช่วยทางด้านจิตวิทยา และช่วยลดภาระหนี้แก่ผู้ที่ยังไม่ประสบปัญหาทางการเงิน ซึ่งการดอกเบี้ยไทยไม่ปรับตัวลดลงตามต่างประเทศนั้นถือว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีการดำเนินการถูกต้องแล้ว

นายไพบูลย์ กล่าว สำหรับจากเกิดปัญหาวิกฤตการเงินในปีนี้เชื่อว่าจะทำให้ปีหน้าจะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลก ซึ่งทาง ดอยซ์แบงก์ได้ประเมิน การเติบโตเศรษฐกิจปีหน้า คาดจีดีพีสหรัฐฯ ไม่เติบโต ญี่ปุ่นเพิ่ม 0.4% ยุโรป ปรับตัวลดลง 0.2% และประเทศไทยจีดีพีจะโต 4% แต่ก็ยังคงมีปัจจัยเสี่ยงจากปัญหาการเมืองในประเทศ ซึ่งอาจปรับลดประมาณการ จากการที่เศรษฐกิจในประเทศใหญ่นั้นไม่เติบโต โดยจะกระทบต่อการส่งออกของไทยลดลงเหลือ 10% จากเดิมที่ 25%

“หากการเมืองไทยไม่นิ่ง ไม่สามารถที่จะสร้างความมั่นใจ และกระตุ้นการลงทุนได้ หากประเทศอื่นเศรษฐกิจและตลาดหุ้นฟื้นตัวได้ แต่ประเทศไทยไม่สามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้เหมือนกับในช่วง3-4 ปีที่ผ่านมาที่ตลาดหุ้นในประเทศต่างๆ ปรับตัวเพิ่มขึ้นแต่ตลาดหุ้นไทยไม่สามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปัญหาทางการเมือง”

จับตาผลงานสถาบันการเงินสหรัฐฯ

นางสาวจิตรา อมรธรรม ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. ไซรัส จำกัด (มหาชน) หรือSYRUS กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้ยังผันผวน แม้จะสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงบ่าย จากปัญหาทางการเมืองที่เริ่มคลี่คลาย หลังศาลอุทธรณ์ได้เพิกถอนหมายจับแกนนำพันธมิตรฯ ในข้อหากบฏ บวกกับตลาดในต่างประเทศที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังจากธนาคารกลางสหรัฐฯ และยุโรป ประกาศลดอัตราดอกเบี้ย

ขณะที่แนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ คาดว่าตลาดหุ้นจะสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ โดยนักลงทุนต้องจับตาการประกาศผลประกอบการของสถาบันการเงินในสหรัฐฯ ให้แนวรับที่ 470-480 จุด และแนวต้านที่ 510 จุด

นางสาวจิตติมา อังสุวรังษี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะหลักทรัพย์ บล. ฟาร์อีสท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศที่ปรับเพิ่มขึ้น และการเมืองภายในประเทศที่เริ่มคลี่คลาย หลังจากที่ศาลให้ประกันตัว 2 แกนนำพันธมิตรฯ ขณะที่ตลาดหุ้นไทยวันนี้น่าจะยังคงผันผวนตามตลาดหุ้นต่างประเทศ โดยมีปัจจัยที่ต้องจับตามองคือ การประกาศผลผลกอบการของสถาบันการเงินสหรัฐฯ โดยมีแนวรับที่ 480-490 จุด และแนวต้านที่ 503-510 จุด
กำลังโหลดความคิดเห็น